โดม ปกรณ์ ลัม กับวันที่หัวใจ ไร้รัก

จัดว่าเป็นหนุ่มฮอตที่มีทั้งข่าวคราวความเคลื่อนไหวทั้งเรื่องงาน และเรื่องหัวใจแบบต่อเนื่องเลยทีเดียว

สำหรับหนึ่งในสมาชิกวง "โนโลโก้" อย่าง "โดม" ปกรณ์ ลัม เรียกว่าหนุ่มคนนี้จะขยับตัวทำอะไรก็มักหนีไม่พ้นที่จะตกเป็น "ข่าว" เสมอ และเพราะเป็นหนุ่มหล่อมากความสามารถ ที่อยู่ในความสนใจของแฟนๆ มาตลอดระยะเวลา 13  ปี แบบนี้นี่เอง "คม ชัด ลึก" เลยไม่พลาดคว้าตัว โดม มานั่งเปิดใจพูดคุยถึงชีวิตตั้งแต่ก้าวย่างสู่แวดวงบันเทิง... วันที่เริ่มต้นเป็นที่รักของใครๆ กระทั่งถึงวันนี้ วันที่เขาสรุปกับตัวเองได้ว่า "ไร้รัก"



อย่ารอช้า...เดินทางไปพร้อมๆ กันเพื่อรับรู้เรื่องราวผู้ชายคนนี้ ชีวิตแรกเริ่มของ "ด.ช.ปกรณ์"

เล่าชีวิตวัยเด็กของโดมให้ฟังหน่อยสิว่าเป็นอย่างไรบ้าง

 ชีวิตของโดมมันปนๆ กันระหว่างชีวิตของเด็กธรรมดาทั่วไป กับชีวิตวงการบันเทิงที่มันแซมเข้ามานิดหน่อย เพราะถ้านับกันไป โดมเริ่มถ่ายโฆษณาชิ้นแรกตั้งแต่ 1 ขวบเลย ชิ้นแรกเริ่มมาจากเพื่อนคุณแม่ทำงานโมเดลลิ่งและรู้จักเอเยนซีโฆษณา สมัยนั้นการแข่งขันไม่ฟู่ฟ่าด้วย ตอนนั้นรู้สึกโฆษณาผ้าอ้อม เป็นเด็กตัวอ้วนๆ เท่าที่คุณแม่เล่าเขาติดใจเพราะว่าผมไม่งอแง อารมณ์ดี เขาก็เลยชวนให้มาถ่ายบ่อยๆ อยู่หลายโฆษณา จนเริ่มมีคนจำได้จริงๆ คือโฆษณาหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ที่ผมต้องแก้ผ้าด้วย คนก็เลยจำกันได้ว่าเป็นเด็กคนนี้ไง นับจากนั้นผมก็โฆษณามาเรื่อยๆ เลย

แสดงว่าในวัยเด็กเราก็ชื่นชอบการแสดงออกอยู่แล้ว

ไม่เลยครับ ไม่เลย คือไม่ได้ชอบและไม่ได้เกลียด คือรู้สึกว่าเราได้ไปเจออะไรใหม่ๆ สนุกๆ ไป แต่ตอนนั้นก็รู้สึกเหมือนเป็นงาน เพราะคุณแม่จะคอยบอกตลอดว่าเก่งนะหาเงินได้ตั้งแต่เด็ก ชีวิตโดมก็เลยปนระหว่างเด็กที่ต้องไปโรงเรียนปกติ กับการต้องขาดเรียน จนขึ้น ป.4 อาจารย์ประจำชั้นเรียกคุณแม่ไปคุย เพราะขาดเรียนบ่อยมาก อาจารย์ก็บอกว่าไม่ค่อยจะเหมาะเพราะเดี๋ยวเด็กต้องเข้า ม.1 คุณแม่ก็เลือกการเรียน ทำให้หยุดถ่ายตรงนี้ไป แต่หลังๆ ก็เริ่มมีละคร เริ่มเหนื่อยด้วย ก็โอดๆ กับคุณแม่บ้าง สุดท้ายก็เลิกไปโดยปริยาย ตัวเองก็กลับมามีชีวิตปกติอยู่ช่วงหนึ่ง

โดมในวัยเด็กนี่ซนไหม

 คุณแม่บอกว่าผมเลี้ยงง่ายนะ แต่เริ่มมาออกลายจริงๆ คือช่วงประมาณ ม.3 ช่วงอายุ 15 เป็นช่วงที่เริ่มกลับเข้ามาวงการอีกครั้ง กลับมาในช่วงวัยรุ่น ถ่ายแบบ เริ่มมีชีวิตสนุก อิสระอีกครั้ง โตขึ้นมีเพื่อนเยอะ ก็เริ่มซ่า มีปัญหากับคุณแม่บ่อยมาก ซน ดื้อ ไม่ยอมไปเรียน จนทะเลาะกับคุณแม่ ทะเลาะกันแรงถึงขั้นบอกว่าไม่อยากอยู่กับแม่ ออกไปอยู่กับเพื่อน แต่ออกไปได้ 3 วัน ไม่รอด (หัวเราะ) คือไปอยู่บ้านเพื่อน ซึ่งไม่ไกลกับบ้านผมเลย ช่วงนั้นคุณแม่บอกตลอดว่าเหนื่อยจังเลย เลี้ยงยาก เป็นช่วงที่แม่บอกว่าบางทีต้องนับหนึ่งถึงร้อยเลย แต่แม่ก็ไปปรึกษากับเพื่อนๆ เขาจะบอกกลับมาว่าเป็นทุกคนเด็กช่วงนี้


 



เคยมีเหตุการณ์ไหนที่ทำให้แม่เสียน้ำตาไหม

 เป็นช่วงนี้แหละที่ออกจากบ้าน ตอนเห็นน้ำตาคุณแม่ก็เสียใจมาก ที่เขาบอกว่าทำแม่ร้องไห้เป็นบาปมาก แต่ช่วงเวลาที่หุนหันตอนนั้นก็ไม่ได้คิด แต่พอกลับมาก็ขอขมา เอาดอกไม้มาไหว้ขอโทษ

ใช้เวลานานไหมกว่าจะก้าวผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อตรงนี้ไป

 จากนั้นไม่นานผมก็มีโอกาสได้มาทำงานเพลงชุดแรก เหมือนมาช่วยดึงโดม เพราะต้องสวมวิญญาณ ความรับผิดชอบ มีคิวงานยาวมาก ทำให้ตื่นขึ้นมาจากความเป็นเด็ก ต้องทำงานเป็นระบบแล้ว ก็ค่อยๆ ปรับ ค่อยๆ จูนมาตลอด ต้องบอกว่างานในวงการช่วยทำให้ผมก้าวผ่านมาได้จากรอยต่อตรงนั้น แต่ขณะนั้นผมก็ยังไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองต้องมีภาวะผู้นำอะไร เพราะยังเด็กอยู่

ก้าวย่างของนายปกรณ์ ลัม

ดูเหมือนชีวิตโดมจะได้รับโอกาสดีๆ เข้ามาเสมอ แต่เคยมีสักครั้งไหมที่เราทำโอกาส



พลาดไปหรือกลับมานั่งเสียดายโอกาส

 ทุกครั้งผมจะตัดสินใจก่อนที่จะเปิดรับโอกาสนั้นๆ ผมจะวิเคราะห์ด้วยสมองวัยเด็กของผมเนี่ยแหละ (หัวเราะ) ว่าจะรับไหม ไหวหรือเปล่า เหมือนจะเป็นที่มีอีโก้นิดๆ ค้ำคออยู่ ว่าถ้าทำแล้วก็ต้องเต็มที่ แต่ถ้าดูแล้วท่าทางจะเอาไม่อยู่ ก็ปล่อยไปดีกว่า ก็มีหลายงานที่เป็นงานใหญ่ และโอกาสที่ดี แต่ผมคิดว่าผมไม่ควรจะทำ บางครั้งก็มีเสียดายเหมือนกัน ที่ไม่ได้ทำ แต่ท้ายที่สุดก็มองว่ามันคงไม่ใช่ของเรา และถ้าเรากลับไปเปลี่ยนอะไรในอดีต ปัจจุบันเราคงไม่เป็นแบบนี้ เพราะมันก็หล่อหลอมให้เรามาเป็นวันนี้ ถือว่ามันไม่ใช่จังหวะของเรา เลยพยายามจะเชื่อมั่นว่ามันไม่ใช่ของๆ เรา

ใช้ชีวิตวัยรุ่นคุ้มไหม

 ไม่คุ้มเลย ไม่มีเพื่อนในมหาวิทยาลัยเลย ไม่มีไปรับน้องกับเขา มันผ่านไปเลย ช่วงนั้นเป็นช่วงวุ่นมาก ได้แต่ดูเพื่อนใส่ชุดนิสิตก็รู้สึกเสียดาย เราขาดเพื่อนตรงนั้นไปเลย เพราะเพื่อนที่ดีได้จากในมหาวิทยาลัยก็เยอะ ผมว่ามันน่าจะเป็นช่วงชีวิตที่ดี ความทรงจำที่ดี แต่ก็คิดว่าเพราะเราไม่เหมือนคนปกติ เราเสียบางอย่างไป ก็อาจจะได้บางอย่างมา เช่น ถ้าย้อนอดีตกลับไปเพื่อนที่เรียนจบมหาวิทยาลัย ณ ตอนนั้น ผมเชื่อได้ว่าน่าจะมีประสบการณ์ห่างจากผมอยู่เยอะ ในเรื่องของมุมมองการใช้ชีวิต เรื่องของความกว้างขวางทางสังคม เพราะผมเป็นคนที่ไม่ได้ไปทำงานแล้วทำงานเฉยๆ แต่ผมไปแล้วสร้างเพื่อน เพราะทุกอย่างท้ายสุดแล้วการที่จะทำธุรกิจต่อไปในอนาคต เครือข่ายสำคัญ การอยู่ในวงการนี้คลุกคลีกับคนเยอะๆ แต่เราก็สูญเสียความสวยงามจากชีวิตมหาวิทยาลัย


 

แล้วรู้สึกอย่างไรถ้ามีคนพูดว่าโดมดังได้เพราะหน้าตาไม่ใช่ความสามารถ

 ช่วงเด็กๆ ผมยอมรับนะว่าไม่มีความสามารถนะครับ (หัวเราะ) อัลบั้มแรกๆ ที่ผมเข้ามา ก็เพราะเป็นนักร้องวัยรุ่นคนหนึ่ง ซึ่งอาจจะมีโชคที่ดี และค่ายเห็นว่ามีแวว แต่ร้องเพลงก็ห่วยแตก ร้องอะไรก็ไม่รู้ เป็นเด็กผอมๆ ตัวเล็กๆ ก็ไม่แปลกที่ใครจะพูดอย่างนั้น แต่ไม่มีใครเกิดมาแล้วคูณเลขเป็นเลย ไม่มีนะ ทุกคนเกิดมาต้องเริ่มนับหนึ่งแล้วถึงจะบวก ลบ คูณ แล้วหาร ก็ไม่แปลกที่คนเราจะเริ่มต้นนับหนึ่ง เพราะฉะนั้นว่ามันเป็นการเดินทาง

 ถ้า ณ วันนั้นคนพูดว่าผมมาอยู่ในวงการเพราะหน้าตาก็ไม่เป็นไร จริงๆ ผมก็แก่คาจอนะ (หัวเราะ) เพราะผมอยู่มาตั้งแต่เด็ก เพราะฉะนั้นผมจะไม่เหมือนบางคนที่จบมหาวิทยาลัยแล้วมาเป็นนักร้อง เขาผ่านอะไรมาบ้างแล้ว แต่ผมโชว์ทุกคนตั้งแต่นับหนึ่ง ก็ไม่แปลกที่ผมเริ่มมาเพราะหน้าตา แต่ผมรู้สึกดีนะ ผมแฮปปี้นะ ที่ผมรู้สึกตัวว่าเราต้องพัฒนา ผมดีใจที่ผมยังรู้ตรงนี้ ดีกว่าผมรู้สึกว่าผมไม่จำเป็นต้องเรียนบวก หรือลบ ถ้าเป็นแบบนั้นผมม้วนเสื่อกลับไปนานแล้ว



แล้วถ้าถึงวันนี้ก็ยังมีคนมองโดมเรื่องหน้าตามากกว่าความสามารถล่ะ

 พอโตขึ้นมาความเข้าใจเริ่มมากขึ้น เมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว ยังรู้สึกว่าอยากให้คนเข้าใจงานของเรา ทำไมต้องมองเราที่หน้าตา แต่ท้ายที่สุดแล้ว มาคิดว่าจะหน้าตาหรือฝีมือก็ดีทั้งนั้น เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะยังไงก็เป็นบวก คือมันบวกทั้งคู่ มี 2 ทางเลือกยิ่งดีด้วยซ้ำ หรืออาจจะมีข้อ 3 ชอบหน้าตาและฝีมือด้วย ถูกทุกข้อ ท้ายสุดเขาก็ชอบผม ถือเป็นเกียรติที่ชอบผม (ยิ้ม) ถ้าใครยังคิดว่าผมมาขายหน้าตาหรือเปล่าก็ขอบคุณ อย่างน้อยมองเราว่าไม่ขี้เหร่ แต่ถ้ามองด้วยว่าเพลงเราเพราะก็ยิ่งดีใจ

เขาบอกว่าอายุงานในวงการบันเทิงมันสั้น โดมคิดแบบนั้นไหม หรือเตรียมแผนรองรับอะไรกับชีวิตไว้บ้าง

 คือผมมองว่าเราต้องเลือกที่ยืนให้ถูก แล้วเราจะอยู่ได้นาน เลือกที่ยืนแล้วเราต้องรู้ตัวด้วยว่าเราคือใคร ทำอะไรได้บ้าง เราควรต้องทำอะไรต่อไป แล้วพัฒนาตัวเองต่อไปยังไง ท้ายที่สุดถ้าผมเริ่มต้นมาจากป๊อปทีน แล้ววันนี้ผมยังแอ๊บแบ๊วอยู่ ผมคงไม่รอด เพราะฉะนั้นผมต้องวางผังชีวิตตัวเองว่าถึงวัยเท่านี้ ผมควรต้องก้าวไปทำอะไรต่อไป ไปการแสดงไหม ถ้าทำได้แบบนี้อยู่ได้อีกนาน มันต้องมองเอาไว้ เพราะผมเชื่อว่าทำไปเรื่อยๆ เถอะ ถ้าเรารู้จริงทำได้แน่ๆ ยิ่งประสบการณ์ 10 กว่าปีมันก็ยิ่งรู้อะไรมากขึ้นแล้ว (ยิ้ม)



มุมมองความรักแบบไม่ลับของ"โดม"

วางแผนชีวิตการงานแล้วกับเรื่องของความรักวางเอาไว้อย่างไรบ้าง

 (ยิ้ม) คือจริงๆ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่มองว่าชีวิตแต่งงานสำคัญ ผมมองว่าผู้ชายที่ประสบความสำเร็จในชีวิตส่วนมากมักจะมีชีวิตครอบครัวที่ดีเสมอ ผมก็อยากมี แต่ในตอนนี้ยังหาไม่ได้เลย ต้องดูต่อไป แต่คุณแม่ผมอยากให้แต่งงานนะ ก็ถามว่าจะเมื่อไหร่ จะแต่งไหม

ประสบการณ์ความรักที่ผ่านมาให้อะไรกับโดมบ้าง

 มันก็เหมือนโตขึ้นตามวัย แต่ผมว่าผู้ชายมีความเป็นเด็กในตัว คือโต แต่ก็ยังมีความเป็นเด็กอยู่ แต่เราก็โตขึ้นตามวัย ซึ่งผมก็ยังมองว่าสวยงาม กระชุ่มกระชวย ให้กำลังใจ ยังรู้สึกเหมือนเดิม

ผู้ชายอย่างโดมยังต้องขวนขวายเรื่องความรักอยู่ไหม

 ขวนขวายครับ ขวนขวายมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เหมือนกับว่าบางทีคนที่เข้ามาอาจจะเป็นคนที่เราต้องการให้มาเข้าใจก็พอ รู้ในความเป็นเราก็พอ แต่ด้วยความที่เรายืนอยู่จุดนี้ มันยากทั้งสองฝ่าย ทางเขาก็อาจจะมองว่าผมอยู่ตรงนี้สาวๆ เยอะหรือเปล่า มีเวลาให้เขาหรือเปล่า อาชีพผมก็เป็นทั้งนักร้อง ดีเจ บางคนก็อาจจะคิดว่าผมจะไว้ใจเขาหรือเปล่า ผมจะคิดไหมว่าเขาเข้ามาหาผม เพราะผลประโยชน์หรืออะไรไหม คือมันจะมีช่องตรงนี้ ท้ายสุดแล้วมันไม่มีอะไรเลย เราต้องการอะไรง่ายๆ สะอาดๆ แต่ด้วยความที่องค์ประกอบมันเป็นแบบนี้ และคนอื่นมองแบบนี้ เลยจะยากกว่าคนอื่น เพราะฉะนั้นไม่ได้เป็นเหมือนคนอื่นคิดว่าเราจะเป็นคนเลือก ไม่ใช่เลยครับ ไม่มีใครเพอร์เฟกต์หรอก



ช่วงนี้เลยหยุดที่จะตามหารักด้วยหรือเปล่า

 ตอนนี้หยุดเลย มันมีช่วงหนึ่งที่ผมไม่มีแฟน ชุดนั้นเป็นชุดแรกในชีวิตที่ผมเป็นโปรดิวเซอร์ ได้รางวัลด้วย ตอนนั้นไม่ได้ไปไหนเลย ให้แม่บ้านซื้อข้าวให้กิน 2 เดือน ทำงานอย่างเดียว สิวขึ้นเต็มหน้า คือผมมองว่าความรักมันสวยงาม และรักแล้วต้องทุ่มเท แต่บางทีถ้าเราทุ่มเทกับเรื่องงาน มันอาจจะมีมุมดีๆ อะไรกลับมาได้บ้าง คราวนี้ผมก็เลยขอลองอีกสักตั้ง ทุกวันนี้ผมซ้อมเพลงถึงตี 2 ไม่ต้องมีใครโทรมา (ยิ้ม) โลกส่วนตัวเลย

 คือตอนนี้ผมมองว่ามันเริ่มวุ่นวายมาก ทั้งเรื่องข่าวไม่จริงก็เยอะ บางเรื่องจริงผมก็ยอมรับนะ แต่บางเรื่องที่ไม่จริงมันก็สร้างความรำคาญใจให้เราอย่างมากทีเดียว ยิ่งผมอยู่ในสังคมกลางแจ้งแบบนี้ มันลำบากมากเลยนะ มันเหมือนอยู่บนเส้นบางๆ ผมเลยคิดว่าง่ายๆ ตัดก่อนเลย มันยุ่งซะเหลือเกิน มีเรื่องปวดหัวมาใส่เรา

อยากได้คู่ชีวิตเป็นคนในหรือนอกวงการดี

 ใครก็ได้ครับ แต่ผมจะปล่อยให้มันเหมือนกับวิธีการทางธรรมชาติมันเป็นไปเอง ผมจะไม่ไปเร่งรัดมัน เด็กๆ ผมชอบวิ่งเข้าไปหา ต้องไปจีบ ต้องโทรไป ต้องเอาชนะ เพราะรู้สึกว่าอยากจะได้ใจเขา แต่เดี๋ยวนี้ไม่แล้ว ผมจะอยู่นิ่งๆ ตรงนี้แหละ และจะไม่ให้เขาเดินเข้ามามากด้วย จะบอกเขาว่าเดินเข้ามามากเดี๋ยวเหนื่อย จะให้วิธีการทางธรรมชาติเป็นไปเอง ถ้ามันใช่ก็ใช่ดีกว่า



ยังมีกระแสบอกว่าโดม พลอย อาจจะมีสิทธิ์ลุ้นที่จะรีเทิร์น โอกาสมีไหม

 ผมไม่อยากบอกว่ามี หรือก็ไม่อยากบอกว่าไม่มี เพราะผมไม่รู้อนาคต เราเดาอนาคตไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกคำตอบ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องรักอย่างเดียว แต่ผมจะไม่ตอบอะไรที่เป็นอนาคต ที่เป็นการฟันธง ยืนยัน ผมไม่เคยพูดแบบนั้น เพราะเหมือนเป็นการผูกมัดตัวเอง เกิดวันหนึ่งเราไม่ได้จะเป็นแบบนั้น ทำแบบนั้น มันจะเป็นการกลืนน้ำลายตัวเอง ทุกอย่างมันเกิดได้เสมอเรื่องแบบนี้ ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ

วาดฝันกับเรื่องชีวิตคู่ไว้อย่างไรบ้าง

 คือผมอยากมีชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป เป็นคนติดบ้านด้วยซ้ำ ตอนนี้ไปซื้อที่ที่เชียงใหม่ไว้ ก็อาจจะไปอยู่ที่นั่น อยากมีลูกสัก 2 คน (ยิ้ม) แต่ทุกอย่างต้องรอให้งานอยู่ตัวด้วย ที่สำคัญคือรอหาแม่ของลูกให้ได้ด้วย (หัวเราะ)

 เผยไต๋ให้ได้รับทราบกันถ้วนหน้าว่าสถานภาพทางหัวใจเป็นแบบไหนในตอนนี้แล้ว สาวๆ หลายคนคงยิ้มกันแก้มปริ สี่ห้องหัวใจจะตกเป็นของใครกันน้า



เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์