เสี่ยเจียง น้ำตาซึม ประกาศสละนายกสมาพันธ์ฯ ซัด ททท.จัดงานเห็นแก่ได้ เห็นหนังไทยเป็นหุ่นเชิด

"เสี่ยเจียง" น้ำตาซึม ประกาศสละนายกสมาพันธ์ฯ

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 9 กุมภาพันธ์ 2549 20:35 น.

"เสี่ยงเจียง" เซอร์ไพรส์ ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งนายกสมาคมสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติ เจ้าตัวน้ำตาซึมเปิดใจปัญหาวุ่นวายภายในเป็นสาเหตุสำคัญ พร้อมจวกแหลก ททท.ทำวงการหนังแตกแยกหลังแอบติดต่อสมาชิกค่ายหนังเข้าร่วมงานบางกอกฟิล์มฯ โดยไม่ผ่านสมาพันธ์ฯ ซัดเห็นแก่ได้แต่ไม่เคยทำประโยชน์อะไรให้กับวงการหนังไทย

วุ่นวายทีเดียวสำหรับกรณีที่นายกสมาคมสามพันธ์ภาพยนต์แห่งชาติ เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสิรฐ และคณะกรรมการบริหารสมาคมสมาพันธ์ภาพยนต์แห่งชาติมีมติจะไม่เข้าร่วมการจัดงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล ฟิล์ม เฟสติวัล 2006 ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)เป็นเจ้าภาพ ด้วยเหตุขัดต่อกฏของสมาพันธ์ที่เคยมีมา ส่งผลให้สมาชิกของสมาพันธ์ฯ 5 ราย อันประกอบด้วย บริษัทไฟว์สตาร์ โปรดักชั่น จำกัด, บริษัทอาร์เอส ฟิล์มจำกัด, บริษัทจีทีเอช จำกัด, บริษัทออนป้าจำกัด และบริษัทบ็อกออฟฟิศ จำกัด ไม่พอใจในการกระทำดังกล่าว ตัดสินใจยื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกของทางสมาพันธ์ฯ

ทั้งนี้ในเย็นวันนี้ (9 กุมภาพันธ์) ที่โรงแรม เอส ซี ปาร์ค สมาคมสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติ ได้จัดให้มีการประชุมวิสามัญประจำปีขึ้น โดย เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ ได้แถลงเปิดใจถึงกรณีที่ทำให้ตนลุกออกจากเก้าอี้นายกสาพันธ์ฯ รวมถึงเหตผลที่ทางสมาพันธ์ไม่เข้าร่วมงานบางกอกฟิล์มฯ ว่า เป็นเพราะการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)ไม่ทำหนังสือเชิญทางสมาพันธ์เลยแม้แต่น้อย แต่กลับเชิญไปทางค่ายหนังแทน ครั้นพอตนขอคุยด้วยก็ไม่ได้รับการติดต่อกลับ พร้อมกล่าวตำหนิททท.ว่าเป็นผู้ที่ทำลายวงการอุตสาหกรรมหนังไทย ทำให้วงการหนังแตกแยก

"ที่ผ่านมา การจัดงานเทศกาล บางกอกฟิล์ม เฟสติวัล ของ ททท. ล้วนแต่ทำเพื่อธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างเดียวเท่านั้น เพียงแต่เอาหนังไทยไปเป็นหุ่นเชิดเท่านั้นเอง"

ส่วนกรณีการออกจากการเป็นสมาชิกสมาพันธ์ฯ ของทั้ง 5 บริษัทนั้นเสี่ยเจียงยืนยันว่าโดยส่วนตัวไม่มีปัญหาแต่อย่างใดกับทั้ง 5 บริษัท พร้อมกับบอกด้วยว่าปัญหาของททท.นั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่ทำให้ตนต้องลุกออกจากเก้าอี้หากแต่เป็นเหตุผลของความวุ่นวายที่เกิดขึ้นภายในสมาพันธ์ฯ ที่ทำให้ตนเองต้องตัดสินใจ โดยได้ยื่นหนังสือใบลาออกให้กับ นายชัยวัฒน์ ทวีวงศ์แสงทองเลขาธิการสมาคมสมาพันธ์ภาพยนต์แห่งชาติในวันนี้ก่อนที่เจ้าตัวจะเปิดใจด้วยน้ำตานองหน้าว่า...

ถึงผมจะลาออกจากนายก แต่ผมยังเป็นสมาชิกสมาพันธ์อยู่ ผมจะทำให้สมาพันธ์ก้าวไปข้างหน้าให้ประสบความสำเร็จให้ได้ ผมจะไม่ลาอออกจากมวลสมาชิก ผมขอขอบคุณกรรมการทุกท่านที่ร่วมงานกับผมมาตลอด 3 ปีเต็ม เสี่ยเจียงกล่าวทิ้งท้ายหลังจากเสร็จสิ้นการประชุมก่อนจะออกมาชี้แจงปัญหาต่างๆ ที่หลายคนข้องใจ เฉพาะอย่างยิ่งข้อกำหนดที่ว่าบริษัทใดจะนำหนังเข้าฉายตามโรงนั้นบริษัทดังกล่าวจะต้องเป็นสมาชิกเสียก่อนว่า ที่ผ่านมาตนไม่ได้ใช้อภิสิทธิ์ในการเป็นนายกฯ ในการนำหนังเข้าฉายแต่อย่างใด ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามความเหมาะสม

เรื่องยุบหนังฉาย เมื่อผมลาออกในวันนี้กติกาทั้งหมดก็หมดลง คือถ้าผมไม่ลาออกกติกาทั้งหมดยังเป็นอยู่มันจะลำบาก ผมไม่สบายใจ ถ้ากติกาทำขึ้นมามันจะมีปัญหากับบริษัทหนังคือมันฉายหนังไม่ได้ โรงหนังก็ตัดสินใจลำบาก สู้ผมไปเอง เราคนทำหนังก็ยังอยู่ ผมไม่อยากให้มันแตกกันถ้าผมลาออกวันนี้กติกาที่ผมตั้งมันก็หมดไป จะมีขึ้นมาใหม่เมื่อนายกใหม่ขึ้นมา

ภาพรวมของวงการหนังไทยในตอนนี้ถือว่ามีปัญหามาก?
เรามีกฎของสมาพันธ์อยู่แล้วว่าถ้าไม่เป็นสมาชิกสมาพันธ์เอาหนังเข้าฉายไม่ได้ โรงหนังก็ถามมา ผมบอกให้รอวันนี้ ถ้าผมตัดสินใจอยู่มันก็เดินตามกฎ ถ้าเดินตามกฎหนังก็ฉายไม่ได้ ยิ่งทะเลาะกันไปใหญ่หาว่าผมเป็นมาเฟีย นักเลงผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นถึงได้บอกว่าผมไม่เข้าใจเรื่องนี้ มันเกิดขึ้นมาด้วยเรื่องนิดเดียว เรื่องของสมาพันธ์แท้ๆ เรื่องของ ททท.ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต

ปัญหาผมไม่รู้ ต้องนายกคนใหม่มา เลือกตั้งใหม่ภายใน 30 วันนี้ นายกใหม่เข้ามาเปลี่ยนกติกาข้อตกลงเกิดขึ้น ถ้ามีคนเสนอชื่อผมก็ไม่เอาผมไม่กลับไปแล้ว ไม่เอา

ยืนยันเป็นเรื่องของปัญหาภายในที่ตนเองรู้สึกไม่สบายใจ ส่วนทั้ง 5 บริษัทที่แยกออกไปเจ้าตัวย้ำว่าไม่มีปัญหา
มันไม่สบายใจ คือที่ผมเข้ามาผมอยากจะรวมคนถ้าผมคนเดียวทำให้คนอื่นแตกกันก็ไม่รู้จะทำทำไม มันเกี่ยวกับว่าวันนี้ที่ผมลาออกก็เพราะถ้าผมอยู่มันจะยิ่งเกิดการร้าวฉานหนัก ให้นายกใหม่เข้ามาทำงานดีกว่า เขาอาจทำได้ดีก็ได้

5 บริษัทก็สนิทไม่เห็นมีอะไร พวกเราอยู่ในองค์กรแล้วมาสะบัดหน้าหนีเราไปอย่างนี้เพื่ออะไรก็ไม่เข้าใจ ประโยชน์มันมี แต่บางคนเอาประโยช์ตนเป็นหลักการรวมกันเป็นเรื่องเล็ก ไอ้อย่างผมการรวมกันเป็นเรื่องใหญ่ ประโยชน์เล็กๆ ผมเสียหายกับหนังตั้งเท่าไหร่ ครั้งหนึ่งหนังเรื่องต้มยำกุ้งฉายผมเชื่อว่าทุกคนต้องมาดู หนังผมระดับหนังคิงคอง ผมถามว่าหนังต้องแบ่ง 50 เปอร์เซ็นต์ให้ผมมั้ย เพราะ 55 เปอร์เซ็นต์ 2 วีคเท่ากับเรื่องคิงคอง รู้มั้ย 2 อาทิตย์แรกผมได้ร้อยกว่าล้าน

ผมได้ทุนคืนมาอย่างน้อย 7 ล้าน ผมไม่เอา ผมเรียกเอสเอฟกับเมเจอร์เข้ามาคุยกันเลย คืนให้คุณเลย แต่ผมขอร้องว่าหนังไทยทั้งหมดต้อง 50 ใหญ่เล็กทุกอย่างขึ้นชื่อว่าหนังไทยต้อง 50 คือผมพยายามทำให้เป็นธรรม"

ประกาศชัดไม่กลับเข้ามาอีก พร้อมภาวนาให้สมาพันธ์ฯ ได้คนดีๆ เข้ามาทำงาน
หาคนที่ดีเข้ามาบริหารสมาพันธ์นี่ต้องอยู่เป็นองค์กรรวมที่มีอำนาจต่อรองกับภาครัฐจากการทำหนังทุกอย่าง แต่ถ้าองค์กรสลายกันไปตาย มันนจะลำบาก ผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น อยากให้หนังรวมกัน มีอำนาจต่อรองกับทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วทุกอย่างมันจะดีขึ้น ถ้าเราแยกกันอยู่มันก็อยู่ได้ แต่ไอ้บริษัทเล็กๆ มันจะตาย จะบอกให้ ไอ้บริษัทผมไม่เป็นไรหรอก เราเข้ามาก็เสียสละเต็มตัวอยู่แล้ว วันนี้ทำหนังเราก้าวไปสู่อินเตอร์อยู่ จะไปหาเงินเมืองนอกเข้ามาอยู่แล้วบ้าง คนทำหนังรุ่นใหม่และบริษัทหนังที่ยังไม่โตพอต้องเห็นใจเขาบ้างเหมือนกัน

ผมไม่กลับมาแน่ๆ ผมพูดแล้วคงไม่มี เลขารักษาการเขาสั่งไว้ ผมไปพูดกับท่านนายกท่านบอกให้ทำตามนั้น แต่ว่าผมลาออกจากนายกกฎต่างๆ ก็หยุดลง สมาชิกคนไหนอยากไปร่วมงานก็ไปได้ทันทีไม่ต้องรอ แต่สหมงคลฯ ไม่ไป เพราะถือว่าเป็นมติของสมาพันธ์ บริษัทผมเป็นหัวหลักให้คนอื่นเขามองเห็นว่าเราปฏิบัติตามกฎสมาพันธ์ตลอดเวลา

ผู้บริหารของบ.สหมงคลฯ ยังได้วิจารณ์ไปถึงการทำงานร่วมกับ ททท.ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมาว่าในส่วนของวงการหนังแล้วได้ประโยชน์ที่น้อยมาก
ได้ประโยชน์ในเรื่องการทำหนังนี่ผมว่าน้อย ทำให้คนต่างชาติรู้จักเมืองทยมากขึ้นจริง แต่ว่าไม่ใช่หนังไทยได้ประโยชน์มากขึ้น ไม่จริง เถียงตายเลยว่าอย่างไรก็ไม่จริง แต่คนต่างชาติได้เข้ามาเมืองไทย แต่คุณได้นั่งชั้นบิสเนสคลาสฟรี มีรถประจำตำแหน่งทำไมถึงจะไม่มา คุณให้ผมทำซิจะจัดให้ยิ่งใหญ่ ทุน 300 ล้านในการจัดครั้งนี้

คุณไม่พูดกับวงการหนัง คุณพูดกับสมาพันธ์ซิ เราทำหนังอยู่บริษัทหนังเรารู้จักหมดทุกคน ติดต่อได้เหมือนกัน บริษัทเมเจอร์ก็อยู่เมืองไทยเขาช่วยอยู่แล้ว พูดเขาก็ให้ความร่วมมือกับเรา เขาอยากช่วยเรา การทำงานมันมี 2 แบบ แบบหนึ่งเสียเงินมาก อีกแบบเสียเงินน้อย มันเป็นเงินภาษีพวกเรา บางครั้งเราก็ต้องมีความคิดเหมือนกันทำไมต้องใช้เงินตั้ง 300 ล้านทำงานแค่ 100 ล้านก็ตายแล้ว

การทำงานช่วงนี้ของผู้ว่าททท.ถือว่าทำร้ายวงการหนัง ทำให้วงการหนังแตกแยก นี่ก็แตกแล้วไงถูกมั้ย ธรรมดาวงการหนังต้องรวมกัน นายกทักษิณ ผมเข้าไปพบท่านนายกพร้อมผู้ว่า ท่านคุยกับผมบอกให้รวมหนังเป็นหนึ่งเดียจวแล้วท่านจะช่วยเองต่อหน้าผู้ว่าททท.

ออกอาการไม่พอใจ ททท.ไม่ยอมทำกติกา
"คุณทำอะไรทุกครั้งต้องติดต่อสมาพันธ์ซิ ไม่ใช่ไปติดต่อบริษัท ผมถามว่าคุณทำเพื่ออะไร ทำไมคุณไม่โทรเรียกกรรมการสมาพันธ์เข้าไปคุยก็รู้เรื่องแล้ว ซึ่งตรงนี้คุณเลี่ยงมา ถอยมาอยู่ตลอดเวลาจนถึงวินาทีสุดท้ายถึงเข้ามาหาเราแล้วบอกด้วยว่าได้ติดต่อทุกบริษัทแล้ว สมาพันธ์ไม่ต้องไปยุ่งกับบริษัท สมาพันธ์เอาเงินไปสองล้านเพื่อไปทำโฆษณาเชิญนักแสดงต่างประเทศฝั่งเอเชียมาให้เรา

ผมไม่รู้ ผลประโยชน์อะไรผมไม่เกี่ยว ผมติดใจนิดเดียวว่าทำมคุณจะเชิญบริษัทผู้จ้างในเมืองไทยถึงไม่บอกสมาพันธ์ คุณทำอย่างนี้ทำให้สมาพันธ์แตกแยก ไม่เกี่ยวกับประเทศชาติ อย่าเอามาอ้าง ผมพูดอย่างนี้เลย ทำไมผมจะไม่เข้าร่วมเชิญมาซิแล้วผมจะไปให้ แต่คุณทำอย่างนี้อย่างที่บอกมันทำให้องค์กรแตกแยก ผมก็ไม่รู้ว่ามวลสมาชิกผมจะกล้าถึงขนาดนี้ มีผลประโยชน์อะไรบ้างก็ไม่เข้าใจ ผมทำงานสมาพันธ์มา 3 ปีกว่าแล้ว พอแก่เวลาแล้ว

ภาพที่ออกมาตามข่าวดูเหมือนว่าทางสมาพันธ์ฯ เองจะได้รับเงินจากททท.ในการสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ อยู่พอสมควร ทว่าเรื่องจริงที่ออกมาจากปากของอดีตนายกสมาพันธ์ฯ หมาดๆ ก็คือ น้อยมาก ก่อนจะประเมินภาพรวมในการจัดงานบางกอก ฟิล์มในครั้งนี้ให้ฟังว่าค่อนข้างจะไม่ดีเท่าที่ควร
"เงินที่เขาให้มา10 ล้านเราต้องไปทำโฆษณาให้ 40 - 50 ล้าน เราต้องไปเอาเงินมาขอโรงหนังบ้าง ทีวีบ้าง บางทีทำแล้วสมาพันธ์อาจมีเหลือ สิบล้านเหลือสักล้านสองล้าน ก็เข้าสมาพันธ์หมด แค่นี้ เงินไม่สำคัญหรอก มันเกี่ยวกับความไร้ศักดิ์ศรีของสมาพันธ์มากกว่า

การจัดงานสู้ของเราที่เคยทำมาไม่ได้ ของเราสถานที่ดีกว่า อันนี้มันเป็สยามพารากอน เป็นสถานที่ใหม่ ททท.เป็นคนทำให้ปัญหาเกิด ค่ายหนังก็อย่าไปว่าเขานะ คนเราผลประโยชน์นะ ผมไม่รู้ว่าใครจะได้ประโยชน์กันยังไงใน 4 - 5 บริษัท ผมก็รู้พอประมาณว่ามีบางค่ายได้ประโยชน์ไป แต่ว่าเมื่อเขาตัดสินใจที่อื่นดีกว่าสมาพันธ์ของเรา เราก็ต้องถอย

ผมไม่ทำแล้วจริงๆ ผมสู้เรื่องนี้มาตั้งอาทิตย์หนึ่งแล้วว่าจะทำอย่างไรดีกับมัน ผมยอมที่จะเข้าไปหาเพื่อไม่ให้แตก ผมไปหาคุณเชน (เจริญ เอี่ยมพึ่งพร) นี่ผมมีหัวใจนะ ผมยังยอม ผมให้คุณสุวัฒน์หุ้นส่วนที่เอสเอฟเรียกเสี่ยเชนให้ผมทีแล้วผมจะเข้าไปพบขอร้องดีๆ

ทิ้งท้ายอย่างน้อยใจพูดผิดแค่ครั้งเดียวให้อภัยกันไม่ได้
เพียงแต่พูดผิดไปนิอดเดียว พอดีวันนี้มีหนังไฉไลเข้าฉายรอบสื่อที่เมเจอร์รัชโยธิน แล้วนักข่าวถามผมทำไมหนังเรื่อง Invisible Wave (คำพิพากษาของมหาสมุทร)ได้เข้าไปเป็นหนังเปิดงาน ผมบอกว่าหนังเรื่องนี้สมาพันธ์ไม่ถือว่าเป็นหนังไทย แค่นี้ แล้ววันนั้นเขาเข้าประชุมผมก็ขอโทษเขาที่ทำให้เขาเสียหาย แต่จริงๆ ก็ยืนยันว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังต่างชาติร่วมทุน ไม่ใช่คนไทยสร้าง"

"ผมก็ไม่ว่าถ้าคุณจะเอาหนังเรื่องนี้เปิดทางเราก็หาทางให้ แต่คุณทำเรื่องมาให้สมาพันธ์เป็นคนเจรจาเรื่องก็จบแล้ว ไม่มีอะไร แค่นี้ แล้วคุณก็ได้สิ่งนั้น คุณอาจจะเสียเงินน้อยด้วยก็ได้ สมาพันธ์ใช้ความเป็นองค์กรคุยกับมวลสมาชิกมันง่ายกว่า ลองถามคุณวิสูตรดูว่าทำไมทำแบบนี้

ถ้าจะไม่พอใจผมผมไม่ว่า บอกแล้วว่าผมเสียสละให้ตั้งเยอะแยะไม่ใช่ปัญหา ผมเฉย พยายามทำให้ดีที่สุดแล้วเขาจะมองยังงั้นก็ได้ พูดกับสมาพันธ์ตรงๆ ก็ได้ ผมไม่พอใจนายกฯ อยากเปลี่ยน แค่นั้นผมก็ลาออกให้ผมไม่ได้ยึดอยู่กับเก้าอี้ตัวนี้ เก้าอี้ตัวนี้มันผลัดกันขึ้นมาทำหน้าที่ ไม่ใช่ของผมคนเดียว เหลืออีกปีกว่าผมก็ไปแล้ว กฏมันมีอยู่แล้ว


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์