เปิดใจหม้ายสาวป้ายแดงเมจิชีวิตคู่ล่มไม่โทษใคร

ถือเป็นคู่รักทรหดคบหาดูใจกันมาเกือบ 10 ปี ก่อนตัดสินใจวิวาห์ประกาศการใช้ชีวิตคู่อย่างเป็นทางการเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา สำหรับสาวลูกผสมไทย-ญี่ปุ่น "เมจิ"อโณมา ศรัณย์ศิขริน กับนักแสดงหนุ่ม "แมน"ศุภกิจ ตังทัตสวัสดิ์

แต่แล้วชีวิตคู่ของทั้งคู่ก็มีอันต้องล่มสลาย

อะไรคือสาเหตุ สาวผู้ครองตำแหน่งม่ายมาหมาดๆ มีคำตอบ

- มีแฟนคนแรกตอนอายุเท่าไหร่?

เมจิ - "อายุ 15 ค่ะ คบกัน 2 ปีก็อกหัก เฮิร์ต คิดเลยว่าจะไม่ยุ่งกับผู้ชายที่ไหนในโลกนี้อีกแล้ว จนอายุ 19 มาเจอพี่แมน(ศุภกิจ) ก็ยิงยาวมา 10 ปีเต็ม เมจิเป็นคนรักใครรักจริงและ จริงใจ ไม่เผื่อเลือก ค่อนข้างเต็มร้อยกับความรักมาก กับพี่แมนแค่เจอกันครั้งแรกรู้สึกเหมือนเป็นดวงที่จะได้อยู่ด้วยกัน ประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่มองตากัน โดยที่ไม่ได้ศึกษากันก่อน นึกจะคบก็คบ ชอบพี่แมนที่เป็นคนสนุกสนาน สบายๆ ดูเป็นธรรมชาติเลยทำให้เราทำอะไรแบบไม่ต้องเกร็ง"


- คบกันจนตัดสินใจแต่งงาน?

เมจิ - "แต่งงานตอนปี 2549 ตอนนั้นเมจิอายุ 28 ปี เป็นอะไรที่พร้อม เพราะคิดมาตั้งแต่อายุ 27 แล้วว่าจะแต่งงานเมื่อไหร่ดี วางแผนและเริ่มมองอะไรเยอะขึ้นเพื่อเป็นรากฐานของเรา มองเผื่อมีลูกด้วย เรื่องบ้านเรื่องที่อยู่ คุยกันตั้งแต่อายุ 27 จากนั้นก็ไปซื้อบ้าน แยกกันมาอยู่ 2 คน คิดไว้ถึงเผื่อมีลูกเลยเลือกบ้านที่มีพื้นที่เยอะหน่อย พอทุกอย่างลงตัวเราก็ตัดสินใจแต่งงาน"

- หลังแต่งงานเป็นอย่างที่คิดไว้ไหม?

เมจิ - "สเต็ปแรกผ่านหมด บ้าน ธุรกิจ หน้าที่การงาน การดำเนินชีวิตคู่ในช่วงแรกๆ เป็นไปตามที่คิด"

- ฟังดูชีวิตก็แฮปปี้ดี อะไรคือจุดเปลี่ยน?

เมจิ - "มีความรู้สึกที่ว่าเปลี่ยน มีอะไรที่แทรกเข้ามาชนิดที่ไม่น่าเกิดขึ้น เลยเริ่มรู้สึกว่าชีวิตเริ่มสั่นคลอน ตอนแรกเริ่มสั่นคลอน จากเรา 2 คนก่อน ด้วยความที่เริ่มทำงานมากขึ้นเลยเริ่มจากการเครียดทั้งคู่ กลับบ้านมาก็ปะทะกันเหวี่ยงกันไปมาจนหาจุดจบไม่ได้ และปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเล็กๆ ที่รวมๆ กันจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ ทะเลาะกันได้แม้กระทั่งเรื่องพื้นบ้าน"

- รวมถึงเรื่องที่เป็นข่าว (มีมือที่สาม) ด้วยหรือเปล่า?

เมจิ - "เรื่องนั้นก็มีเข้ามาบ้าง เลยทำให้ต้องแก้ เมจิไม่ได้มองว่าเรื่องนั้นเขาผิดทั้งหมด เราต้องมองด้วยว่าเราผิดพลาดอะไรหรือเปล่า ถึงทำให้เกิดขึ้นลักษณะแบบนี้ ก็มานั่งคุยกันว่าเราต้องเป็นแบบไหนอยู่ในสภาพนี้ต้องทำอะไรสักอย่าง"

- เพราะไม่มีลูกเลยกลายเป็นปัญหาไหม?

เมจิ - "เคยคิดนะ แต่คุยกันแล้วมันไม่ใช่ปัญหาตรงนั้น เราทำงานกันทั้งคู่ ถ้ายังไม่ลง ตัวแล้วเกิดมีลูกขึ้นมาอีกคนต้องเหนื่อยมาก เคยคุยกันในบางจังหวะไม่มีลูกก็ได้ แต่อีกสักแว้บมีอารมณ์แบบว่าเพื่อนๆ เริ่มมีลูกกัน ก็เห็นถึงความน่ารักของเด็ก เราทั้งคู่ไม่ได้มีอะไรตายตัว ดูจังหวะมันมาเดี๋ยวคำตอบจะบอกเองมากกว่า"

- เคยคิดไหมถ้ามีลูกสถานการณ์จะไม่เป็นแบบนี้?

เมจิ - "เคยคิดว่าการมีลูกเป็นสิ่งที่ดีจะได้มาเติมเต็มให้ครอบครัว แต่คงไม่ได้เอาลูกมาดึงดูดอะไรบางอย่างให้เขากลับมา เมจิมองว่าถ้าเขาจะเปลี่ยนอะไรไปคงไม่ใช่เพราะลูก แต่คงเป็นที่ตัวคนมากกว่า"

- ก่อนตัดสินใจเลิกได้ปรึกษาคุณแม่บ้างหรือเปล่า?

เมจิ - "ไม่ค่ะ เมจิรอให้ทุกอย่างจบก่อนแล้วค่อยไปเล่าให้ฟัง เพราะคุณแม่ค่อนข้างปล่อย แล้วเขามั่นใจการทำงานและวิธีการดำเนินชีวิตของเมจิ เขามั่นใจว่าเมจิเป็นคนที่สามารถแก้ไขปัญหาชีวิตตัวเองได้ เขาเลยมั่นใจว่าชีวิตคู่ไม่น่าใช่ปัญหาอะไร คุณแม่บอกถ้ามาในลักษณะแบบนี้แล้วเป็นสิ่งที่ทำให้มีความสุขทั้งคู่ก็ทำไปเถอะ"

- เคยลองคุยกับแมนจริงจังก่อนตัดสินใจไหม?

เมจิ - "เคยลองรีเซ็ตกันแล้วเหมือนฝืน 10 ปีคบกันนานมากจนน่าจะมีจุดๆ นึงที่ทำให้รู้สึกเหมือนพี่น้อง อย่างเขาจะไปไหน ทำอะไรเราไม่ค่อยหึง ไม่ค่อยโทร.ตาม เลยมองว่าจุดนี้น่าจะมีส่วนทำ ให้เราไม่ได้รู้สึกเหมือนสามีภรรยา ที่ไม่ตามส่วนนึงเพราะไว้ใจ ประกอบกับเราเป็นคนไม่หึง"

- วินาทีที่ตัดสินใจแยกทางกัน?

เมจิ - "วันนั้นรอเขาตื่นขึ้นมา ก็นั่งคุยกันสบายๆ เหมือนในใจเรารู้สึกกันทั้งคู่แต่ไม่มีใครพูดก่อน เหมือนเขาก็รู้สึกแต่เขาคงไม่ใช่เป็นฝ่ายพูดก่อนแน่นอน เขารอให้เมจิพูด เราก็บอกว่า "เราแยกทางกัน" ก็เล่าสิ่งที่เกิดขึ้น เขาก็โอเค บอกว่าถ้าตรงนั้นเป็นความสุขที่จะเกิดขึ้นของทั้งคู่ เขาก็ยินดี ก็คุยกันว่าเรายังมีมิตรภาพเหมือนเดิม สิ่งที่เราเคยทำผิดอะไรก็อโหสิกรรมให้"

"ที่ผ่านมาเหมือนเป็นคลื่นใต้น้ำมีปัญหาอะไรเก็บไว้ไม่พูด คิดแต่ว่ามันจะผ่านไปได้ด้วยดี พอเก็บๆ ไว้จนรื้อออกมาพูดไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงเลยกลายเป็นปัญหา ที่ไม่พูดเพราะเราให้อภัย เราปล่อยวางเพราะเข้าใจ แต่จริงๆ มันต้องเคลียร์ถึงจะเข้าใจกันได้"

- แล้วบ้านที่เคยอยู่ด้วยกัน?

เมจิ - "เมจิไปตัวเปล่าก็ต้องเดินออกมาตัวเปล่า ยอมรับในสิ่งที่เป็น เมจิยังมีมือ มีเท้า ไม่ได้เรียกร้องอะไร ถ้าวันนึงเขาจะเอาใคร เข้ามาอยู่ ตอนย้ายเสื้อผ้าออกมาก็นั่งมองรูปชุดแต่งงาน มันเลยจุดเสียใจมาแล้ว ทุกวันนี้เราจะมองและคิดอะไรไปข้างหน้า เพราะถ้าเราคิดแต่เรื่องความเสียใจก็เท่ากับดึงตัวเองให้ทรุด บางทีทรุดถึงขนาดไม่มีแรงจะกินข้าว ก็มานั่งคิดว่าเราจะเป็นอย่างนี้อีกนานแค่ไหน พอแล้ว ต้องลุกขึ้นสู้หาคุณค่าของตัวเองให้เจอ นึกถึงความดีที่เราเคยทำตรงนี้ทำให้เป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้เราลุกขึ้นยืนได้"

"ธรรมะช่วยได้เยอะมาก บางทีตอนเศร้าเราก็ดึงธรรมะเข้ามามอง ถ้ามองให้ก้าวหน้าก็จะให้เราก้าวหน้า ถ้ามัวแต่คิดย้อนหลังเหมือนเราเดินถอยหลัง"

- เข็ดกับความรักไหม?

เมจิ - "ไม่เรียกว่าเข็ดดีกว่า ยังคงมองว่าความรักเป็นเรื่องที่ดี เมจิเปิดรับทุกอย่างในสิ่งที่ดีๆ เข้ามาในชีวิต มองชีวิตคู่ในอดีตถึงสิ่งที่ตัวเองผิดพลาดอะไรบ้าง ทำอะไรไม่ดี มีอะไรต้องแก้ไข"

- รู้สึกอย่างไรที่ต้องเป็น "ม่าย"?

เมจิ - "ไม่เป็นไร อย่างน้อยรู้สึกว่าเป็นคำที่มีเกียรติ อย่างน้อยเราก็ได้มีพิธีแต่งงานมา เราได้รีบเกียรติจากผู้ชายคนนึงที่อยู่กับเรา น่าจะเป็นรางวัลที่ดีที่ผู้หญิงคนนึงควรจะได้รับ ถึงแม้ว่ารางวัลอันนั้นจะไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป"

- มีสิ่งที่อยากจะบอกไหม?

เมจิ - "อยากบอกว่าที่ทุกคนมองว่าคู่เมจิ กับพี่แมนเป็นคู่ตัวอย่างที่ดี จริงๆ เรา 2 คนได้ทำอย่างนั้นไปแล้ว เราประ คองกันมา และขอโทษทุกคนที่ทำให้ผิดหวัง ณ วันนี้ถึงแม้เราจะแยกทางกันแต่เราก็เป็นคู่ที่ดีได้ เป็นพี่น้องกันได้ ขอบ คุณประชาชนที่ให้กำลังใจเราทั้งคู่ จริงๆ ไม่อยากโทษใครเพราะชีวิตคู่ไม่มีใครถูกไม่มีใครผิด เปรียบเทียบว่าชีวิตคู่เหมือนเปิดห้องรับแขกให้คนเข้ามา แต่เราไม่ได้เปิดห้องนอนให้เขาดู เพราะฉะนั้นอย่ามาโทษทางฝั่งพี่แมนผิดฝ่ายเดียว ชีวิตคู่เป็นเรื่องปกติ ถ้าอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็ต้องแยกกัน"

- ชีวิตหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร?

เมจิ - "ก็อยากจะกลับมารับงานในวงการบันเทิง แต่จะกลับมาได้หรือไม่อยู่ที่คนให้โอกาสมากกว่า อยากจะบอกผ่าน "ข่าวสด" ว่าเมจิอยากกลับเข้ามาทำงานในวงการค่ะ"

- อยากฝากอะไรถึงแมนไหม?

เมจิ - "อยากให้พี่แมนเป็นตัวของตัวเองเหมือนเดิม ใช้สติปัญญาที่เคยฝึกเคยปฏิบัติธรรมกันมา มาใช้ในชีวิตจริง สิ่งที่พี่แมนฝันอะไรก็ขอให้ไปให้ถึง ทำให้ประสบความสำเร็จ และขออวยพรให้พี่แมนจะคิดจะทำอะไรขอให้มีความเจริญก้าวหน้าในทุกอย่าง พบเจอใครก็ขอให้พบเจอแต่คนที่ดี จริงใจ ทำให้พี่แมนมีความสุข"

ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แค่ปรารถนาดีต่อกันก็เพียงพอแล้ว


ภูมิใจแบ่งเบาภาระ"ครอบครัว"

เพราะมีพ่อเป็นคนไทย แม่เป็นสาวแดนซากุระ สาว "เมจิ"อโณมา ศรัณย์ศิขริน เลยเป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น และมีชื่อภาษาญี่ปุ่นที่คุณแม่เป็นคนตั้งให้ว่า "เมะคูมิ"


เมจิมีพี่ชาย 1 คนอายุมากกว่า 3 ปี สมัยเด็กจะย้ายที่อยู่บ่อย เพราะคุณพ่อคุณแม่ทำงานเกี่ยวกับที่ดินทำให้เดินทางบ่อย ทั้งต่างประเทศ- เมืองไทย  อโณมา ศรัณย์ศิขริน ถูกเลี้ยงมาแบบอิสรเสรี โดยมีคุณแม่คอยคุมไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง  "พ่อแม่จะเลี้ยงเมจิแบบปล่อยมาก แต่คุณแม่จะดุ เวลาทำอะไรนอกลู่นอกทางจะดุและตีเลย คุณแม่จะใช้หวีตีจนเป็นรอย"

แล้วไปยังไงมายังไงถึงได้เข้าวงการ

เมจิเล่า "เมจิเข้าวงการมาตั้งแต่อายุ 15 ตอนนั้นไปเที่ยวอะเมซิ่งฟันปาร์กแล้วไปเจอโมเดลลิ่ง เขาก็จับถ่ายรูป ถ่ายโฆษณา โฆษณาชิ้นแรกเป็นชุดชั้นในเฟิร์สต์บรา"

อย่างนี้คุณแม่ไม่ว่าเหรอ

"ไม่ว่าค่ะ คุณแม่ไม่ได้แอนตี้ แต่เขาห่วงเรื่องเรียนและขออย่างเดียวอย่านอกลู่นอกทาง ตอนนั้นพ่อแม่แยกทางกันทำให้เรารู้สึกว่าเรานำเงินที่ได้มาแบ่งเบาภาระคุณแม่ค่ะ"

ตลอดเวลาที่ทำงานในวงการ เธอว่า สนุก

"เมจิเริ่มทำงานในวงการและเริ่มรู้ตัวว่าชอบงานพิธีกร ชอบปฏิสัมพันธ์กับคน สื่อสารกับคน สัมภาษณ์คน สมัยทำพิธีกรรายการแรกเป็นเคเบิล IBC ที่ตอนหลังเปลี่ยนเป็น UBC และเปลี่ยนเป็น TRUE ปัจจุบัน เป็นรายการเพลงที่เกี่ยวกับเพลงเอเชีย ไต้หวัน ฮ่องกง ญี่ปุ่น ไทย"

"จนกระทั่ง "พี่ภิญโญ รู้ธรรม" มาเห็นว่าเราพูดจาฉะฉาน ดูคล่องแคล่วว่องไว เลยให้มาทำรายการ "ทีนทอล์ก" ซึ่งเป็นการจุดประกายที่ทำให้เมจิดัง ซึ่งงานส่วนใหญ่มักเป็นงานพิธีกร ส่วนละครมีบ้างประปราย"

และงานที่อยากทำแต่ยังไม่มีโอกาส

เธอว่า "คืองานผู้ประกาศข่าวค่ะ โดยเฉพาะข่าวพระราชสำนัก เพราะตอนไปสอบใบผู้ประกาศข่าว เขาให้อ่านข่าวในพระราชสำนัก ทำให้เรามีความสุข เหมือนได้พูดคำที่สวยๆ งามๆ ค่ะ"

ทำงานตั้งแต่อายุ 15 ปี ดูหนักไปไหมสำหรับตัวเอง

สาวลูกผสมส่ายหน้า "ไม่เลยกลับชอบ แล้วเพิ่งมารู้ตัวทีหลังว่าเรามีความสามารถในการคุยกับคนสนุกสนาน เมจิรู้สึกดีใจที่ได้รู้อะไรก่อนคนอื่น พอมีปัญหาอะไรที่เกิดขึ้นในชีวิตเลยทำให้รู้จักแก้ปัญหาได้เร็วค่ะ"

เหมือนอย่างปัญหาชีวิตคู่ ที่เธอแก้ปัญหาและตัดสินใจได้อย่างฉับพลัน


เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์