เต้ย มาแรงแซงโค้ง ติได้...แต่อย่าเมาท์

อยู่ในวงการมา 2 ปีกว่า ชื่อเสียงของดาราสาวหน้าใส เต้ย-จรินทร์พร จุนเกียรติ จากหนัง “หนีตามกาเลลิโอ”

ก็ทำท่าจะมาแรงแซงทางโค้ง เพราะด้วยความสดใส น่ารัก และเป็นธรรมชาติ เธอเลยครองใจหนุ่ม ๆ พ.ศ. นี้ ไปหลายคน โดยเธอมีรางวัล “ดาวรุ่งหญิงยอดนิยม” จากสยามดารา อวอร์ด เป็นเครื่องยืนยันในความแรงของเธอ วันนี้เต้ยมาเยือน “ดาวต่างมุม” พูดคุยสารพันเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตของเธอ



*ชีวิตช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง?
   
มีงานเกือบทุกวันเลย ทำงานเสร็จก็ต้องไปเรียน เป็นอย่างนี้ตลอดมา 2 ปีกว่าแล้วที่อยู่ในวงการบันเทิง ก็ดีใจค่ะ บางครั้งก็ไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกันว่ามันมาถึงขนาดนี้เลยเหรอ เพราะตอนแรกไม่ได้ว่าจะมาถึงขนาดนี้ เหมือนแบบเราก็เป็นวัยรุ่นธรรมดาที่ไปแคสงานก็อยากหาเงินเพื่อใช้เอง ไม่ต้องขอพ่อแม่ มันอยู่ดี ๆ ก็มาถึงตรงนี้เอง เรียกว่ามาไกลกว่าที่คิดไว้

*ต้องปรับตัวรับความดังยังไงบ้าง?
   
มันก็แปลก ๆ นิดหนึ่ง เดินไปไหนถ้าเราเป็นคนปกติก็คงจะไม่มีคนสนใจ แต่นี่ไปไหนก็มีคนรู้จักหรือเข้ามาทักทาย มีคนมาคุยด้วย แรก ๆ ก็รู้สึกแปลก ๆ แต่ตอนนี้เริ่มชินแล้วค่ะ แต่ที่ได้รับรางวัลดาวรุ่งมาแรง ก็ดีใจ แล้วก็แปลกใจว่าตัวเองเนี่ยนะ แต่ก็ต้องขอบคุณที่เขาให้รางวัลดาราดาวรุ่ง

*คำว่าดาวรุ่งในความรู้สึกของเรามันเป็นอย่างไร?
   
ตอนแรกที่มองคือ เมื่อปีที่แล้วเป็น มาริโอ้ เมาเร่อ ได้ก็มองมาริโอ้แล้วเทียบกับตัวเอง มันไม่ได้เหมือนกันเลย เราก็เอ๊ะ ! เราได้จริง ๆ เหรอ ก็ดีใจ คุณพ่อคุณแม่ก็จะภูมิใจด้วย ซึ่งถ้าทำงานเราก็ต้องตั้งใจทำงาน เหมือนเต็มที่กับงาน แล้วมันก็อยู่ที่ดวงด้วยนะ มันอาจจะอยู่ในช่วงดวงกำลังดี เต้ยก็เชื่อเรื่องดวงนะ ไม่ได้ลบหลู่ แต่ว่าเราจะไปเชื่อเต็มร้อยก็ไม่ได้ เราก็ต้องดูเหตุผลและความจริงด้วยว่ามันเป็นยังไง เต้ยเองก็ดูดวงบ้าง ซึ่งเขาบอกว่าจะโชคดี จะมีงานเข้ามาเรื่อย ๆ จริง ๆ แล้วเข้าวงการมาไม่ได้คาดหวังอะไรเลย แต่พอมาอยู่ตรงนี้แล้วเราได้ทำไปเรื่อย ๆ  ก็น่าจะสนุกดี แต่ว่าถ้าให้คาดหวังว่าจะไปถึงไหน เมื่อไหร่ ยังไง คือไม่ได้คิดเอาไว้เลย ก็แล้วแต่ว่ามันจะต่อยอดได้ถึงขนาดไหน



*เข้าวงการมาคุณพ่อคุณแม่บอกอะไรเป็นพิเศษไหม?
   
เขาจะบอกเราว่าให้นอบน้อม พ่อแม่จะสอนอยู่แล้วว่าเจอใครก็ให้ไหว้ ทำงานก็ห้ามไปสาย แล้วก็เน้นว่าเราทำมาถึงขนาดนี้แล้วเราก็ต้องอย่าเปลี่ยนไป ให้คงความเป็นตัวเรา เราเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น เขาก็จะสอนเราตลอด แต่เขาจะห่วงว่าเวลาเรียนจะไม่พอ เขาเป็นห่วงเรื่องเรียน แล้วเราก็ต้องเจอคนเยอะ ท่านก็จะสอนให้ระวังตัว เต้ยว่าถ้าเราเอาตัวเองมาเป็นบรรทัดฐานในการวางตัว ก็ไม่ได้ลำบากอะไรมาก แค่แบบว่าเราเป็นตัวเอง เราก็สบายใจแล้ว ทำสิ่งที่เราชอบทำ เต็มที่กับมัน ก็น่าจะโอเคแล้ว

*แฮปปี้กับวงการบันเทิงมากน้อยแค่ไหน?
   
มันก็มีช่วงที่เครียด อย่างช่วงแรก ๆ มันก็เป็นช่วงที่เรากำลังปรับตัว คนต้องถามเรื่องโน้นเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ก็เริ่ม ๆ ชิน อย่างหนังที่ตอนนี้มีอยู่ ก็ดีใจที่ได้เล่น ภูมิใจ มันก็ทำให้เรามีกำลังใจที่จะทำงานต่อ

*แล้วเคยได้ยินเสียงติติงมาถึงเราบ้างไหม?
   
ก็เคยค่ะ มันก็ต้องมีอยู่แล้ว มันมีทั้งคนชมและคนติ ซึ่งเต้ยว่าคนติมันก็ดีค่ะ เหมือนเป็นสิ่งที่ให้เราได้ดูตัวเองว่าเราเป็นอย่างนี้จริงเหรอ ก็เอามาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ว่าเราไม่ฟังเสียงติของใครว่า เอ๊ะ ! มาว่าเราทำไม เต้ยไม่ได้คิดอย่างนั้น ก็คิดว่าที่เขาว่าเราก็คงมีส่วนจริง เราก็เอามาปรับตัวเอง



*ส่วนใหญ่เสียงตินี่จะเป็นเรื่องอะไร?

   
มันมีทั้งเรื่องจริงและไม่จริง บางเรื่องเรารับฟังได้ อย่างเรื่องที่ไม่จริง ก็อย่างเช่นเรื่องทำจมูก เต้ยแบบว่าขี้เกียจพูดแล้ว บอกว่าไม่ทำก็ไม่เชื่อ เรื่องนั้นก็คือปล่อยไปแล้ว ส่วนเรื่องแอ๊คติ้งการแสดง ก็มีติบ้าง คือนี่มันก็เป็นหนังเรื่องแรก ละครก็เพิ่งเล่นไปไม่กี่เรื่อง ก็มีคนบอกว่า ก็เล่นธรรมชาตินะ แต่ยังอย่างนั้นอย่างนี้อยู่ คือเราก็ต้องค่อย ๆ เรียนรู้ไป คือถ้าติในเรื่องของการทำงานคือรับได้ คือเรายินดีฟังด้วยซ้ำ เราอยากรู้ว่าเราผิดพลาดตรงไหนจะได้เอามาแก้ แต่มาติเรื่องทำศัลยกรรม คือถ้าเป็นเรื่องจริงจะไม่โกรธเลย อย่างทำตายอมรับว่าทำ ไม่มีปัญหา เพิ่งทำด้วยซ้ำ ตอนเข้าวงการถ่ายโฆษณา หรือถ่ายอุบัติรักฯ ภาคแรก ยังไม่ได้ทำด้วยซ้ำ เพิ่งมาทำทีหลัง เพราะตามันไม่เท่ากัน เต้ยก็เลยทำเลย ขี้เกียจมานั่งติดสติกเกอร์ แต่ว่าจมูก คาง หรือว่าอะไรก็ตาม ไม่ได้ทำเลย จะมีคนชอบมาพูดว่า ทำจมูก ทำหน้า ฉีดผิวให้ขาว มันเยอะมาก เต้ยทำตาอย่างเดียวค่ะ นอกนั้นไม่ได้ทำอะไรเลย

*ไม่มายด์ที่จะบอกว่าเราทำศัลยกรรมมา?

   
ไม่มายด์เลย ก็มันเป็นเรื่องจริง รู้สึกว่าก็ในเมื่อเราทำจริง ๆ ก็ต้องบอก จะมาโกหกทำไม เพราะถ้าเราโกหกปุ๊บคนที่รู้สึกไม่ดีคือตัวเราเอง ต้องมานั่งปิดบัง ไม่ชอบ มันอึดอัด เต้ยก็ไหน ๆ ก็ทำมาแล้ว บอกไปเลยแล้วกัน แต่จะรับไม่ได้ถ้ามาเม้าท์ ๆ กัน มันจะหงุดหงิด เมื่อก่อนถึงกับร้องไห้เลยนะ มันทำให้กำลังใจในการทำงานนั้นหายไปเลย

*แค่โดนเมาท์ว่าทำจมูกเนี่ยนะ?
   
คือกระแสในอินเทอร์เน็ตมันแรงมาก มาพูดเรื่องครอบครัวเต้ย แต่งเรื่องขึ้นมาเอง คือมาว่าบุพการีของเต้ยก็รับไม่ได้ ทำไมต้องมาอะไรกันขนาดนี้ด้วย อะไรก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมดในเน็ตอ่ะ ก็เข้าไปอ่านแล้วร้องไห้ แต่ก็ยังดีที่คนรอบข้างคอยดูเราอยู่ ช่วยเรา ให้กำลังใจเรา โอเคคนเรามันหลายความคิด ใครเขาจะคิดยังไงก็ปล่อยให้เขาคิดไป เราเข้าใจเฉพาะตัวเราเอง และแคร์คนที่อยู่รอบ ๆ เราเท่านั้น



*แสดงว่าเข้าไปเช็กกระแสตัวเองในอินเทอร์เน็ตตลอด?
   
เมื่อก่อนก็เข้าบ่อย เพราะเต้ยเป็นคนเล่นเน็ตอยู่แล้ว ก็เข้าไปดูบ้าง แต่ทุกครั้งที่เข้าไปก็จะเสียสุขภาพจิตทุกครั้ง เพื่อนกับพ่อแม่ก็บอกว่าอย่าเข้าไปเลย มีอยู่ครั้งหนึ่งทนไม่ไหวก็เข้าไปดู แล้วก็ร้องไห้เลย โอ๊ย! อีกแล้วเหรอ เดี๋ยวนี้เลยไม่เปิดเช็กอะไรเลย

*พอโดนอะไรมาก ๆ เข้มแข็งมากขึ้นไหม?
   
เต้ยว่าก็ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น เหมือนเราเจอปัญหา ก็ทำให้เราได้คิด ได้ผ่านอะไรมากขึ้น มันก็เข้มแข็งขึ้น รับได้มากขึ้น ว่ามันต้องเป็นอย่างนี้นะ ทำให้เรามองในมุมความเป็นจริงว่า มันเป็นอย่างนี้แหละ เราทำอะไรไม่ได้

*ในวัยเด็กของเต้ยถูกเลี้ยงดูมาแบบไหน?
   
เต้ยว่าพ่อแม่เต้ยเลี้ยงเต้ยดีมากนะ ตั้งแต่เต้ยเด็ก ๆ ก็มีอะไรใช้ตลอด ไม่ได้ขาดแคลน พอเต้ยโตขึ้นเขาก็สอนให้เต้ยใช้ชีวิตของเต้ยเอง เลือกเอง ทำอะไรคิดเองทำเอง ปล่อยให้เราไปเจอโลกของเราเอง โตขึ้น ถ้าเราเจอปัญหาเขาจะคอยให้คำปรึกษา แล้วจะปล่อยให้เราไปเจอปัญหาเอง ค่อนข้างให้อิสระ คือเป็นห่วง แต่จะไม่หวง คือแบบเหมือนชีวิตเต้ยก็อยากให้ไปเจออะไรของเต้ยเอง แต่ว่าเมื่อไหร่ที่เราเจ็บหรือเรามีปัญหา เราก็กลับมาหาเขาได้ เขาจะคอยเป็นกำลังใจให้ คอยดูแลทุกอย่าง จริง ๆ เขาก็อยู่ข้าง ๆ เสมอ ครอบครัวที่บ้านถือว่าอบอุ่น



*สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่เป็นห่วงมากที่สุดในการอยู่วงการบันเทิงคืออะไร?
   
เต้ยว่าคงเป็นห่วงตัวเต้ยเองว่าแบบจะหลงไปในทางที่ไม่ถูก แต่เต้ยเชื่อว่า เต้ยรู้ว่าอะไรถูกไม่ถูก คือเขาก็เชื่อใจ เขากลัวเราหลงแสงสี กลัวเราเปลี่ยนไป เดี๋ยวจะเรื่องเยอะขึ้นอย่างนั้นอย่างนี้ คือเราต้องทำตัวเหมือนเดิม เต้ยเป็นยังไงก็ให้เป็นอย่างนั้น ไม่ได้เปลี่ยนไป ยังไงก็เราก็เป็นเหมือนเดิม

*แล้วเวลามีข่าวเรื่องผู้ชาย พ่อแม่ว่าอย่างไรบ้าง?
       
เวลาเต้ยจะคุยกับใคร ไม่ว่าเพื่อนหรือใคร แม่จะรู้หมดเลย เต้ยบอกแม่ทุกอย่าง ว่าตอนนี้เต้ยคุยกับคนนี้อยู่นะ ไม่ปิดบัง คือถ้าเขารู้ก่อนว่าเรื่องจริงมันเป็นยังไง เขาก็จะเข้าใจและไม่ได้ว่าอะไร เวลามีข่าวเขาก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เพราะเขารู้ว่าอะไรคืออะไร เขาก็ติดตามข่าวบ้าง ดูเรื่อย ๆ แต่ไม่ได้ดุหรือต่อว่าอะไร เขาเชื่อใจ

*แล้วตอนนี้หัวใจเป็นอย่างไรบ้าง?
   
ก็เรื่อย ๆ ค่ะ มีคนคุยบ้าง ก็คุยอยู่คนหนึ่งก็คือดู ๆ ไป เต้ยว่าคุยไปเรื่อย ๆ ให้รู้ก่อนว่าเป็นยังไง แล้วค่อยตัดสินใจ เต้ยว่าทุกอย่างเราสามารถรับรู้ได้จากความรู้สึกของตัวเอง สมมุติว่าเราคุยกับคนหนึ่งแล้วเรารู้สึกว่า คนนี้คุยแล้วมันไม่ใช่อ่ะ มันก็คือไม่ใช่ แต่ถ้าคุยแล้วคนนี้ดีจังเลย ทำให้เรามีความสุข คนนั้นเราก็จะสามารถคุยต่อไปได้ คนเข้ามาจีบก็มีบ้าง แล้วก็มีคนจีบแบบแปลก ๆ ด้วย ไม่รู้ว่าเอาเบอร์มาจากไหนไม่รู้ จะมีแบบเอาดอกไม้มาให้ เอาโน่นเอานี่มาให้ แต่ถ้าเราไม่รู้จักมันก็ทำตัวไม่ถูกไง คือเต้ยว่ามันต้องมาจากคนรู้จักกันอ่ะ ถ้าไม่รู้จัก มันไม่สามารถจริง ๆ



*ผู้ชายในฝันเป็นอย่างไร?

   
ถ้าเป็นตอนเด็ก ๆ จะเป็นแบบขาว ๆ ตี๋ ๆ สูง ๆ หล่อ ๆ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าชอบคนตลกอ่ะ คุยด้วยแล้วขำ เราไม่เครียด ชอบให้คุยที่เป็นได้ทั้งเพื่อน พี่ แฟน หรือเป็นอะไรก็ได้ที่คอยตักเตือนกัน ที่บ้านก็ไม่ได้เข้มงวดอะไรมากนะ เขาค่อนข้างตามใจ แล้วแต่เต้ย แต่มีอะไรก็บอกเขาแล้วกัน พ่อแม่ไม่เคยห้ามเรื่องมีแฟน พ่อแม่เต้ยน่ารักมาก คือถ้าลูกคุยกับใครหรือชอบใคร เขาก็ชอบ แต่เขาจะดูอยู่ห่าง ๆ เขาจะไม่มาพูดว่า เต้ยคนนี้ไม่ดี อย่าเลย แต่เขาจะบอกว่า มันใช่หรือเปล่า เขาจะแย็บ ๆ  นิด ๆ หน่อย ๆ ให้เราคิดเอง เต้ยว่าการมีแฟนมันต้องคุยให้เยอะ ๆ รู้จักกันสักพักหนึ่งก่อน มันต้องดูกันไปเรื่อย ๆ ให้รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง เต้ยคิดว่าถ้าเราคุยหลาย ๆ คน เราจะรู้สึกผิด ถ้ามันไม่ใช่ คือเราเป็นคนเขาก็เป็นคน ถ้าเขาไม่ใช่สำหรับเรา ก็บอกเขาไปเลยดีกว่าว่าเราเป็นเพื่อนกันดีกว่า เป็นพี่นะ เขาจะได้เบี่ยงไปคุยกับคนอื่นจะดีกว่า เหมือนจะได้ไม่เสียเวลา ถ้าเกิดว่าใช่ก็คือใช่ ก็จะคุยกับคนนั้นคนเดียว ศึกษาไปคนเดียว ส่วนระยะเวลาเราก็ต้องดูกันนาน ๆ หน่อย คือถ้ามันมาเร็วมันก็จะไปเร็ว ถูกป่ะ ก็ต้องคุยให้รู้จักกันไปเรื่อย ๆ

*วางแผนชีวิตบนเส้นทางบันเทิงยังไงบ้าง?
   
ไม่รู้สิ ถ้าเกิดมันมีงานเข้ามาเรื่อย ๆ ก็จะทำต่อไปเรื่อย ๆ เพราะว่าก็รู้สึกว่ามันสนุกเหมือนกันนะ วงการมันก็สอนให้เราใช้ชีวิต รู้อะไรมากขึ้น เพราะเราต้องเจออะไรเยอะ สอนให้เรารู้ว่าเราต้องวางตัวยังไง ต้องรับมือกับปัญหายังไง แก้ปัญหายังไง แล้วก็วงการบันเทิงก็ให้อะไรดี ๆ เหมือนกัน ก็ให้เราไปเจออะไรใหม่ ๆ  ที่เราไม่เคยเจอ อย่างเช่นไปถ่ายหนัง ก็ได้ไปตั้ง 3 ประเทศ ถ่ายละครก็ได้ไปญี่ปุ่น ไปสถานที่ท่องเที่ยวที่มันสวย ๆ คือถ้าเราไม่ได้ทำงานอย่างนี้เราจะได้ไปหรือเปล่า ก็ถือว่าให้ประสบการณ์ดี ๆ กับเต้ยมาก

*อยากฝากอะไรถึงแฟน ๆ ของเต้ยไหม?
   
ขอบคุณมากที่คอยติดตามกัน มีเว็บไซต์ที่แฟนคลับทำให้คือ www.toeyclub.net แล้วก็มีแฟนคลับคอยตามไปทุกที่ ให้กำลังใจเราอยู่เสมอ ขอบคุณคนอื่น ๆ ด้วยที่ดูผลงานแล้วก็ชอบ ก็ดีใจมาก อยากให้ติดตามกันต่อไป แล้วตอนนี้ก็ภาพยนตร์เรื่อง “หนีตามกาลิเลโอ” มันก็เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของเต้ย และทุกคนก็ตั้งใจทำงานกันมากเลย ไปกันทีมเล็ก ๆ แต่ว่าคุณภาพดีจริง ๆ ขอบคุณค่ะ
   
แหม...เห็นแล้วอยากจะ “หนีตาม” ซะจริง ๆ ยังไง “รักเต้ย ชอบเต้ย” ก็อย่าลืมติดตามผลงานของเธอก็แล้วกัน หุหุ.


เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์