เชียร์-ฑิฆัมพร มีความสุขกับการให้

หายหน้าไม่มีละครเล่นมาพักใหญ่ หลายคนเลยเมาท์กันไป  

ต่าง ๆ นานาว่า นางเอกสาวห้าว เชียร์-ฑิฆัมพร ฤทธิ์ธาอภินันท์ ดูท่าจะตกกระป๋องซะแล้ว แต่ในที่สุดเธอก็มีละคร “เพียงผืนฟ้า” ออกมาให้ชมกันแล้ว นาน ๆ จะได้จับเข่าคุยกับสาวเชียร์ทั้งที “ดาวต่างมุม” เลยไม่พลาดนำเสนออยู่แล้ว


ช่วงนี้รู้สึกว่าห่างหายไปจากละคร

 
- ที่ผ่านมาก็มีถ่ายละคร “เพียงผืนฟ้า” อยู่ แต่ตอนนั้นละครยังไม่ออกอากาศ พอดีมันมีปัญหาเรื่องการแก้บทละครนิดหน่อย ก็เลยต้องมาถ่ายซ่อม ละครก็เลยไม่พร้อมออก ต้องมาแก้กันให้เรียบร้อยก่อนถึงจะออกได้ ตอนนี้ก็มีถ่ายค้างอยู่เรื่องนี้เรื่องเดียว


งานมันดูน้อยไปหรือเปล่า

 
- ก็คือเชียร์เล่นทีละเรื่องอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่จะเล่นไม่นานก็จะออน แอร์ แต่เรื่องนี้คือจังหวะว่าต้องมาแก้ก็เลยต้องเลื่อนออกไปก่อน เลยทำให้ดูช้า ก็มีคนทักบ้างเหมือนกันว่าหายไปไหน บอกว่าก็มีละครถ่ายอยู่เหมือนกัน แล้วก็ทำพิธีกรในส่วนของรายการต่าง ๆ


เหมือนจะเน้นหนักไปทางงานพิธีกรนะ

 
- โอกาสที่ได้ทำคือได้ทำพิธีกรมากกว่า ปกติเชียร์เล่นละครทีละเรื่อง แต่ถ้าละครไม่ได้ออกมันก็จะไม่เห็นหน้ากันทางละคร งานพิธีกรมันค่อนข้างที่จะเห็นกันบ่อยมากกว่า เลยมอง ว่าจะมาหนักกันด้านนี้ จริง ๆ ก็ทำพอ ๆ กัน อย่างพิธีกร 7 สีคอนเสิร์ต มันก็ทุกอาทิตย์อยู่แล้ว รายการ “จมูกมด” ช่วงหลังต้องไปนอกสถานที่บ่อย มันก็เลยเห็นหน้าเห็นตากันบ่อยขึ้น


งานพิธีกรกับงานละครชอบงานไหนมากกว่ากัน

 
- จริง ๆ มันก็ไม่เหมือนกันซะทีเดียว แต่ว่าหลัง ๆ นี่จะได้ไปในที่ที่หลากหลายมากขึ้น 7 สีก็จะเกี่ยวกับเพลง แต่จมูกมดนี่หลากหลาย สนุกบ้าง ไปในแนวที่มีสาระบ้าง จะมีในเรื่องของการสัมภาษณ์ การพูดคุยรู้สึกว่ามันหลายรสชาติดีสนุกดี พิธีกรมันมีหลายรูปแบบหลายทาง ก็ติดใจนะเพราะเราทำแล้วสนุก บางครั้งก็ได้ไปต่างประเทศ ซึ่งมันก็เป็นประสบการณ์ที่เยี่ยมมาก


รู้สึกอย่างไรที่เวลาเราหายไปแล้วถูกมองว่าตกแล้ว

 
- ก็ไม่คิดอะไร คนเขาจะคิดอะไรก็ไม่ผิด เขาอาจจะไม่เข้าใจว่าเราทำอะไรอยู่บ้าง ตอนนี้เราก็เฉย ๆ เพราะเรารู้ดีว่าตัวเราเองทำอะไรอยู่ ไม่ได้น้อยใจอะไร


ที่รับละครทีละเรื่องเพราะเน้นหนักด้านการเรียน

 
- การรับละครเชียร์เป็นตั้งแต่แรกว่าจะเล่นทีละเรื่อง เพราะว่ามันเรื่องของเรียนด้วย และก็อยากทำอย่างอื่นด้วย ถ้าเรารับสองเรื่องก็ได้ แต่เราเหนื่อย เราก็ไม่อยากให้เราเหนื่อยขนาดนั้น เราจะได้สบาย ๆ ได้ทั้งงานละคร ไปโชว์ตัวได้ เป็นพิธีกรได้ ไปพักไปเที่ยวได้บ้าง เรื่องเรียนก็ไม่ต้องซีเรียส ถ้าเราเล่นละครสองเรื่อง คิวมันก็จะเยอะขึ้น ก็เลยขอเป็นอย่างนี้ดีกว่า มันสบายใจเรามากกว่า เหมือนไปเรื่อย ๆ


ไม่คิดจะมีช่วงกอบโกยหรือไง

 
- ไม่ค่ะ เชียร์คิดว่าแค่นี้มันก็พอแล้ว เชียร์รู้สึกว่าเรื่องของโอกาสมันไม่ได้มาบ่อย ๆ แต่มันมาเรื่อย ๆ ซึ่งมันก็ไม่ถึงขนาดทำให้เราเดือดร้อน เรารู้สึกดีแล้วกับแค่นี้


วันนี้มีการแบ่งเวลางานและเรียนอย่างไร

 
- จริง ๆ ก็มีเรียนเกือบทุกวัน มีว่างวันเดียวคือวันพุธ วันนั้นก็ให้คิวละครอยู่แล้ว วันอื่น ๆ ก็อาจจะครึ่งวันหรือเรียนเสร็จก่อนแล้วค่อยไปก็มี ตอนนี้เรียนอยู่ปี 2 คณะสังคมสงเคราะห์ ม.ธรรมศาสตร์ มันก็น่าตื่นเต้นอยู่เหมือนกันเพราะต้องไปฝึกงานตามหน่วยงานต่าง ๆ ทางด้านเด็ก สตรี ออกพื้นที่ไปต่างจังหวัดก็มีอีกมุมใหม่ที่สนใจ ตอนนี้ก็กำลังส่งเรื่องอยู่ ถ้าออกต่างจังหวัดก็ต้องเป็นปีสูงหน่อย

ช่วยอธิบายงานด้านสังคมสงเคราะห์ว่าทำอะไรบ้าง
 
- ก็เป็นเรื่องของการช่วยสังคม ตอนแรกเชียร์ก็มองว่ามันต้องเรียนด้วยเหรอ แต่พอเข้ามาสัมผัสตรงนี้ก็ได้รู้ว่าเรื่องของสังคมสงเคราะห์ มันเป็นสิ่งที่ถ้าเราจะช่วยแล้ว เราต้องช่วยให้ถึงที่สุด ไม่ใช่แค่พื้น ๆ ถ้าเราได้รู้ถึงทฤษฎีที่จะนำไปช่วยแล้ว มันจะมีอะไรเยอะมากที่จะให้เรานำไปปรับใช้ ที่สำคัญที่สุดคือความเข้าใจเรื่องของจิตใจที่เราต้องทุ่มเทให้กับคนเหล่านั้นและการทำงานตรงนี้

สิ่งที่เรียนใกล้เคียงกับตัวเราไหม
 
- จริง ๆ เรื่องของการช่วยคนมันทำให้เราสบายใจนะ มีอะไรที่คนหลายคนไม่มีโอกาส ซึ่งความจริงเราไม่ได้รวยหรือเลิศเลอมาจากไหน แต่เราก็ยังดีกว่าหลาย ๆ คน ถ้าเรามีโอกาสที่จะช่วยเหลือเขาได้มันก็เป็นอะไรที่เรารู้สึกว่ามันเป็นการคืนอะไรให้กับสังคม เป็นความรู้สึกที่ดี เราสนใจ ถ้าเราช่วยได้เราก็ช่วย มันรู้สึกดีมีความสุข การทำเรื่องที่ดีมันก็ดีต่อตัวเรา ดีกว่าการไปทำให้ใครเขาเดือดร้อน

ตัวตนที่แท้จริงของเชียร์เป็นอย่างไร
 
- ก็เป็นแบบนี้ลุย ๆ ห้าว ๆ สนุกสนาน ทำอะไรก็แอ๊คทีฟ ไม่ค่อยอยู่นิ่งไม่ได้รักสวยรักงามมากแต่ชอบให้ตัวเองผิวขาวมากกว่าผิวคล้ำ

ด้วยความที่เราห้าวมาก ๆ อาจจะมีคนมองว่าเราเป็นทอมหรือเปล่า
 
- จริง ๆ เรื่องนี้ก็จะมีคนมองตั้งแต่เด็กจนโต เพราะเวลาเราเล่นก็จะสนุกเต็มที่ ญาติ ๆ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ชายค่ะ เวลาเขาเล่นอะไรที่เป็นเด็กผู้ชายก็จะมองว่ามันน่าเล่น ท้าทายและน่าสนใจ เขาก็จะแซวว่าเราเป็นทอมหรือเปล่า เป็นเรื่องที่เราชิน เพราะเราชอบทำเรื่องที่มันลุย ๆ ไม่ใช่แนวที่จะมานั่งเล่นตุ๊กตาบาร์บี้เหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไป มันก็เลยติดมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้จะชอบทำอะไรที่เหมือนผู้ชายแต่ไม่ใช่ว่าข้างในจะเป็นผู้ชาย

ด้วยความที่เราห้าว ๆ มีผู้ชายเข้ามาจีบไหม
 
- ถ้าในชีวิตจริงมันก็ต้องมีกันบ้างเล็กน้อย ถ้าเราชอบก็ชอบ แต่ถ้าไม่ชอบก็เฉย ๆ

แล้วผู้ชายแบบไหนที่อยู่ในอุดมคติ
 
- ด้วยความรู้สึกคือเราเป็นคนเฮฮา แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องเครียด เป็นคนที่สามารถเฮฮากับเราได้ไม่ใช่ไร้สาระตลอดเวลา ถึงเวลาก็สามารถมีเหตุผลกับเราได้ เข้าใจเหมือนกับว่าอยู่เป็นที่ปรึกษาเราได้ และก็มีน้ำใจมาก ๆ

ตอนนี้อยู่ในวงการมานานเท่าไหร่แล้ว
 
- ตั้งแต่ได้มิสทีน ไทยแลนด์ ก็ 5 ปีแล้ว แต่ถ้าจะนับที่ทำงานในวงการจริง ๆ ประมาณ 4 ปี เพราะพอได้มิสทีนฯ กว่าจะทำงานได้ก็เกือบปี

ชีวิตเปลี่ยนไปมากน้อยขนาดไหน
 
- เปลี่ยนมากเลย พูดตรง ๆ เลยว่าที่เชียร์เข้ามาทำงานนี้ที่เราดีใจคือการที่เราได้แบ่งเบาภาระครอบครัว เป็นอะไรที่ช่วยได้เยอะมากและเรามีความรู้สึกว่าโชคดีค่ะ เพราะว่าด้วยเศรษฐกิจแบบนี้ เชียร์สามารถเอารายได้มาช่วยเหลือครอบครัวได้มาก ก็เลยเป็นความรู้สึกที่ดีใจและภูมิใจที่เราได้ทำ ส่วนประสบการณ์ที่เราได้ คือทำให้เราอดทนมาก ๆ อดทนในความเหนื่อยต่ออุปสรรคต่าง ๆ ที่เราต้องผ่านมันไปให้ได้ และสิ่งที่เรารู้จักมากขึ้นก็คือการให้ เพราะรู้สึกว่าการที่เราได้ให้ความรู้สึกดี ๆ กับคนรอบข้าง คนที่เป็นคนดู คนที่มาชื่นชอบเรา เป็นอะไรที่เราต้องรู้จักแบ่งปันมากขึ้น เพราะเรารู้ว่าการได้รับความรู้สึกดี ๆ มันมีค่ามากแค่ไหน

เวลามีแฟนคลับมาตาม รำคาญบ้างไหม
 
- ไม่ถึงขนาดนั้น อันนี้เขาจะเข้าใจเราหรือเปล่าเราไม่รู้ เวลาเราไปงานอะไร เราก็จะบอกอยู่แล้ว แต่บางงานที่ไม่ได้บอกเพราะว่าบางครั้งเราต้องรีบไป ซึ่งถ้าเขามา ไกลหรือเปล่าก็ไม่รู้ พอมาเจอเราก็ต้องไปแล้วเป็นสิ่งที่เชียร์เกรงใจมาก ๆ ไม่อยากให้มาไกลแล้วมาเจอแค่แป๊บเดียว เชียร์ไม่ได้รำคาญ แต่อยากให้เขาเข้าใจในจุดตรงนี้ เพราะเคยมีคนที่พูดว่า “ต้องรีบอีกแล้ว” ก็เลยอยากให้เข้าใจ

วางตัวลำบากไหม
 
- ก็เป็นจุดที่ลำบากเลยนะ เราต้องระวัง บางครั้งยิ่งออกมาเป็นพิธีกรนี่ยิ่งต้องระวังมากขึ้นเยอะเลย โดยเฉพาะเรื่องของคำพูดคำจาสำคัญมาก บางครั้งแค่สลับคำกันแค่นิดเดียวก็ทำให้ความหมายมันเพี้ยนหรือไม่เหมาะสม นี่อันตรายมาก คือทำให้เราคิดขึ้นเยอะเลยในการพูดอะไรแต่ละอย่าง มีหลายครั้งด้วยความที่เราเป็นคนขี้เล่น บางทีไม่รู้ว่าคนฟังคนนี้อาจจะเข้าใจแต่อีกคนหนึ่งล่ะ เราต้องคิดกว้างขึ้น เพราะคนที่เขาดูเราอยู่ไม่ได้มีแค่คนคนเดียว ก็เคยมีกรณีโดนต่อว่า ก็ไม่ทำให้เสียกำลังใจ แต่มันทำให้เราเห็นตัวเองชัดขึ้นค่ะ

กำลังใจในการทำงานมาจากไหนบ้าง
  
- แรงบันดาลใจที่สำคัญเลยต้องเป็นครอบครัว อย่างที่บอกว่าในส่วนของรายได้นี่ทำให้ครอบครัวไม่ต้องมาลำบาก และก็ทุก ๆ คนเลยทั้งเพื่อนที่คอยให้กำลังใจเราเสมอในเรื่องของการทำงาน และก็แฟนคลับที่ทำให้เราฮึดเวลาที่เราเหนื่อย เราท้อ พอมีคนมาพูดว่า “รอดูอยู่นะ” เราก็จะทำต่อ

มีคติประจำใจไหม
  
- ก็มี คือไม่เสียใจในสิ่งที่เราทำไปแล้ว ที่คิดอย่างนี้ เพราะว่าสิ่งที่มันทำไปแล้วคือตัวเราเอง เราคิดเอง ตัดสินใจด้วยตัวเองจริง ๆ ฉะนั้นถ้าคิดจะทำอย่างนี้แล้ว ผลอะไรที่จะเกิดตามมาเราต้องรับให้ได้ ฉะนั้นแล้วเราต้องคิดให้ดีก่อนที่เราจะทำอะไร

อยากจะฝากอะไรกับคนที่มองเชียร์เป็นต้นแบบ
  
- ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณเป็นอย่างแรกเลย อยากจะฝากเรื่องของการดำเนินชีวิตแล้วกัน เพราะว่าสังคมทุกวันนี้มันก็ค่อนข้างอันตราย และก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่จูงใจเรา ชักชวนให้เราหลงทางได้ง่าย ก็อยากให้มีจุดยืนที่เข้มแข็ง แล้วก็ฝ่าฟันแก้ปัญหาสิ่งที่ได้เจอได้พบให้ดีที่สุดค่ะ 
 
 อืม...นับว่า เธอมีมุมมองความคิดที่น่าสนใจและเป็นผู้ใหญ่มาก ๆ แถมเชียร์ยังยืนยันส่งท้าย “หนูไม่ใช่ทอมค่ะ”.



เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์