เชอรี่-เข็มอัปสร เลือกอยู่กับสิ่งที่เป็น

เข็มอัปสร สิริสุขะ นางเอกคนนี้ ถือว่าเป็นนางเอกที่มีความคิดและเส้นทางเดินชีวิตที่ราบเรียบ


ถึงแม้เธอจะบอกกับเราว่า บางครั้งในสิ่งที่เธออยากจะได้ อยากจะเป็นนั้น แต่มักจะไม่ได้ แต่กลับกันสิ่งที่ไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น พระเจ้ามักหยิบยื่นมาให้เธอเสมอ เช่นเดียวกับชีวิตในวงการบันเทิงวันนี้ เธอบอกว่าก่อนหน้านี้ ไม่เคยอยากทำ ไม่เคยอยากเป็นดารา



เชอรร์รี่เล่าให้ฟังว่า


“คือไม่ได้ชอบไม่ได้อยากที่จะเข้ามาเป็นนักแสดง เพราะเป็นคนค่อนข้างขี้อาย เวลาที่อยู่ในสปอตไลต์ หรือว่ามีสายตารุมจับจ้อง มันรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไร แต่ว่าตอนแรกที่มาทำ เริ่มจากงานโฆษณา รู้สึกว่ามันง่ายจัง ตังค์ก็ได้เยอะ ตอนนั้นอยู่ ม.5 ถ่ายโฆษณาได้เงินเป็นแสน เด็กสมัยนั้นหาเงินได้แล้วรู้สึกว่าดีใจนะ เป็นจังหวะที่เจอพี่ที่รู้จักกันเขาชวนมาเรียนแอ๊คติ้ง ให้มาคุยกับอายุ (ยุวดี ไทยหิรัญ) แต่ไป ๆ มา ๆ อายุบอกว่าอีกสองอาทิตย์จะเปิดกล้องละคร เราก็แบบว่าไม่ได้ตั้งตัวจะมาเล่นละคร เริ่มงอแง

แม่ก็บอกว่าไม่ได้เราต้องรับผิดชอบเพราะเขาเสียเวลากับเรา เลยบอกว่างั้นเล่นเรื่องนั้นเรื่องเดียวนะ

เพราะคิดว่าคงไม่ใช่ตัวเอง เพราะจากที่ไปเรียนแอ๊คติ้งก็ไม่ได้เรื่องเลย แต่พอเล่นไปแล้วเนี่ย เราไม่ได้รู้สึกว่าเราเป็นนักแสดงหรือว่าดารา มันแค่รู้สึกว่าเราเข้าไปอีกบ้านหนึ่งที่มีเพื่อนร่วมงานอีกเยอะ ๆ เราก็ตื่นตาตื่นใจ เหมือนเราไปโรงเรียนอีกโรงเรียนหนึ่งเท่านั้น จากนั้นรู้สึกว่าตัวเองเริ่มชอบขึ้นมาเรื่อย ๆ เริ่มชอบและเริ่มรักงานแสดงตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้เหมือนกัน 


ตอนช่วงแรก ๆ ที่เข้ามาทำงานไม่มีใครสนใจเราด้วยว่าเด็กคนนี้เป็นใครมาจากไหน


เชอรี่ชอบชีวิตอย่างนั้นนะ แต่พอช่วงหลังละครออกมา มีนักข่าวมาสัมภาษณ์ ไปไหนมาไหนมีคนมอง เข้ามาขอถ่ายรูป ตอนนั้นรู้สึกเหมือนว่าเอ๊ะ ทำไมไม่เหมือนตอนแรก ๆ ง่ะ ทำไมมันเปลี่ยนไป เพราะที่ผ่านมาเรามีแต่โลกของคนที่เรารู้จัก แล้วอยู่ ๆเราต้องมารู้จักคนที่เราไม่คุ้นเคยที่ต้องมาคุยอะไรกัน เราก็ไม่รู้จะคุยอะไร ไม่รู้จะพูดด้วยยังไง พอผ่านไปเราต้องปรับตัว ตอนเด็ก ๆ เราเป็นคนที่คิดว่าทุกคนที่เข้ามา ต้องจริงใจกันหมดเลย แต่พอโตขึ้นเราได้เรียนรู้ มองโลกเป็นมากขึ้น โลกของความเป็นผู้ใหญ่เราต้องเรียนรู้ และต้องดูคนมากขึ้นอย่างลึกซึ้งด้วย”


?ถึงตอนนี้เชอรี่อยู่วงการบันเทิงมากี่ปีแล้ว ?


"ปีนี้เป็นปีที่ 11 แล้วค่ะ ชีวิตเชอรี่เป็นแบบนี้ อะไรที่ไม่คาดหวังมักจะได้ แต่อะไรที่คาดหวังมักจะไม่ได้  ชีวิตเหมือนพระเจ้าให้เซอร์ไพร้ส์ตลอดเวลา ว่าอะไรที่เราไม่ได้คิดก็ดันได้ อย่างงานโฆษณาตัวที่ได้ ตอนนั้นคิดว่าตัวสุดท้ายแล้ว เพราะว่าแคสมาหลายชิ้นแล้วไม่ได้ คิดว่าไม่เอาแล้วถ้าไม่ได้ก็ไม่ต้องมายุ่งกับเราอีกแล้ว ก็ดันได้ อย่างตอนสอบเอนฯ ก็เหมือนกันคิดว่าไม่ได้แน่ ๆ เพราะอ่านหนังสือก็น้อย ตอนนั้นเข้ามาทำงานในวงการแล้วด้วย แต่ปรากฏว่าสอบได้ 


คือตอนเด็ก ๆ เชอรี่อยากเป็นอยู่อย่างเดียวเลยคือ สถาปนิก เพราะชอบวาดรูป ชอบดูของสวย ๆ เขาแต่งอะไรยังไง เลยเลือกเรียนสายวิทย์ และเลือกสถาปัตย์หมดทุกคณะ ตอนนั้นลองสอบ ตอน ม.5  คิดแค่ลองดูเพราะว่ายังอยากเรียน ม.6 อยู่ ตอนนั้นก็ไม่ติด 


แล้วพอตอน ม.6 ถึงเวลาเอนฯจริง ๆ ตอนนั้นอ่านหนังสือไม่ทัน

คือเด็กไทยมันถูกปลูกฝังมาว่า ยังไงต้องเอนฯ ให้ติดคณะอะไรก็ได้ ซึ่งตัวเองก็เป็นเด็กไทยแบบนั้น พอย้อนกลับไป ถ้าคิดว่าเราอยากเป็นอะไร เราก็ไปเรียนแบบนั้น มหาวิทยาลัยเอกชนเยอะแยะ แต่ด้วยชีวิตเราผกผันจริง ๆ เลยเลือกเรียน สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา แต่มันก็ทำให้เรารู้ตัวอีกแบบว่าจริง ๆ แล้วเราก็ชอบอ่านหนังสือปรัชญาเกี่ยวกับความคิด เรื่องคน พอเรียนแล้วก็ชอบนะ มันก็แปลกนะได้อะไรมาในสิ่งที่ไม่คาดหวังทั้งนั้น?



??มุมมองในวงการบันเทิงตอนนี้เปลี่ยนไปหรือยัง ?


"ก็เปลี่ยนไปนะ ตั้งแต่เรื่องที่เท่าไรจำไม่ได้ ที่เล่นแล้วรู้สึกว่าชอบจังเลย เปลี่ยนไปในแง่ของงาน รู้สึกรักงาน รู้สึกว่ามันตื่นเต้นที่จะได้เล่นอะไรใหม่ ๆ ตื่นเต้นทุกครั้งที่เปิดกล้อง รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้เริ่มงานที่ยูม่า ในเรื่องของการทำงาน เรื่องของการใช้ชีวิตทุกอย่าง แล้วมันทำให้เราเลือกที่จะอยู่เลือกที่จะมองสิ่งต่าง ๆ ได้ มันทำให้เรารู้ว่า ชีวิตคนเรามันไม่ได้ทุกอย่างที่เราต้องการ มันมีทั้งมุมที่เราชอบและที่เราไม่ชอบ เพราะฉะนั้นเราต้องเลือกที่จะมองมัน และเลือกที่จะอยู่กับมันให้ได้ อย่างถามว่าเชอรี่ อาจจะไม่ชอบงานในวงการบันเทิงส่วนหนึ่งของมัน แต่มันน้อยเหลือเกินถ้าเอามาเทียบกับส่วนที่เราชอบ อย่างเลือกที่จะอยู่กับคน ยิ่งเราอยู่ตรงเนี้ย มันจะมีคนมากหน้าหลายตามาก มันทำให้เราเลือกดูคนแต่ละคนเป็นยังไง เราควรจะให้กับใครได้แค่ไหน"


??เป็นคนคิดเยอะเหมือนกันนะ ?


"เชอรี่ไม่เป็นคนคิดเล็กคิดน้อย แต่เป็นคนคิดมาก มันต่างกันนะ คือเป็นคนแบบคิดประมาณว่าทำแบบนี้ไปแล้วใครจะเสียใจไหม ทำแบบนี้แล้วจะดีไม่ดียังไง คิดเยอะ ไอ้ความที่เราคิดเยอะก็ถูกฝึกมาอีก อย่างงานที่เราทำเป็นการฝึกที่ดีมาก เพราะงานที่เราทำต้องใช้อารมณ์ ต้องฝึกสมาธิ ต้องทำงานกับคน บางทีเรามีเรื่องเศร้าปวดหัวเครียด แต่เราต้องยิ้ม เราต้องสนุก เราต้องแบ่งแยกชีวิตจริงกับการทำงานของเราให้ได้ มันก็ดีอย่างเวลาที่เราเครียดกับมัน เราสามารถปล่อยว่างมันได้ ไม่เอามาเครียดอยู่ในหัวของเรา ไม่เคยนอนไม่หลับเลยนะ คือคิด ๆ ไปปวดหัวช่างมันนอนดีกว่า ค่อยคิดใหม่พรุ่งนี้"



??จริง ๆ แล้ว เชอรี่ เป็นคนเชื่อมั่นในความคิดตัวเองมากน้อยแค่ไหน ?


"จริง ๆ เชอรี่เป็นเด็กดื้อนะ ดื้อในความคิดของตัวเอง ฉันคิดว่ามันเป็นแบบนี้ ก็ต้องเป็นแบบนี้ แต่ถ้าไม่ใช่เราต้องมานั่งถกกันด้วยเหตุผล  แต่เชอรี่ไม่ใช่มั่นใจในตัวเองนะ จะเป็นคนขี้อาย แต่ในเรื่องความคิดจะมั่นใจ ซึ่งบางทีมันอาจจะผิด แต่เราคิดว่ามันถูก แต่ถ้ามันไม่ใช่เราต้องมาคุยกันว่าเพราะอะไรทำไมด้วยเหตุ ผล เชอรี่เป็นคนที่ชอบเรียนรู้ด้วยตัวเองและทำอะไรด้วยตัวเอง แต่ในเรื่องของการงานจะเป็นคนพะวง กลัวว่าจะทำไม่ได้ ไม่ใช่เป็นคนแบบว่าทำ ๆ ไปแล้วมาเสียใจทีหลัง ว่าทำไมฉันไม่ทำแบบนั้น ไม่ทำแบบนี้  ไม่ชอบฟิวส์แบบนั้น จะตั้งใจ เชอรี่ให้เกียรติ เคารพและรักงานของตัวเอง รู้คุณค่างานของตัวเอง ถ้าเราทำไปถ้าใจเราไม่ได้อยู่ในงานมันก็ไม่ดี วันนี้เรามาตามทางเดินที่ถูกกำหนด ถึงแม้บางครั้งเหมือนมีทางแยกให้เลือกเหมือนกัน แต่เราก็ยังเลือกที่จะเดินทางนี้ เพราะฉะนั้นเชอรี่จะทุกอย่างที่ทำจากความชอบและความสุข"



??เสียใจที่สุดในชีวิตของเชอรี่ ?


"ตอนคุณแม่ป่วย ตอนนั้นยังเด็กอายุ 21 ปีเอง แล้วมันต้องแบ่งแยก เพราะว่าเราต้องถ่ายละครต่างจังหวัด ใจมันก็พะวงอยู่กับแม่ ไม่อยากทำอะไรแล้วทั้งนั้น แต่ว่ามันต้องทำเพราะมันคืองาน พองานเสร็จไปนอนโรงพยาบาลกับแม่ เช้าไปทำงาน ไปมหาวิทยาลัย ไปสอบ ทุกอย่างช่วงนั้นชีวิตมันมากมายรุมเร้าเหลือเกิน แต่พอเราผ่านจุดนั้นมาได้ ทำให้เราเรียนรู้เยอะมากในการที่จะอยู่ต่อไปในการที่จะใช้ชีวิต 


เชอรี่ติดแม่มาก เมื่อก่อนคิดว่าถ้าแม่ไม่อยู่แล้วเนี่ย จะอยู่ไม่ได้จะต้องตายตามแม่ไปแน่ ๆ

ทุกครั้งที่พูดกับแม่จะร้องไห้ แล้วไม่คิดว่าวันหนึ่ง พอมันผ่านมาแล้ว ไม่คิดว่าเวลามันจะรักษาได้ทุกแผลจริง ๆ ช่วงแรกในวันที่แม่ไม่อยู่ ใครพูดเรื่องแม่ขึ้นมา ใครเปิดเพลงที่แม่เคยร้อง เชอรี่จะร้องไห้ตลอดเวลา แต่ไม่น่าเชื่อวันหนึ่งเราจะสามารถมานั่งพูดถึงเรื่องแม่ได้ โดยที่เราไม่ร้องไห้ ไม่ใช่ไม่รักแม่ ไม่ใช่ไม่คิดถึงแม่ ยังคิดถึงแม่ตลอดเวลา แต่เราเข้าใจโลกมากขึ้น มันทำให้เราเข้มแข็งมากขึ้น เลยทำให้ปัญหาทุกอย่างหลังจากแม่เสียไป กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยมากเลย เพราะปัญหาใหญ่ที่สุดในชีวิตเราเจอไปแล้ว หลังจากนั้นอะไรที่เหลือในชีวิตเราสามารถรับมันได้ทั้งหมด ตอนนี้เหลือพ่อ เชอรี่ก็ทุ่มเทกับเขาทั้งชีวิต พ่อก็ทุ่มเทให้เราทั้ง ชีวิตเหมือนกัน เพราะว่าพี่ ๆ เขาแต่งงานไปหมดแล้ว เหลือเราคนเดียว เขาก็เหมือนเป็นห่วงเราที่สุด และเชอรี่ก็ห่วงพ่อมากที่สุดเหมือนกันค่ะ"


 



แน่นอนคนเราทุกคนต้องผ่านการสูญเสีย


และเมื่อเวลานั้นมาถึงเราก็ต้องยอมรับมันให้ได้ และอยู่กับสิ่งที่มีอยู่ให้มีความสุขที่สุด อย่างเช่นเชอรี่ในวันนี้ เอาละ...ใครที่เป็นแฟนคลับของเธอก็ต้องให้กำลังใจเธอต่อไป เพราะวันนี้เธอได้ทำอะไรในสิ่งที่ตัวเองไม่คิดว่าจะได้ทำอีกแล้วกับการออกอัลบั้มเพลงครั้งแรกในชีวิตที่ชื่อว่า ?ดิอัลบั้ม? และต้องคอยดูกันต่อไปว่า พระเจ้าจะหยิบยื่นอะไรมาให้เธออีก !.


เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์