เกิดมาเพื่อเป็นดาว ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์

คม-ชัด-ลึก

ตำแหน่งนักร้องหนุ่มสุดฮอตของวงการบันเทิงนาทีนี้ คงต้องยกให้หนุ่มหน้าเกาหลี "ฟิล์ม" รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ นักร้องดังฝั่งลาดพร้าว หนึ่งความภาคภูมิใจแห่งค่ายอาร์เอส

เรื่อง / อารยา มาลัยเล็ก
ภาพ / ฟร้อนท์

แต่บนเส้นทางวงการบันเทิง ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ระหว่างที่เขากำลังโกยทั้งเงินและชื่อเสียง ความโด่งดังของเขาก็ถูกกระหน่ำด้วยข่าวร้ายๆ เช่นกัน ที่หนักหนาที่สุดคือข่าวกับ "เสี่ยอู๊ด" สิทธิกร บุญฉิม วันนี้ ฟิล์ม พร้อมเปิดใจกับ "บันเทิง คม ชัด ลึก" แล้ว ลองไปฟังทุกเรื่องราวจากปากของเขากันเลยดีกว่าพระเอกหนังเต็มตัว หนังเรื่อง "รักจัง" อยากขอบคุณทุกๆ คน กระแสดีมาก เดินไปไหนมาไหน แทบจะไม่เรียกฟิล์มแล้ว เรียกแต่ว่า รักจัง รักจังเลย ดูหนังเรื่องนี้แล้วหายเหนื่อย ปลื้มมากๆ ความพอใจเกินร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ร่วมงานกับ "พอลล่า" เป็นอย่างไรบ้าง พอลล่าน่ารักมากครับ รู้สึกว่าเขาเป็นคนหัวเราะตลอด มองโลกในแง่ดี เจอใครก็อัธยาศัยดี ยิ้มอย่างเดียวเลย เห็นอะไรก็ยิ้มตลอด ดูมีความสุข ผมก็ปลื้มเขามานานแล้ว เขาดูเป็นตัวเองสูง อยากพูดอะไรก็พูด อยากตอบอะไรก็ตอบ เหมือนอย่างอั้ม (พัชราภา ไชยเชื้อ) ซึ่งผมชอบผู้หญิงบุคลิกแบบนี้ ตรงๆ อยากพูดก็พูด เขาดูเหมือนกันดี มาดการเดิน การวางตัว ดูดีไปหมด ปลื้มแบบนี้ร่วมงานด้วยกันเขินไหม เขินมาก อย่างตอนที่เขามากอด ตัวผมอ่อนย้วยเลย (ทำท่าระทวย) ผู้กำกับถามว่าเป็นอะไร ผมบอกว่าเล่นไม่ได้จริงๆ พี่ ผมไม่มีแรง แต่พออยู่ไปนานเข้าๆ ก็เริ่มชินแล้ว เพราะอยู่ทุกวัน โทรศัพท์ก็ไม่มี ทีวีก็ไม่มี อยู่ร่วมกันนาน 2 เดือน เลิกงานก็ต้องมานั่งคุยกัน มีแต่ป่ากับคนเท่านั้นเอง ฉากอมหัวแม่เท้าของ "อี๊ด" วงโปงลางสะออน ใช้สแตนด์อินหรือเปล่า ไม่ใช้พี่ เห็นหน้าฟิล์มขนาดนั้น ใช้ไม่ได้หรอก ทำใจนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะพี่ก็คือพี่ เราก็ต้องเล่นเพราะบทมาอย่างนั้น ผมเองก็ไม่ได้ถือตัว แต่ตอนแรกก็มีพะอืดพะอมเหมือนกัน เพราะนิ้วยาวมาก จนเกือบถึงคอ ผมก็ขออย่างหนึ่งว่าให้เขาเอาเท้าไปจุ่มแอลกอฮอล์ก่อนนะ ตัดเล็บ ดึงขนให้เรียบร้อยด้วย (หัวเราะ) คาดหวังกับรายได้ขนาดไหน คาดหวังมาก ผมเชื่อว่าทุกคนคาดหวังหมด ทั้งเรื่องรายได้ของหนัง เพราะว่าเราทำกันเต็มร้อยจริงๆ อยากให้ทุกๆ คนชอบ อยากให้ไม่ผิดหวัง เข้าไปดูแล้วได้รับความสุขกลับไป

งานเพลงชุดสอง กับงานเพลงอัลบั้มล่าสุด "ฟิล์ม มาเนีย" ฟิล์ม มาเนีย ไม่ได้แปลว่าฟิล์มบ้า หรือไอ้บ้านะ แต่ที่อยากเสนอคือความบ้าในมุมมองของผม ในโลกของผม ในความคิดของผมที่อยากจะนำเสนอให้ทุกคนฟัง ไม่ว่าจะเป็นเพลง การแต่งตัว ทุกอย่างเปลี่ยนหมด บ้าๆ หลุดๆ เต็มไปหมด แตกต่างจากชุดแรกอย่างไร แตกต่างอยู่แล้ว แต่ชุดแรกเป็นการผสมผสานระหว่างดนตรีหลายๆ แนวมารวมกัน แต่ชุดนี้ เรียกว่าแนว ไฮป๊อป เป็นการผสมผสานดนตรีคล้ายกัน แต่ถ้าเป็นเพลงช้าจะออกแนวอาร์แอนด์บี เพลงเร็วเป็นแบบฮิพฮอพ ผสมผสานซาวนด์ดนตรีแบบเอเชี่ยนซาวนด์ลงไป เพลงเร็วจะมีความหลากหลาย เพราะใส่ซาวนด์พวกอิเล็กทรอนิกส์ให้มันขึ้น ดูโตขึ้น เอาเวลาที่ไหนทำงาน เพราะตั้งแต่อัลบั้มที่แล้ว ยังไม่เห็นหยุดเลย ผมทำงานตอนกลางคืนครับ แทบจะไม่ได้นอนเลย อัลบั้มนี้ใช้เวลาทำ 5 เดือน การทำงาน เรื่องการร้องไม่ยากเท่าอัลบั้มแรก แต่จะยากตรงเรื่องเต้น เพราะอัลบั้มนี้เต้นกระจาย ชุดแรกแค่มีท่าขายประจำ แต่ชุดนี้เต้นให้ออกมาจากตัวเอง อยากเต้นอะไรก็เต้น ยากสุดๆ ผอมลงไปเยอะเลย เต้นทุกวัน เต้นจนปวดขาไปหมด กลัวอาถรรพณ์อัลบั้ม 2 ไหม ก็ไม่ได้กลัวอะไร ผมคิดว่าทำงานออกมาให้ดีที่สุด ให้ทุกคนเป็นคนตัดสิน ได้ออกชุด 2 ก็พอใจแล้ว

ลูกรัก "เฮียฮ้อ" สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ถือว่าลูกรักของอาร์เอส จริงๆ ก็ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ เพราะเฮียก็รักเท่ากันหมด หลายคนบอกว่าฟิล์มเป็นลูกรักแน่ๆ งานตูมเลย แต่จริงๆ แล้วมันขึ้นอยู่กับจังหวะมากกว่า ทุกอย่างผมทำมานานแล้วนะ แต่ว่ามันเพิ่งออกมาตอนนี้ ไม่ได้ถ่อมตัว เพราะทุกคนก็ทำงานเท่ากันหมด แต่ถือว่าเป็นที่คาดหวังของบริษัท ถ้าเฮียคาดหวังผมก็ดีใจ แต่จริงๆ ผมคงไม่ได้พิเศษไปกว่าใคร เฮียรู้นะครับ ว่าลูกคนไหนถนัดทำอะไรบ้าง ถ้าใครไม่ถนัดอะไรก็ไม่ฝืน แต่พอดีผมทำได้ทุกอย่าง เฮียก็ให้โอกาส ผมก็ต้องขอบคุณ ผมเป็นคนบ้างานอยู่แล้ว ชอบทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกัน กดดันหรือเปล่า เขาคาดหวัง แต่ไม่ได้กดดันขนาดนั้น เฮียบอกตลอด ว่าฟิล์มทำงานให้เต็มร้อย ให้ดีที่สุด ถ้าเราไม่คิดถึงตัวเอง ก็ให้คิดถึงว่ามีคนกลุ่มหนึ่งรอผลงานเราอยู่ ผมก็เอาคำนั้นมาคิดตลอด ว่ามีคนรอเราอยู่ เราทำให้เต็มร้อยให้เขาดูแล้วมีความสุข เคยมีคนหมั่นไส้บ้างไหม มันก็เป็นเรื่องธรรมดา วงการนี้เป็นเหมือนดาบสองคม มีทั้งดีและไม่ดี แต่ผมก็ชินแล้ว ก่อนเข้ามา แม่ก็สอนตลอด วงการนี้ก็เป็นแบบนี้นะ ฟิล์มรับไหวเหรอ มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียดนะลูก แต่ผมเลือกแล้ว ผมว่าไหวก็ไหว

เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ทำไมวงการบันเทิงถึงเป็นความใฝ่ฝัน ไม่รู้สิ ผมเห็นตอนเด็ก ดาราไปไหนมาไหนก็มีแต่คนรักคนกรี๊ด อะไรก็ดูดีไปหมด มีเสื้อผ้าสวยๆ ใส่ มันปลูกฝังมาแบบนี้ เลยรู้สึกต้องเป็นให้ได้ เคยคิดไหมถ้าไม่เป็นดาราจะเป็นอะไร ก็คงเรียนนิเทศศาสตร์ จบมาเป็นผู้กำกับ คือผมคงไปไหนไม่ได้ ตรงนี้แหละ มันคือชีวิตจริงๆ ผมคงทำอย่างอื่นไม่ได้แล้วแหละ ถึงวันหนึ่งที่ไม่ได้อยู่เบื้องหน้าแล้ว ผมก็ขออยู่เบื้องหลังอยู่ดี วงการบันเทิงให้อะไรฟิล์มบ้าง เยอะครับ ประสบการณ์ ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ที่อยากไปก็ได้ไป ได้เจอคนที่เรารัก ได้เจอกับสิ่งที่อยากสัมผัส ให้ทั้งคุณและโทษ มันครบ ผมว่าวงการบันเทิงกว้างสุดแล้ว เพราะเจอคนเยอะ ทุกแบบทุกแนวเจอหมด ตอนนี้พอใจกับความสำเร็จของตัวเองหรือยัง ยัง เพราะถ้าเราคิดว่าพอใจแล้ว ดีแล้ว มีคนรักแล้ว มันคือการฆ่าตัวเอง จะไม่มีแรงฝันต่อไป ผมจะคิดตลอดว่ายังๆๆๆ ยังไม่ดี ยังไม่ได้ ยังไม่ใช่ ร้องเพลงก็ห่วยแตก เต้นอะไรวะ เล่นหนังเล่นละครก็ไม่เก่ง ว่าตัวเองตลอด ก็ต้องสู้ เพราะผมเป็นคนชอบฝึกฝนตัวเองอยู่แล้ว แล้วขนาดไหนถึงจะพอใจ ไม่มี แต่จุดหนึ่งของผมคืออยู่ในวงการนี้ อยู่กับทุกคนให้นานที่สุด การวางตัวเปลี่ยนไปไหม หลังจากมีชื่อเสียง ฟิล์มไม่เปลี่ยนนะ เป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น ผมก็ยังเดินห้างปกติ แต่แค่มีคนเข้ามากรี๊ดมารุมเท่านั้นเอง แค่เจอคนก็มีความสุขแล้ว เสื้อผ้าไม่ได้ซื้อไม่เป็นไร ซื้อเอาตามกองถ่ายก็ได้ จัดสรรรายได้อย่างไรไม่ให้ซ้ำรอยรุ่นพี่ ที่วันหนึ่งตกอับแล้วขาดรายได้ ผมได้เฮียกับซ้อสอนมา แล้วรุ่นพี่ก็สอน เวลาได้เงินมา 10 ให้แบ่งไว้ 5-5 อีก 5 เก็บไว้ อีก 5 เอามาใช้ ให้พ่อให้แม่ ให้คนที่รักไม่เดือดร้อนก่อน ที่เหลือค่อยให้ตัวเอง ผมก็ให้พ่อแม่ตลอด ตอนนี้ถือว่าเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้ครอบครัว ใช่ครับ ทั้งบ้านมีผมทำงานคนเดียว มันก็มีเหนื่อยบ้าง แต่มันเหนื่อยปนกับความสุขก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเหนื่อยแล้วมีความทุกข์ ผมก็ไม่ทำหรอก เพราะผมไม่ชอบทำอะไรที่ฝืนตัวเองข่าวฉาวกับคนดัง ตอนนี้ยังมองหน้า "เสี่ยอู๊ด" สิทธิกร บุญฉิม ได้อยู่ไหม ผมไม่ได้คิดอะไรเลย ถ้าเจอกันก็คงสวัสดี ไม่เห็นจะเป็นอะไร ส่วนเรื่องที่เขาจะออกหนังสือ เพราะอาศัยชื่อเสียงเรา ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เฉยๆ ผมก็ไม่กลัวว่าในหนังสือจะมีเรื่องพาดพิงถึงผม ถามว่าถ้ามันแรงไปจะฟ้องมั้ย คงไม่ฟ้องหรอก ผมว่าทุกคนคงรู้ว่าอะไรคืออะไร ข่าวก็คือข่าว ผมไม่มีเวลามาคิดเรื่องนี้ ทำงานทุกวันเพื่อทุกคนดีกว่า แค่นี้ก็พอใจแล้ว เห็นข่าวว่า "โบกี้" จักรินทร์ สุนทรศิลป์ชัย โดนผู้ใหญ่แบน เพราะข่าวกับเสี่ยอู๊ดด้วย ผมยังไม่ได้คุยกับพี่โบกี้เลย เพราะผมทำงานทุกวัน ตั้งแต่อยู่ในวงการ ข่าวไหนที่กระทบเทือนใจที่สุด ไม่มีเลย แต่ที่เสียใจที่สุด คือกลัวคนไม่เข้าใจ ซึ่งส่วนใหญ่คนก็เข้าใจ วัดได้ มันก็ดี ที่เกิดเรื่องราว ผมก็อยากขอบคุณปัญหา ที่ทุกวันนี้ทำให้ผมมีวันนี้ ทำให้ผมแข็งแรงขึ้น ได้เจอคนที่รักเราจริงๆ ตอนแรกก็กลัวเหมือนกัน แต่กลัวว่าคนจะเข้าใจไหม ตื่นขึ้นมาจะเจอใครไหม เพราะทุกวันนี้ไปไหนมาไหนคนก็กรี๊ด กลัวว่าตื่นขึ้นมาถ้าไม่เจอใครล่ะ ชีวิตจะเป็นยังไง แต่ก็เหมือนเดิม เคยคิดว่าจะเจอเรื่องหนักขนาดนี้ไหม ก็คิดตลอด แต่มันเป็นเรื่องปกติ ข่าวก็คือข่าว จะไม่พูดอะไรก็ไม่ได้ แต่เชื่อว่ากลุ่มฟิล์ม แฟมิลี่ของผมทุกคน เขามีความคิด ท้อไหม ไม่เลย ช่วงเกิดข่าว คนรอบข้างให้กำลังใจตลอดเวลา ครอบครัวผมก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แฟนเพลงยังมาทุกวัน ข่าวมาเยอะประดังเข้ามา แต่ก็เฉยๆ ให้กำลังใจตัวเองอย่างไร สำหรับตัวเอง ผมเป็นคนไม่คิดมากอยู่แล้ว เป็นคนเฉยๆ อะไรก็ได้ ครอบครัวเลี้ยงมาแบบมอบความอบอุ่นให้เต็มที่ ไม่รู้สึกว่าอยู่คนเดียว ทุกปัญหาแก้ได้ มีทางออกอยู่แล้วความรักของ "ฟิล์ม" ความรักตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้ทำงานเยอะมากเลยครับ ไม่มีเวลาให้ใคร ครอบครัวก็แทบไม่เจอ เจอแต่กระดาษแปะ แม่เขียนจดหมายไว้ให้ มันไม่มีเวลาจริงๆ แต่เพื่อนก็มีเยอะ อาศัยคุยกับเพื่อนๆ ถ้าน้อยใจมากๆ ท้อจริงๆ ก็คุยกับพี่ชายตัวเอง ไม่ก็พ่อกับแม่ เพราะไม่มีใครแล้ว กลับบ้านทีก็ตีสองตีสาม ทุกคนหลับหมด ตื่น 6 โมงเช้าก็ทำงาน มีคนเข้าหาบ้างไหม มีสิครับ แหม...ผมก็ไม่ได้ขี้เหร่ (หัวเราะ) มันก็ต้องมีบ้าง เข้ามาถามเรื่องโน้นเรื่องนี้ แต่ผมก็คุยได้หมดทุกคน คุยเสร็จก็บอกเขาว่าไม่มีเวลานะ ก็รออยู่เหมือนกันว่าจะมีใครทนได้ แต่ผมคิดว่าไม่มีจริงๆ ไม่มีใครทนได้หรอก ผมยังทนตัวเองไม่ได้เลย (หัวเราะ) แต่นี่ผมก็เพิ่งอายุ 21-22 เอง คนที่จะมาเป็นแฟนฟิล์มต้องเป็นอย่างไร ต้องเข้าใจอย่างแรกเลย เพราะด้วยไม่มีเวลา พูดกันน้อยๆ แล้วเข้าใจ เพราะผมคงไม่มีเวลาพูดเยอะ บางทีฮัลโหล...ถ่ายแล้วๆ ผมก็ต้อง...ไปแล้วนะ (หัวเราะ) ผมสงสารผู้หญิงที่จะเข้ามาในชีวิตผม แต่จริงๆ ชอบคนน่ารักคุยเก่ง นี่งานยาวถึง 3 ปี แต่ก็กะเล่นๆ สัก 27 ก็คงมีได้แล้ว เอ้า...สาวๆ อดใจรอหน่อยนะจ๊ะ อีกแค่ 5 ปีเอ๊ง.ง.ง.