“ออกหลวงสรศักดิ์” จากบุพเพฯ ชอบใจฉายา “ก๊อต 4 วัน” ไม่เหลิงกระแส รู้มีขึ้นก็มีดับ!!

"ชอบฉายานี้จัง(หัวเราะ) ดีใจเพราะว่าปีที่แล้วผมก็ทำงานเต็มปีเลย ไม่ได้ออกไปไหน ไม่ได้มีละครออกอากาศ พอมาโผล่อีกทีก็เกินคาดครับ อย่างบท ‘ออกหลวงสรศักดิ์' ในละครบุพเพสันนิวาส ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้กระแสตอบรับตู้มต้ามขนาดนี้ แต่โดยส่วนตัวผมก็เต็มที่กับทุกงานที่ทำอยู่แล้ว ส่วนที่คนแซวว่าออกมาทีก็แย่งซีนพี่หมื่นไปได้เหมือนกัน ผมว่าคงไปแย่งซีนใครไม่ได้หรอกครับ แค่มันเป็นตัวละครที่แปลกใหม่ ทุกคนเห็นตัวละครอื่นๆ ในเรื่องมาครบแล้ว อยู่ๆ มีตัวละครนี้ออกมาแล้วบุคลิกต่างจากคนอื่น ส่วนในละคร "คมแฝก" ก็ถือเป็นเรื่องแรกที่ผมได้รับบทนำขนาดนี้ ผมมองว่ามันเป็นโอกาสที่ดีที่คนจะได้เห็นวิธีการทำงานที่ต่างกันออกไป ว่าผมทำงานในละครเรื่องบุพเพฯ ยังไง ทำงานในเรื่องคมแฝกยังไง และทำงานในเรื่องหนึ่งด้าวฯ ยังไง ซึ่งมันเป็นคนสามคนที่อยู่ในร่างร่างเดียว แล้วผมก็ทำงานค่อนข้างหนัก"

"เยอะมากครับ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีเรื่องแบบนี้เข้ามา ตอนที่ละครบุพเพฯ ออกอากาศมียอดฟอลโล่เพิ่มนาทีละพันคนเลย ยอดไลก์ก็เป็นแสน แต่ผมรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วก็จะดับไป เลยไม่ได้ยึดติดกับเรื่องอะไรเหล่านี้ แต่สิ่งที่ผมยึดติดและใส่ใจคือคุณภาพของงานที่ทำออกไปมากกว่า"

"ผมมองว่าสิ่งที่ปลูกไว้ปีที่แล้ว วันนี้ก็ได้เวลาเก็บเกี่ยว"

"(หัวเราะ)เรียกว่าเป็นช่วงขายของแล้วกัน อีกอย่างเวลาเล่นละครไม่ได้มีการรีเควสต์จากผู้กำกับว่าผมจะต้องถอดเสื้อตลอด แต่คิดว่าผู้จัดฯ หรือผู้กำกับคงจะเล็งเห็นแล้วว่าจะใช้ผมได้ในส่วนไหน แล้วผมเองก็เป็นคนเปลี่ยนรูปร่างตามบุคลิกตามบทที่ผมเล่นอยู่แล้ว อย่างละคร 3 เรื่องที่จะออกอากาศต่อๆ กันผมเล่นเป็นนักรบหมดเลย จึงสร้างร่างกายให้เหมือนนักรบไม่ใช่นักกล้าม แต่ว่าจริงๆ ผมพยายามที่จะทำให้เรื่องพวกนี้ให้มันเป็นประโยชน์ จะทำยังไงที่ดึงกลุ่มวัยรุ่นให้มาสนใจสุขภาพตัวเอง วินาทีแรกคนอาจจะสนใจเรื่องหน้าตาและรูปร่างของผม แต่หลังหลังผมอยากที่จะเปลี่ยนพวกเขาให้มาสนใจวิธีคิด วิธีการทำงาน และวิธีการดูแลตัวเอง"

"จริงเหรอ...อันนี้ไม่รู้เรื่องเลย(หัวเราะ) ผมกับโบว์เราคบกันมีทั้งช่วงที่ลำบากและช่วงที่ดี เวลาที่ผมดีขึ้นมาตัวเขาเองก็ซัพพอร์ตผมมาตลอด มันทำให้ผมยิ่งรักเขามากขึ้น ยิ่งทำให้รู้สึกว่าวันที่เหนื่อยล้าเขาก็ยังอยู่กับผม ฉะนั้นเมื่อวันที่ผมดีขึ้นผมก็อยากอยู่กับเขาเหมือนกัน อย่างเวลามีคอมเม้นต์อะไรมาถึงผมเขาก็จะแคปมาให้ดูตลอด แต่คลิปกัดหูอันนี้ก็จะมีคนแซวว่าเป็นคลิปทำลายล้างคนโสดมากๆ อยากจะบอกว่าผมมีคลิปอะไรแบบนี้เยอะมาก เพราะว่าชอบเล่นกันแผลงๆ ตลอด บางอันก็เถื่อนเกิน เล่นกันแรง ถ้าใครจะมองว่าเยอะไปมั้ย บางทีความคิดเห็นของคนอื่นไม่จำเป็นต้องกลายเป็นความจริของเรา ถ้าเราแคร์คนอื่นมากไปโดยที่ไม่ได้แคร์คนใกล้ตัวมันน่าจะเสียหายมากกว่า"

"ผมว่าเรื่องการแสดงความรักจริงๆ แล้วก็ควรจะแสดงออกกันทุกคนนะครับ การกอด การจูงมือ หรือการอยู่ด้วยกันเพราะมันจะทำให้สนิทกันมากขึ้น เรื่องพวกนี้ทุกคนเป็นมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว แค่พอโตขึ้นก็จะคิดเยอะขึ้น แต่ผมคงมีวิธีคิดแบบเด็กๆ มั้ง อยากกอดก็กอด ถึงต่อให้ทุกวันนี้มีคนจับตาความรักของคู่ผมมากขึ้น มันก็ไม่ได้มีการปรับตัวหรือเปลี่ยนแปลงอะไร ผมก็ยังเป็นผมอยู่เหมือนเดิม เพราะมีความคิดและความเชื่ออย่างหนึ่งว่า...ถ้าเราสองคนอยู่ด้วยกันแล้วจะต้องโอนเอียงไปตามมาตรฐานชีวิตของคนอื่น แบบนั้นเราสองคนก็จะใช้ชีวิตลำบาก"

"พูดเรื่องแต่งงานอีกแล้ว(หัวเราะ) ผมกับโบว์คุยกันเรื่องนี้แล้วเราสองคนไม่ได้ซีเรียสเรื่องของการแต่งงานเท่าไหร่ แต่ซีเรียสเรื่องการเข้าใจกันและกันมากกว่า ส่วนล่าสุดที่เห็นโบว์ใส่ชุดแต่งงานอันนั้นคือเขาถ่ายแฟชั่นครับ เห็นแล้วก็สวยดีครับ"

"อย่างที่บอกว่าความคิดเห็นของคนอื่นไม่จำเป็นต้องกลายเป็นความจริงของเรา เวลาเราอยู่โลกข้างนอกก็จะมีชีวิตหนึ่ง อยู่โลกในบ้านก็จะมีอีกชีวิตหนึ่ง แล้วผมก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันกับโบว์ 24 ชั่วโมง ผมก็อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ แล้วก็มาอยู่กับเขา การที่ตัวเราเลือกที่จะอยู่กับใครสักคนหนึ่งนั่นหมายความว่าอยู่กับคนคนนั้นแล้วสบายใจและมีความสุข อีกอย่างไลฟ์สไตล์ของเราสองคนค่อนข้างคล้ายกัน"

"ผมไม่ซีเรียสนะ บางทีเราต้องแยกให้ออกระหว่างการตกหลุมรักกับการก้าวขึ้นสู่ความรัก คือเวลาที่ตกหลุมรักเราก็อยากที่จะครอบครองเขาให้เป็นของเราคนเดียวเท่านั้น แต่การก้าวขึ้นสู่ความรักมันหมายความว่าเราพยายามเข้าใจวิถีชีวิตเขา และในขณะเดียวกันเราก็เคารพตัวเองด้วย"