อนันดาประกาศละครไม่ใช่แนว!เสือเรื่องเดียวและเรื่องสุดท้ายที่จะเล่น!

 'อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม' แต่พอต้องมาเล่นละครเรื่องแรกในชีวิตอย่างเรื่อง 'มาเฟียเลือดมังกร' ตอน 'เสือ' ของ 'พี่อ๊อฟ- พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง' เจ้าตัวถึงกับออกอาการไปไม่เป็นเหมือนกัน

“ผมเคยเล่นละครเมื่อกว่าสิบปีที่แล้วตอนอายุ 19 ปี หลังจากนั้นก็ไม่ได้เล่นอีกเลย แต่ที่ตัดสินใจกลับมาเล่น เพราะสัญญากับพี่อ๊อฟไว้นานแล้วว่า ถ้าจะเล่นละครจะเล่นให้เขาคนเดียว จากนั้นก็ผลัดไปเรื่อย เวลามีเจ้าอื่นติดต่อมา ผมก็จะใช้ข้ออ้างเดิมคือ รอของพี่อ๊อฟอยู่ครับ จนมีคนไปบ่นกับพี่อ๊อฟว่าทำไมไม่ใช้อนันดาสักที คนอื่นจะได้ใช้บ้าง เขาเลยมาบ่นกับผมต่อว่าหยุดใช้ชื่อพี่เป็นข้ออ้าง เล่นได้แล้ว จึงตกลงครับ (หัวเราะ)

“พอมาเล่นละครทำให้รู้ว่าแตกต่างจากหนังโดยสิ้นเชิง ด้วยความที่ดีเอ็นเอของผมเป็นหนัง จึงรู้สึกเข้าใจกว่า รู้ว่าเส้นพีคของเรื่องอยู่ตรงไหน แล้วฉายแค่ 2 ชั่วโมงจบ ไม่เหมือนละครที่เล่นๆ อยู่ยังไม่รู้เลยว่าจะจบยังไง เพราะบทยังไม่มา ประหลาดดีครับ ผมไม่เคยแสดงอยู่แล้ว หันมาพูดกับกล้อง หรือต้องคิดเสียงดังๆ (หัวเราะ) ขณะที่ถ้าเป็นหนังส่วนมากพอถึงซีนดราม่าต้องกดอารมณ์ไว้ก่อน จะไม่แบหมดทุกอย่าง ผิดกับละครที่เขียนมาเพื่อให้เราเผยอารมณ์ออกมาให้หมด จนบางทีก็เป็นห่วงว่าเราเล่นชัดเจนพอหรือเปล่า ส่วนมากผมจะมีคำถามกับผู้กำกับว่าต้องแสดงอารมณ์เยอะกว่านี้อีกไหม บวกกับผมพูดเบา เนื้อเสียงไม่คมชัด ซึ่งละครค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องเสียงมาก

“ผมว่าละครไทยเหมือนอาหารไทย มีทุกอย่าง ครบทุกรสทั้งเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ตลกเสร็จ สักพักเศร้าร้องไห้ต่อ จากนั้นก็ต้องโมโห โกรธ ตบกัน แล้วก็ปล้ำจูบกันต่อ โชคดีที่ได้เล่นคู่กับคิมเบอร์ลี เธอเป็นพาร์ทเนอร์การแสดงที่ค่อนข้างดีมาก ยิ่งได้ทำงานกับพี่อ๊อฟก็แฮปปี้ เหมือนได้ทำงานกับครอบครัวครับ คงต้องรอชม ผมไม่รู้ว่าตัวเองเล่นดีหรือเปล่า แต่ก็ดีเหมือนกันที่ได้ลองอะไรใหม่ๆ บ้าง ความไม่มั่นใจบางครั้งก็เป็นสิ่งดี เพราะบางทีถ้าเรามั่นใจเกินไปจะเกิดความชะล่าใจ จนขาดความอะเลิท ยิ่งพอเราไปอยู่ในช่องเมนอย่างช่อง 3 กฎเกณฑ์ค่อนข้างเยอะ ว่าต้องเข้มข้น ครบรส เล่นให้คนดูสะใจด้วย

“แต่โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองสนใจหรือมีแพชชั่นน่าจะเป็นงานหนังมากกว่า จึงคิดว่า มาเฟียเลือดมังกร น่าจะเป็นเรื่องเดียวที่เล่น คงไม่มีเรื่องต่อไปแล้ว ฉะนั้นห้ามพลาดนะครับ”