หลุยส์มีลูกทันใช้ชดเชยสิ่งที่ขาด

เห็นเป็นหนุ่มอบอุ่นอย่างนี้ ใครจะรู้ว่าหนุ่มสุดเท่มาดแมนแสนจะเจ้าเสน่ห์อย่าง "หลุยส์ สก็อต" จะขาดไออุ่นจากอกพ่อ ตั้งแต่เขาอายุเพียง 3 ขวบ


อยากรู้เรื่องราวชีวิตของหนุ่มมาดนุ่มคนนี้เป็นอย่างไร ต้องลองมาฟังเขาเล่า

"คุณพ่อผม(เจมส์ เอียน สก็อต) เป็นคนสกอต ส่วนคุณแม่(ศิวพร ลิขิตธรรมรักษ์ สก็อต) เป็นคนไทย แต่ผมเกิด (4 มี.ค. 2525) ที่แอฟริกา ประเทศเคนยา เพราะคุณพ่อไปทำงานที่นั่น ผมมีพี่น้อง 2 คน ผมเป็นน้องคนสุดท้อง พี่ชายผมชื่อสจ๊วด ตอนนี้อยู่ฮาวาย ผมอยู่เมืองไทยกับคุณแม่ ส่วนคุณพ่อเสียตั้งแต่ผม 3 ขวบ" หลุยส์เริ่มเล่าเรื่องราว

"คุณพ่อผมเป็นคนไม่ดุ อบอุ่น จะสอนให้เรียนรู้ด้วยตัวเอง ส่วนคุณแม่เวลาขอคำปรึกษาอะไรจะแนะนำ แต่ถ้าบอกแล้วเราไม่เชื่อเค้าก็จะปล่อยให้ทำ เมื่อเจ็บตัวกลับมาเค้าก็จะบอกว่าเราเรียนรู้มาแล้วใช่มั้ย"



หลังคุณพ่อเสีย หลุยส์ยอมรับว่ารู้สึกขาด เขาอยากคลุกคลี ได้พูดคุย ทำกิจกรรมกับผู้เป็นพ่อ อย่างที่ผู้ชายเขาทำกัน



อย่างนี้กระมัง ที่ทำให้เขาคิดไกลกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน ในขณะที่เพื่อนๆ ยังวิ่งเล่น เที่ยวอยู่ แต่เขากลับคิดอยากมีครอบครัว มีลูก โดยให้เหตุผลว่า "จะได้มีลูกทันใช้ ยังไม่แก่เกินไปที่จะทำกิจกรรมกับลูก ชีวิตพลาดไปคือคุณพ่ออายุมากแล้วตอนที่มีผม เลยได้มีชีวิตอยู่กับเค้าแค่ 3 ปีเอง แล้วช่วงนั้นมันจำอะไรไม่ได้ ความทรงจำมันเลยไม่มีเก็บอยู่ เราก็รู้สึกเสียดาย"

เพราะขาดไออุ่นจากพ่อ ได้รับความจากแม่ฝั่งเดียวคงยังไม่พอหลุยส์ถึงได้โหยหาความรัก ที่ผ่านมาเขายอมรับว่ามีแฟนมาทั้งหมด 4 คน รวมถึง "เอลี่ แม็กควีน" คนปัจจุบันด้วย โดยเป็นคนในวงการคนเดียว(เทย่า โรเจอร์) ที่เหลือเป็นนอกวงการหมด

"ความรักของผมที่ผ่านมาต้องใช้คำว่าไม่ดีเลย คนแรกเป็นคนนอกวงการ ตอนนั้นเราเด็กด้วยกันทั้งคู่แต่เค้าเจ้าชู้มากๆ ทำให้รู้เลยว่าใครเฟกกับเรา คนแรกมาคบเราเพราะเราอยู่ในตำแหน่งที่มีชื่อเสียงมากกว่า ไม่ใช่เพราะรักเรา ผมยอมรับว่าขี้หึง คนอาจมองว่าแปลก ผู้หญิงน่าจะเป็นฝ่ายหึง แต่บังเอิญผมอยู่กับแม่มาตลอด เค้าเลี้ยงผมมานิสัยก็เลยจะออกเป็นผู้หญิงด้วย" หลุยส์เกริ่น

กับ "เอลี่" แฟนคนปัจจุบันที่คบกันมา 5 ปีตอนนี้บินไปเรียนต่อเมืองนอก อย่างนี้จะแพ้ระยะทางหรือเปล่า หลุยส์แย้ง "เรื่องระยะทางผมไม่กลัวว่าจะมีผลต่อความรัก ไม่ใช่ว่ามั่นใจมาก แต่เราต้องมีความไว้ใจกัน"


ประทับใจเอลี่ตรงไหน "เค้าทำให้เรามั่นใจในตัวเค้า เชื่อในตัวเค้า ทำให้เราไม่เหนื่อย ไม่ต้องมาลังเล เลยรู้สึกแฮปปี้มากขึ้น เวลาที่ไกลกันเค้าจะมีอะไรที่ทำให้เรามั่นใจได้ว่าเค้าไม่ได้ทำในสิ่งที่เราคิดกลัว อย่างเค้าไปดูหนังเค้าก็จะเล่าว่าไปดูหนังมาคนเดียว เราก็ไม่ค่อยเชื่อหรอก แต่พอดีเพื่อนผมไปเจอเค้าที่โน่นก็โทร.มาบอกว่าเจอเอลี่เดินออกจากโรงหนัง ผมก็ถามว่าเดินกับใคร เค้าก็บอกว่าคนเดียว แล้วเป็นแบบนี้หลายครั้งแล้ว ทำให้เรารู้สึกมั่นใจในตัวเค้า"



แล้วตัวเองล่ะ ทำให้ฝ่ายหญิงมั่นใจแค่ไหน

หลุยส์กล่าวจริงจัง "มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็มีบางส่วนที่เค้าไม่เข้าใจ เราทำงานตรงนี้เค้ารู้ว่าต้องเจอผู้หญิงเยอะและผู้หญิงในวงการก็จะหน้าตาดี ผมก็จะบอกเค้าว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่อย่าเผลอ(หัวเราะ) พูดเล่น คือผมเป็นคนไม่เจ้าชู้แต่เป็นคนที่สนิทกับคนง่าย มันเลยดูเหมือนเจ้าชู้ แต่จริงๆ ไม่มีอะไร"

อนาคตมองไปไกลแค่ไหน "ความจริงก็ไม่อยากมองไกลมาก เพราะถ้าไกลไป บางครั้งที่เราคาดหวังแล้วมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิดจะทำให้รู้สึกไม่ดี ผมเลยไม่คาดหวังกับความรักมากนัก ก็ให้มันไปของมันตามธรรมชาติ ที่ผ่านมาผมเคยผิดหวังกับความรักมาแล้ว ทำให้ผมเสียใจ เอลี่คือแฟนคนที่ 4 ที่ผ่านมา 3 คนผมผิดหวังหมด อย่างกับคนในวงการที่ต้องเลิกกันไปครั้งนั้นผมก็เสียใจมาก แล้วครั้งนั้นเป็นครั้งที่ผมคาดหวังมากด้วย"

เอาประสบการณ์อะไรจากความรักที่ผิดหวังมาปรับใช้กับความรักปัจจุบัน "ความจริงแล้วเราจะเอาสิ่งที่เรียนรู้จากคนหนึ่งมาใช้กับอีกคนไม่ได้เพราะเป็นคนละคนกัน เพราะนี่คือการเริ่มต้นใหม่ เอาเป็นว่า รักน่ะรักได้แต่ก็ต้องเผื่อใจไว้บ้าง แล้วผมมีครอบครัวที่อบอุ่นก็อยากให้ตัวเองเป็นแบบนั้นบ้าง"



ปรึกษาคุณแม่มั้ยกับเรื่องความรัก

"พยายามจะไม่ปรึกษาเพราะคุณแม่ชอบบอกให้เผื่อใจ ที่แม่สอนให้ผมเผื่อใจเพราะเค้ารู้ว่าผมเป็นคนเซ้นซิทีฟมาก มันอาจจะผิดกับภาพผมนะ แต่ผมเป็นคนอ่อนไหวจริงๆ ร้องไห้ง่ายมาก ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากเรื่องที่ผมต้องดูแลครอบครัว รู้สึกว่าตัวเองต้องเข้มแข็งตลอด ซึ่งบางครั้งมันเข้มแข็งตลอดไม่ได้"

หลุยส์ยอมรับว่าตอนนี้มุมมองความรักเปลี่ยนไป คิดมากขึ้น และมีการวางแผนไปถึงอนาคต

ส่วนนิยามความรักนั้น เขาจำกัดความว่า "ความรักคือทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่แค่เรื่องความสัมพันธ์ของคน 2 คนเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงครอบครัว เพื่อน ทุกอย่างรอบด้าน มันคือความรักหมด ซึ่งมันเป็นสิ่งที่สวยงาม"





"วงการบันเทิง"ผู้สร้างชีวิต"หลุยส์"



เข้าวงการมาตั้งแต่ฟันยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม สำหรับหนุ่มลูกครึ่งไทยสกอต "หลุยส์ สก็อต" หรือ "หลุยส์ แร็พเตอร์" นักร้องดูโอเด็กคู่กับ "จอนนี่ อันวา"

ภาพนักร้องของเขาไม่เปลี่ยน กระทั่งได้มาสัมผัสงานแสดงและเอาจริงเอาจังมากขึ้น
ล่าสุดกับบท "ตัวใหญ่" ชายหนุ่มที่สุดแสนจะอบอุ่นในละคร "ดวงใจปาฏิหาริย์" ทางช่อง 7 ซึ่งเป็นอีกบทหนึ่งที่จะเกาะกุมใจสาวไปอีกนาน

ถ้าถามว่าในตัว มีความเป็นฝรั่งหรือไทยมากกว่ากัน หลุยส์คิดก่อนตอบ "ตอนเด็กน่าจะเป็นฝรั่งมากกว่า แต่ตอนนี้ชักเริ่มมีความเป็นไทยมากกว่าเดิม ที่ดูได้คือเรื่องความอ่อนน้อม พูดจะไม่ห้วนมาก จะห่วงความรู้สึกคนอื่นก่อนที่จะพูดอะไรออกมา"

ย้อนถามถึงชีวิตวัยเด็ก เจ้าตัวหัวเราะร่วนก่อนวาดมโนภาพ "ตอนเด็กผมซนมากๆ โคตรแห่งความซนจนพี่ๆ เรียกว่าเด็กนรก วีรกรรมที่เคยทำตอนนั้นผมมาซ้อมร้องเพลงที่อาร์เอสชั้น 6 เราก็มีลูกโป่งอยู่ จอนนี่ก็มีความคิดว่าให้ผมเอาลูกโป่งไปเติมน้ำแล้วโยนลงไปข้างล่าง แล้วผมไม่ได้ดูว่าอะไรอยู่ข้างล่าง พอโยนลงไปมันไปโดนรถขนเทปเปียกไปหมด แล้วเทปนั่นไม่ใช่ของใครเป็นของแร็พเตอร์เอง"

"ผมเข้าวงการตอน 7 ขวบ เริ่มจากงานโฆษณาลูกอมโอมิล่า จากนั้นก็เล่นหนัง "โตแล้วต้องโต๋" ตามมาด้วยโฆษณาเรื่อยๆ จนเข้าตาอาร์เอสเค้าบอกให้มาเล่นมิวสิควิดีโอ ผมก็มาเทสต์ แต่พี่เค้าให้ผมเทสต์ร้องเพลง เทสต์เต้น ผมก็งง ภายในวันนั้นเค้าก็ให้รอผลเลยพร้อมกับจอนนี่ แล้วที่อาร์เอสก็บอกว่าที่เรียกมาเล่นมิวสิควิดีโอคือมาเล่นให้เพลงของตัวเอง ผมก็ตกใจเลยว่าไม่ได้ออกเทปนะจะมาเล่นมิวสิคฯ ตัวเองได้ไง เค้าก็บอกว่าก็จะให้ออกเทปไง เราก็รู้สึกว่ายังเด็กอยู่ถึงแม้จะอายุ 10 ขวบแล้ว แต่ผมยังร้องเพลงไม่เป็น เค้าก็บอกว่าจะสอนให้ 4 เดือน เราก็งง คือพูดภาษาไทยก็ยังไม่คล่องด้วย"



ด้วยความแปลกใหม่ ความเป็นธรรมชาติของการเป็นเด็กลูกครึ่งทำให้ "แร็พเตอร์" ได้รับความนิยมอย่างสูง จนคลอดงานเพลงมาถึง 7 อัลบั้ม


"ตอนนั้นชอบชีวิตมากๆ เพราะมีคนกรี๊ดเยอะ ชอบเวลาที่ไปห้างแล้วมีคนจำได้ อยากเป็นจุดสนใจของคนอื่น พาเพื่อนไปแล้วมีคนมาขอลายเซ็น เราก็ยิ้ม แล้วที่เซ็นไปก็เซ็นแบบไม่รู้เรื่อง"

เป็น "หลุย แร็พเตอร์" ดาราหนุ่มสารภาพว่าฝืน เพราะไม่ชินกับคอนเซ็ปต์ ไม่ชินกับการไปโปรโมตไปให้สัมภาษณ์ แต่พอโตขึ้นถึงได้รู้ว่า ควรปรับและทำความเข้าใจอย่างไร

คุณพ่อเสียไปตั้งแต่อายุ 3 ขวบ "หลุยส์" จึงเป็นเหมือนเสาหลักของบ้าน เขาดูแลครอบครัวมาตั้งแต่อายุ 16 ปี โดยเขาเล่าว่า "ส่วนหนึ่งคิดว่ามันเป็นภาระหน้าที่ที่ต้องทำ เรื่องเหนื่อยไม่เท่าไร ชินแล้ว

อีกอย่างมีจอนนี่เป็นเพื่อนในการทำงาน ทำกันไปเล่นกันไปสนุกดี แต่ก็มีภาระที่ว่าได้เงินมาก็ต้องไปจ่ายให้พี่ชายเรียนหนังสือ มีบ้างที่น้อยใจว่าเงินเราก็อยากใช้บ้าง อยากซื้ออะไรที่เด็กอายุ 17 อยากได้ แต่ก็ต้องวางไว้ก่อน เลยต้องมีหัวธุรกิจว่าต้องเก็บตังค์ ใช้ในสิ่งที่จำเป็น แต่ลึกๆ มันเป็นความภูมิใจนะ เรารู้สึกว่าพอคุณพ่อเสียไป มาถึงเวลาที่เราหาเงินได้เราก็เป็นเสาหลักของบ้าน คุณแม่จะบอกทุกวันเป็นกำลังใจที่ผมต้องทำงานหนัก คุณแม่จะขอบคุณ"

กำลังโด่งดังอยู่แท้ๆ "แร็พเตอร์" มีอันต้องปิดฉาก เพราะต่างเริ่มโต เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง ที่สำคัญต้องแยกกันไปเรียน

"ผมพักไป 2 ปีกว่าก็ได้กลับมาออกอัลบั้มเดี่ยว 3 อัลบั้ม แล้วก็หายไปเลยคือไปเรียน พอจบไฮสคูลที่บางกอกพัฒนา ก็เข้าเรียนคณะบริหารธุรกิจนอก ที่เซาท์เทิร์น แฮมส์เชีย ตอนนี้อยู่ปี 4 แล้ว และกลับมาอีกทีคือมาโผล่ในงานละครอย่างจริงจังเรื่อง "เพลิงพายุ" ที่มาเล่นละครตอนแรกคือเรื่องเวลา เพราะตอนนั้นผมยังเรียนอยู่ ละครใช้เวลาแค่ 2 เดือนเสร็จ ขณะที่เพลงใช้เวลาถึงครึ่งปี"

ส่วนโอกาสที่จะได้ทำงานเพลงนั้น เจ้าตัวบอก "ต้องรอดูอีกที ตอนนี้ผมยังมีสัญญาอยู่กับอาร์เอสเหลืออีก 3 ปี ตอนนี้กำลังมุ่งเรื่องละคร อยากทำตรงนี้ให้ดีที่สุด เอาเป็นว่าสั่งสมแฟนคลับละครให้เยอะก่อนเดี๋ยวมีโอกาสแล้วไปออกเทป จะได้ใช้เวลาค้นหาแนวเพลงที่ชอบจริงๆ ด้วย"

ชีวิต ณ วันนี้ หลุยส์พอใจแต่ยังไม่ที่สุด ที่สุดของเขาคือการได้มีธุรกิจเป็นของตัวเอง

"ผมอยู่วงการมา 17 ปี วงการนี้ให้ผมทุกอย่าง ความรู้ในทุกด้าน ในแง่ความจริงของการทำงาน ได้เรียนรู้นิสัยคนมากมายทั้งที่จริงใจและเฟก มันไม่ใช่แค่เรื่องงาน เรื่องเงิน แต่มันเกี่ยวกับเรื่องเพื่อน ครอบครัว ได้รู้ว่าคนนี้รักเราจริงหรือไม่ มันได้หมดเลย"

ทั้งหมดที่หลุยส์ได้สัมผัส นั่นคือประสบการณ์ชีวิตที่ยิ่งใหญ่


แหล่งที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด




เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์