หลังแต่งงาน พิงค์กี้ ถอยออกจากวงการ

แต่ล่าสุดเธอก็ควงแขนเขามาจัดงานบวงสรวงภาพยนตร์เรื่อง ‘มังกร นารี ปีศาจ' ซึ่งสร้างในนาม บริษัท ปารามิตา ฟิล์ม จำกัด ที่เพชรเป็นเจ้าของ พร้อมรั้งตำแหน่งผู้กำกับการแสดง ขณะที่เธอเป็นผู้ช่วยดูแลเรื่องรวมๆ ของบริษัท
การที่อยู่ๆ ชวนกันมาทำหนังนั้น พิงค์กี้บอกว่า มาจากทั้งความรักของเธอ และความชอบของเขา
"การทำงานในวงการบันเทิงเป็นสิ่งที่เรารัก"
ส่วนที่ "คนอาจจะสงสัยว่าพี่เพชรมาทำงานในวงการยังไง คือพี่เขาผ่านอะไรมาเยอะ สร้างตึกขายก็ทำมาแล้ว งานนี้ก็เป็นความชอบของเขา ที่อยากทำตรงนี้"
สำหรับ ‘มังกร นารี ปีศาจ' ซึ่งเป็นเรื่องของอำนาจ ความรัก ความแค้น และเรื่องราวลึกลับ ซึ่งมี โตโน่ ภาคิน คำวิลัยศักดิ์, ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ และ กรีน อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล ฯลฯ แสดงนั้น มีกำหนดเข้าฉายในปีหน้า นั่นคือเรื่องของงานที่พิงค์กี้ว่า
ขณะที่เรื่องชีวิต นางเอกวัย 31 ที่แต่งงานมาแล้ว 3 ปี บอกว่าตอนนี้เธอกำลังเตรียมพร้อมจะมีทายาท จึงพยายามบำรุงร่างกายเต็มที่ โดยตั้งใจว่าจะปล่อยตามธรรมชาติในปีนี้ และหากไม่สำเร็จค่อยคิดอีกครั้ง
เล่าอีกว่าเรื่องนี้สามีดูเหมือนไม่กังวล แต่ "ผู้หญิงเวลาที่อยากมีลูกแล้วไม่มี มันก็ท้อนะ" เธอบอก
"แต่พี่เขาบอกไม่เป็นไร ก็ให้กำลังใจเรา"ดูจากสีหน้า แววตา และรอยยิ้มเวลาพูดถึงสามีแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะถามเรื่องข่าวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเรื่อง ‘ลิ้น' กับ ‘ฟัน' ที่ว่ากันว่ากระทบกันบ่อย หรือเรื่องที่เธอถูกกักไว้ คล้ายดั่ง ‘นกในกรงทอง'
ซึ่ง ‘ไม่ใช่เลย' คือคำตอบที่ให้แบบควบรวม
"ไม่เป็นนกน้อยค่ะ พี่เพชรกับกี้นี่คือเธอจะไปทำอะไรก็ทำเลย เขาให้อิสระในความคิด แต่ด้วยความที่ก่อนหน้านี้อาจจะไม่ได้เห็นกี้ออกมาทำงานตรงนี้ เพราะมีครอบครัวแล้ว คือพอเแต่งงานกับพี่เพชร เราก็โฟกัสเรื่องเป็นคู่กัน ต้องเดินไปข้างหน้า"
"บางคนอาจจะต่างคนต่างทำงาน แล้วกลับบ้านมาเจอกัน แต่คู่เราทำงานด้วยกัน งานนี้เป็นของบริษัทตัวเอง ไม่เหมือนคู่อื่น คนอาจจะไม่เข้าใจ ว่าทำไมไม่รับงานวงการบันเทิงเลย"
ทั้งๆ ที่จริงๆ ก็รับบ้าง ในส่วนงานที่ไม่ใช้เวลานานนัก อย่างออกอีเวนต์หรือถ่ายแบบ
นี่เองจึงอาจเป็นที่มาของเรื่อง ‘นกน้อย' ดังว่า
ส่วนเรื่องทะเลาะกันนั้น พิงค์กี้บอกเลย ทุกคนก็เป็น
"แล้วกี้มีความเป็นเด็กในตัวสูง ซึ่งพี่เพชรเป็นผู้ใหญ่ อายุห่างกว่าเรา 13 ปี มันก็จะมีความต่าง แต่ 3 ปีนี้เราจูนกันตรงแล้วนะ"
"แต่ก่อน 3 ปีเราก็มี เขาไม่ชอบเราแบบนี้ เราไม่ชอบเขาแบบนั้น และก็จะมีคำถามว่าทำไม ซึ่งเราต้องเรียนรู้กันและกัน รับฟังกันให้มากขึ้น"
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้เธอกลายเป็นคนที่รับฟังคนอื่นมากขึ้น"คิดแล้วค่อยพูด จากเมื่อก่อนจะพูดก่อนคิด ซึ่งพี่เพชรก็สอนเราตรงนี้"
ซึ่ง "กี้ว่าดีนะ" บอกพลางหัวเราะ
"เหมือนมีครู มีคนสอนที่ดี"
"น้อยนะที่จะมีแฟนและสามีเป็นครูในเรื่องต่างๆ ถามว่ารู้สึกว่าเขาบังคับเราไหม ก็ไม่นะ ช่วงนี้กลับรู้สึกว่าพี่เพชรมาหากี้หน่อย ต้องการความอบอุ่นบ้าง มันห่างเหินกัน แต่เราไม่ได้ออกสื่อเยอะ เลยอาจจะไม่ได้เห็น"
บอกอีกว่า ถ้าจะให้จำกัดความเรียกช่วงเวลา 3 ปีของการแต่งงาน เธอก็ขอเรียกว่า เป็นช่วง "ปรับเปลี่ยนชีวิต"
"ถามว่าเป็นคุณนายไหม ก็ไม่ได้เป็นคุณนายเลย ยังเหมือนเดิม ไม่ฟุ่มเฟือย แต่ปรับเปลี่ยนในเรื่องการใช้ชีวิตมากกว่า จากที่ต้องทำงานในวงการบันเทิงทุกวัน ต้องไปถ่ายละคร เปลี่ยนมาเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ เรียนรู้การมีครอบครัวที่ดี ว่าต้องอยู่ยังไง คือแต่ละคู่เชื่อว่าไม่เหมือนกัน"
และไม่ได้ทำตัวเป็นหนูตกถังข้าวสารอย่างบางคนคิด
"ถ้าเป็นอย่างนั้น กี้คงถือกระเป๋าแอร์เมสทุกวันไม่ซ้ำ แต่มันไม่ใช่ไง เราก็ไม่ได้ลำบากนะ แต่เราจะพัฒนาสมองในส่วนอื่นมากขึ้น คิดเรื่องบริหารจัดการ"
เล่าอีกว่า ในบทบาทของภรรยานั้น "เราเป็นทุกอย่าง"
"ทั้งผู้ฟังที่ดี ไม่พูดแทรกในเวลาที่เขาเหนื่อย ถ้าเห็นว่าเขาเหนื่อยก็พยายามอย่าไปเค้น ว่าเป็นอะไร ปล่อยให้เขาคิดของเขา"
"เวลาเขาเหนื่อยอาจจะเข้าไปนวด ให้เขาคลายเครียด"
"แต่ถ้าเขาต้องการผู้ฟังที่ดี เราก็เป็นผู้รับฟังและผู้ให้คำปรึกษาที่ดี"
สรุปคือ "จะต้องเรียนรู้ว่าสามีเป็นยังไง"
ซึ่งจากการเรียนรู้ในระยะที่ผ่านมา ตอนนี้ "ลงตัวแล้วค่ะ" บอกพลางหัวเราะเบาๆ
"ก่อนหน้านั้นเราเรียนรู้กันแค่ปีกว่าๆ ไม่ได้เป็นแฟนกันมา 10 ปี แต่ตอนนี้ก็รู้ใจทุกอย่าง"
"เข้าใจแล้วว่าชีวิตคู่เป็นยังไง"
สำหรับอนาคตที่วางไว้ พิงค์กี้บอกเลย "อยากมีลูกที่ฉลาดเหมือนพ่อ คือพี่เพชรเป็นคนฉลาด หัวไว และได้ความน่ารักของแม่"
แต่ประการหลังนี้ พิงค์กี้กระซิบว่าสามีไม่ค่อยเห็นด้วย
"เขาจะบอกว่า ลูกต้องน่ารักเหมือนเขานะ"
ว่าแล้วพิงค์กี้ก็ยิ้มกว้าง อย่างมีความสุข