หมวยอินเตอร์ ได๋ เลือกเยอะ เรื่องรัก

เป็นสาวเก่งอีกคนหนึ่งของวงการ สำหรับ สาวหมวยช่างจ้อ ได๋-ไดอาน่า จงจินตนาการ ที่ตอนนี้เธอกลายเป็นพิธีกรแถวหน้าของวงการบันเทิง แต่เร็ว ๆ นี้ได๋กำลังจะมีผลงานภาพยนตร์ “บีฟอร์ วาเลนไทน์” มาให้ได้ชมกันในรอบ 13 ปีด้วย วันนี้สาวได๋เคลียร์คิวทองมาให้ “ดาวต่างมุม” ได้พูดคุยถึงเรื่องราวและข่าวคราวต่าง ๆ ในชีวิตตอนนี้กันด้วย


กลับมาเล่นหนังในรอบกี่ปี ?

13 ปีค่ะ เรื่องสุดท้ายที่เล่นไว้คือเรื่อง “ดอกไม้นายมากับขาหมู” ของไฟว์สตาร์ สาเหตุที่ทำให้ห่างงานหนังก็เพราะว่าไม่มีเวลา ตอนแรกที่เข้าวงการใหม่ ๆ เรายังไม่รู้ว่า งานอะไรบ้างที่เราจะสามารถจัดสรรเวลาได้ เราก็ลองทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นหนังหรือละคร แต่ตอนนั้นกำลังเรียนอยู่ ป.6 หรือ ม.1 การที่เราถ่ายหนัง มันทำให้เราไม่สามารถตื่นไปโรงเรียนตอนเช้าได้ มันเหนื่อยมาก แม่กับพ่อก็เลยลงมติกันว่าอยากให้ทำอะไรที่มันไม่ต้องใช้เวลาเยอะมาก แล้วการเรียนไม่เสีย ก็เลยมาโฟกัสกับการเป็นพิธีกรมากกว่า เพราะมันสามารถจัดสรรเวลาได้ดีกว่า ก็เลยเห็นได๋เป็นพิธีกรมาเรื่อย ๆ แต่ก่อนไปเรียนปริญญาโทที่อเมริกา มีเวลาเยอะขึ้นก็เลยรับเล่นละคร ตอนนั้นรับติดกัน 3 เรื่องเลยของช่อง 7 หลังจากนั้นก็ไปเรียนต่อ พอกลับมาอาชีพหลักของเราก็คือเป็นพิธีกรอย่างเดียวเลย เราเลยรู้สึกว่าความเป็นนักแสดงในตัวเรามันเรียกร้อง พอดีหนังเรื่องนี้เขาติดต่อไป เราก็เข้าไปแคส แล้วก็โชคดีที่คาแรกเตอร์ของเรามันเหมาะกับบทนี้ ก็เลยได้มาเล่น

พอกลับมาเล่นต้องมีการปรับตัวเยอะไหม?

ไม่ค่ะ เพราะเรารู้สึกว่าเราอยู่กับอะไรที่เป็นการแสดงตลอดเวลา อย่าง 2 ปีที่อเมริกา ก็ไปเรียนต่อทางด้านฟิล์ม เรียนการทำหนัง การกำกับการแสดง เรียนการแสดงเพิ่มเติม ทำให้เรารู้เรื่องการแสดงมากกว่าตอนที่อยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ ด้วยความที่อยู่ที่โน่นเราต้องเป็นผู้กำกับด้วย เพราะฉะนั้นการที่เราจะเข้าถึงบทบาทหรือการที่เราจะอธิบายให้ใครฟังว่าบทนี้มันเป็นยังไง เราต้องเรียนว่าเราจะกำกับยังไง พอเรียนแบบนี้ปุ๊บพอกลับมามันก็ทำให้เราง่ายขึ้นในการทำการแสดง พอเราอ่านบทปุ๊บเราจะทำการวิเคราะห์ออกมาว่าบทนี้มันเป็นยังไง เราต้องเล่นอะไรตรงไหนบ้าง แล้วเรื่องนี้โชคดีมากที่เวลาเจอกับผู้กำกับแล้ว มันคลิกกันมาก เวลาถ่ายทำก็เลยง่ายมาก การที่เราไปเรียนมา ทำให้เราเข้าใจเนื้องานทุกอย่างมากยิ่งขึ้น

อย่างนี้จะมีโอกาสได้เห็นได๋ทำงานเบื้องหลังไหม?

ขอขายหน้าก่อนค่ะ แล้วถ้ามีโอกาสค่อยไปทำอะไรที่เราเรียนมา ซึ่งงานเบื้องหลังก็เป็นอะไรที่คิดว่าอยากจะทำ แต่ว่าเราก็อยากจะศึกษาก่อน เพราะว่าการที่เราไปเรียนมากับการที่เราเข้าไปอยู่ในกองถ่ายจริง ๆ มันไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้เนี่ย อยากจะเล่นหนังหลาย ๆ เรื่องก่อน ให้เรียนรู้ว่าวัฒนธรรมของไทยในการทำงานในกอง แล้วเราค่อยคิดว่าถ้าเราจะมีกองเป็นของตัวเองมันจะเป็นยังไง



จากนี้ไปจะได้เห็นการแสดงของได๋มากขึ้นไหม?

ต้องขึ้นอยู่กับโอกาสที่คนจะมอบให้ เพราะว่าจริง ๆ แล้ว หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า ได๋เป็นคนชอบการแสดง ส่วนงานพิธีกรนี่ทำเพราะมันเป็นงานที่สามารถจัดสรรเวลาได้ และคุณพ่อคุณแม่อนุญาตให้ทำในตอนแรก แต่สิ่งที่เราชอบมาตั้งแต่เด็ก ๆ คือการแสดง ถ้ามีคนให้โอกาสเรา และเวลามันเอื้ออำนวยสามารถทำได้ หนูทำแน่นอน

ตอนนี้ยังแฮปปี้กับงานพิธีกร?

หนูก็แฮปปี้ทุกอย่างค่ะ เอาตรง ๆ เลย แรงบันดาลใจในการทำงานของหนูก็คือ เงิน และการแสดงมันก็ดีตรงที่มันสนองความต้องการของตัวเอง แต่ค่าตอบแทนมันก็ไม่ได้เยอะเท่ากับการเป็นพิธีกร คือการเป็นพิธีกรไม่ใช่ว่าเงินดีกว่า แต่ในแง่ของการจัดสรรเวลา เราสามารถทำอะไรกับชีวิตของเราได้มากกว่าความเป็นนักแสดง การเป็นนักแสดงปกติหนัง 1 เรื่องใช้เวลา 1 ปี แต่งานพิธีกรใช้เวลา 1 ชั่วโมงสำหรับอีเวนท์ ทำรายการใช้ 4 ชั่วโมง แต่การเป็นนักแสดงเราต้องให้ร่างกายและวิญญาณในการเป็นนักแสดง เป็นพิธีกรมันจบสิ้นเมื่อเราลงจากเวที แต่การเป็นนักแสดงถึงเราจะพักกองกลับบ้านไป แต่พอมาตอนเช้าเราก็ต้องมาสวมเป็นตัวละครคนนี้อีก บางทีเราเล่นฉากอารมณ์ เราเค้นจากข้างในจริง ๆ พอเราเล่นเสร็จแล้วมันเหนื่อยข้างในมาก เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

มีทักษะในการฝึกฝนการเป็นพิธีกรอย่างไร?

ตั้งแต่เด็ก ๆ ตอนที่เป็นพิธีกรราย การ “ทีนทอล์ก” แรก ๆ หนูโดนหนังสือพิมพ์เขียนว่า ทำไมเด็กสมัยนี้พูดจาไม่ชัด แต่หนูไม่ได้เป็นคนไทย หนูพูดไม่ชัดอยู่แล้ว ติดจีนด้วย ติดฝรั่งจากโรงเรียนด้วย มันก็จะสำเนียงแปลก ๆ พอหนูโดนว่าปุ๊บ หนูก็รู้สึกไม่ดี คือเราไม่ได้ตั้งใจทำเป็นแฟชั่นนะ แต่ว่าเราพูดไม่ชัดจริง ๆ พี่โย-ภิญโญ รู้ธรรม เลยบังคับให้หนูอ่านหนังสือพิมพ์ทุกวัน อ่านออกเสียงชัด ๆ ดัง ๆ ร ล นี่ต้องให้ชัด อ่านอยู่อย่างนั้น 5 เดือน หลังจากนั้นภาษาไทยก็ค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ มาจนถึงทุกวันนี้


ดูเป็นคนโชคดีในเรื่องของการทำงานนะ?

ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นค่ะ หนูถือว่าผู้ใหญ่ทุกคนในวงการบันเทิงให้โอกาสที่ดีกับหนู ให้ความรู้กับหนูหมด คนแรกที่เป็นอาจารย์ของหนูก็คงจะเป็น พี่โย-ภิญโญ รู้ธรรม ที่เรียกหนูเข้ามาเป็นพิธีกรรายการทีนทอล์ก สิ่งที่พี่เขาสอนมาทุกอย่างนี่ หนูจำแม่น ว่าเราเป็นพิธีกรนะ เราต้องทำความคุ้นเคยกับแขกรับเชิญ เราจะมาหยิ่งใส่เขาไม่ได้ ทำให้เราติดเป็นนิสัยมาจนถึงทุกวันนี้ว่า เราเป็นพิธีกรเราต้องมีมนุษยสัมพันธ์ดี หนูจำได้ว่า พี่เล็ก-บุษบา ดาวเรือง เคยบอกกับหนูว่า เราเป็นคนที่อยู่ในที่แจ้ง เพราะฉะนั้นเราก็ต้องทำตัวดี ๆ พยายามอย่าเป็นข่าวอะไรให้มันมากมายนัก เราเป็นคนของสังคม คุณครูทางด้านการแสดงคนแรกของหนูก็คือ พี่งัด-สุพล วิเชียรฉาย พี่เขาก็สอนให้หนูรู้ว่าการแสดงที่ดีเป็นแบบไหน หลังจากนั้นหนูก็ได้ร่วมงานกับนักแสดงอาวุโสหลาย ๆ คน ท่านก็ให้ความรู้หนูมาตลอด

อยู่ในที่แจ้งต้องทำตัวดีตลอดเวลา อึดอัดหรือเปล่า?

อึดอัดค่ะ หนูอยู่ในวงการบันเทิงมาตั้งแต่อายุ 13 นักแสดงสมัยก่อนกับสมัยนี้ไม่เหมือนกันเลย เมื่อก่อนทุกคนจะทำตัวดี ๆ เพื่อที่จะได้เป็นตัวอย่างที่ดี แต่ทุกวันนี้ทุกคนจะแข่งกันทำตัวไม่ดี ที่จะได้สร้างข่าวและสร้างกระแสให้กับตัวเอง สิ่งที่นำเสนอมันเปลี่ยนไป ก็เลยรู้สึกอึดอัดไม่รู้จะทำตัวยังไง คือปกติหนูก็ไม่พยายามทำตัวให้เป็นข่าวอยู่แล้ว แต่ว่าช่วงนี้ด้วยระบบของปาปารัซซีเข้ามา มันเป็นสังคมที่อยากรู้อยากเห็นมากยิ่งขึ้น อย่างเช่นบางทีเราแค่ถือของให้กัน ระหว่างถือของเขาอาจจะหาว่าจับมือกัน หรืออะไรต่อมิอะไรที่คนจะสันนิษฐานไปเองได้ เพราะฉะนั้นเราก็เลยรู้สึกอึดอัดว่า เราไม่ได้ทำอะไร ทำไมเขาเอาเราไปพูดต่าง ๆ นานา แต่ในความอึดอัดก็มีแง่มุมให้เราคิดว่า ไม่เป็นไร เราเลือกที่จะทำงานตรงนี้แล้ว เราก็ต้องปรับตัวและก็ต้องอยู่ในแวดวงนี้ให้ได้
เคยเบื่อไหมทำไมต้องเป็นแบบนี้?

เคยค่ะ จำได้ว่าช่วงแรก ๆ ที่ระบบปาปารัซซีเข้ามา หนูงงมาก หนูเป็นคนเพื่อนเยอะมาก และไม่คิดว่าเพื่อนคนนี้เป็นเพศอะไร หนูไม่ได้เป็นหญิงไทยมาก ๆ จะบ้าบอไปเรื่อยเปื่อย แล้วปรากฏว่าภาพที่ออกมากลายเป็นว่า เราไปเป็นแฟนกับคนนี้ เราไปเจ้าชู้กับคนนั้น เราก็เลยรู้สึกไม่ดี เราก็จำคำผู้ใหญ่สอนได้ว่าเราต้องทำตัวดี ๆ แต่เราไม่ได้ทำตัวไม่ดีนี่ เพียงแต่ว่าเรากำลังสนุกสนานอยู่ อย่างข่าวที่บอกว่าน้องได๋เป็นเมรีขี้เมา รูปหลุดไฮไฟว์ เราก็มีความรู้สึกว่า คนเรามันก็ต้องปาร์ตี้มันผิดตรงไหน มันอยู่ที่เรื่องที่คนเลือกมานำเสนอมากกว่า ในไฮไฟว์หนูก็มีรูปที่หนูไปทำอะไรดี ๆ แต่คนไม่เลือกที่จะมานำเสนอ


มีข่าวไหนที่มันทำให้เรารู้สึกท้อแท้เสียใจบ้างไหม?

ไม่มีค่ะ เมื่อก่อนนี้มีนะ ข่าวทุกข่าวรู้สึกเสียใจหมดเลย แค่เล่นละครแล้วมีข่าวแบบรักโปรโมต เราก็ไม่เข้าใจ เพราะความที่เด็กด้วย ก็ไม่เป็นไร ในเมื่อเราอยู่ในที่แจ้งแล้ว เราเหมือนเป็นละครให้คนได้ดูกัน มันก็เป็นหน้าที่ของเราที่เราต้องมอบความบันเทิงให้กับคน เพราะฉะนั้นตอนนี้ไม่ว่าจะมีข่าวได๋กิ๊กกับคนนี้ เราก็มองว่าเราก็เป็นตัวละครตัวหนึ่งที่ให้คนเขาไปอ่านเวลาที่เขาระบายทุกข์ตอนเช้า มันก็ดี เราต้องเปลี่ยนวิธีคิดให้เรามีความสุข ไม่งั้นเราคงทุกข์มาก และมีชีวิตอยู่ไม่ได้

ล่าสุดยังมีข่าวกับเปรม บุษราคัมวงษ์?

ใช่ ซึ่งหนูก็ไม่ซีเรียส หนูก็ผิดเองที่หนูเล่นกับเขา หนูก็เล่นกับทุกคน ถามว่าทำไมคนถึงเขียนข่าวอย่างนั้น ก็เราไปนั่งเล่นบ้า ๆ บอ ๆ กับเขาเอง คนเรานะภาพหนึ่งภาพตีความได้ 1,000 แบบ การที่เราไปนั่งเล่นอะไรกัน เขาจะรู้เหรอว่าเราคุยเรื่องอะไรกัน เราก็คุยเรื่องทะลึ่งกัน เวลาที่เรากระซิบกัน คนก็จะนึกว่า อุ๊ย ! นี่แอบจู๋จี๋หรือเปล่า เวลาที่หนูทำงานกับใครหนูก็สนิทกับทุกคน เพราะว่าด้วยงานมันต้องสนิทไง อย่างเปรมเขาจะมีนิสัยเหมือนหนู คือเป็นคนที่อยากอยู่ในบรรยากาศที่สนุกสนานเวลาทำงาน เพราะฉะนั้นเราจะเล่นอะไรกันไปเรื่อยเปื่อย เล่นเหมือนเด็ก คนอาจจะคิดไปในแบบอื่นว่าเป็นแฟนกัน เป็นกิ๊กกัน ก็เลยกลายเป็นประเด็นไป

มีใครมาจีบเป็นเรื่องเป็นราวไหมล่ะ?

ก็มีบ้างนะ ก็มีคนเข้ามาคุยด้วยเรื่อย ๆ มาคอยเป็นปุ๋ยใจให้กับเรา แต่ว่ายังไม่มีใครเป็นเสาหลักให้กับบ้านหลังนี้ ไม่ได้สวยเลือกได้ แต่หมวยและขำค่ะ (หัวเราะ) เราเน้นความสนุกสนานอยู่แล้ว คือจริง ๆ แล้วคนอาจจะมองว่าทำไมได๋เป็นข่าวกับคนเยอะจัง เห็นไปกินข้าวกับคนโน้น ไปไหนกับคนนี้ แต่จริง ๆ แล้วเป็นคนที่สบายมากเลย


แต่ยังไม่เลือกใครจริงจัง?
หนูเป็นคนเลือกเยอะ เรื่องมาก เมื่อก่อนนี้เวลาจะมีแฟน หนูจะมีเช็กลิสต์เกือบ 100 ข้อ อย่างข้อ 1. ต้องหล่อมาก 2.ต้องเป็นคนสูง 3.ต้องเป็นคนไหล่กว้าง 4.ต้องเป็นคนฉลาด 5.ต้องเป็นคนพูดภาษาอังกฤษได้ คือสมัยก่อนคุณพ่อคุณแม่ก็จะสอนมาว่า เป็นผู้หญิงไม่ควรที่จะมีแฟนเยอะ ควรที่จะรักเดียวใจเดียว เพราะฉะนั้นเวลาคบใครเราคิดไปถึงอนาคตข้างหน้าว่าถ้าเราแต่งงานกัน เราจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้หรือเปล่า อันนี้เป็นความคิดตั้งแต่อายุ 12 นะ แต่ว่าตอนนี้อายุ 27 ตัดทิ้งหมดเลย ขอแค่ข้อเดียวคือ ขอแค่ทำให้เรามีความสุข เพราะทุกวันนี้ไม่ได้คิดว่า การมีชีวิตคู่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ตอนนี้พ่อแม่กลับบอกว่าอย่ามีแฟนคนเดียวนะลูก เพราะเขาเคยเห็นว่าเวลาที่เราจริงจังกับใครแล้วเราต้องเสียใจ มันกระทบกับงาน ก็เลยคิดว่าหน้าที่การงานของเราที่มีอยู่ ณ ตอนนี้เนี่ย เรามีความรับผิดชอบในหลาย ๆ ด้านมาก ทุกครั้งที่เราได้รับการมอบหมายจากลูกค้า มันเป็นความไว้วางใจที่เขาต้องการให้เราทำงานออกมาดีที่สุด ความรับผิดชอบตรงนั้นมันสูงมากเกินกว่าที่จะมานั่งง้องแง้งกับผู้ชายคนหนึ่ง แล้วทำให้งานของเขาเสีย เราขอที่จะไม่มีดีกว่า ขอแค่ปุ๋ยใจที่ทำให้เราสดชื่น แจ่ม ๆ บ้างในบางอารมณ์ก็พอแล้ว 

อยากฝากอะไรแฟน ๆ ไหม

สำหรับคนที่ติดตามมาเป็นระยะเวลานานก็ขอบคุณมากที่ให้การสนับสนุนน้องหมวยคนนี้ในวันนั้น จนทำให้ทุกวันนี้เราสามารถโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงอยู่ ขอบอกว่าเวลาที่เห็นเราอยู่ในทีวีและเรายิ้มให้นั้น ยิ้มกลับมาหาเราเถอะ ทุกวันนี้บางวันที่ทำงานรู้สึกท้อมาก แต่สิ่งเดียวที่เป็นกำลังใจ ก็คือเวลาที่เราเห็นคนดูทีวีแล้วยิ้มตามไปกับเรา เรารู้สึกภูมิใจมากที่เราได้เป็นคนบันเทิงที่ชื่อว่า ไดอาน่า จงจินตนาการ อ้อแล้วก็ฝากภาพยนตร์ “บีฟอร์ วาเลนไทน์” อยากให้ลองเข้ามาดู เพราะโดยส่วนตัวแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ให้อะไรกับเราเยอะมาก โดยเฉพาะมุมมองใน เรื่องของความรัก เชื่อว่าคนดูจะได้แง่มุมที่ทำให้ความรักนั้นดีขึ้นได้ 

แหม...อยากรู้เหลือเกินว่าน้องหมวยอินเตอร์คนนี้ จะได้ใครมาใส่ “ปุ๋ยใจ” กันล่ะเนี่ย อย่าเลือกเยอะนักนะ ไม่งั้นหนุ่ม ๆ รอกันเหงือกแห้งแน่



เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์