หนุ่ม หน้าทะเล้น เกลือ กิตติ เชี่ยววงศ์กุล

หลังคลุกคลีอยู่กับการเป็น "คนข้างหลัง" ในแวดวงทีวีมานานหลายปี ระยะหลังมานี้ผู้กำกับฯอารมณ์ดีอย่าง "กิตติ เชี่ยววงศ์กุล" ก็เริ่มมีผลงานการแสดงให้คอละครได้คุ้นหน้าในมาดของนักแสดงหนุ่มอารมณ์ดีอีกบทบาทหนึ่ง ส่งผลให้หลายคนรู้จักเขามากยิ่งขึ้น

ถึงกระนั้น งานเบื้องหลังก็ยังคงเป็นความตั้งใจอันแจ่มชัด เห็นได้จากการผันตัวเองมานั่งแท่นผู้กำกับฯ อย่างเต็มตัวในละคร "บ้านนี้มีรัก" ละครซิทคอมอารมณ์ดีตามสไตล์หนุ่มเกลือ หลังจากที่เพลิดเพลินอยู่กับ งานเขียนบทละครอย่าง "บางรักซอย ๙" และ "เป็นต่อ" ทั้งยังไม่นับการทำหน้าที่อื่นๆ อยู่เบื้องหลังงาน การแสดงมาก่อนหน้านี้
        ก่อนหน้าที่เขาจะค้นพบว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆคืออะไร และก้าวมาเป็นผู้กำกับฯ สลับกับการสวมบทบาทเป็นนักแสดงอย่างเช่นวันนี้ได้นั้นย่อมมีที่มา...
        "...ผมเป็นคนจังหวัดอุดรธานีครับ จริงๆแล้วผมเป็นคนเรียนไม่ดีมาตั้งแต่เด็กๆครับ ไม่ได้หมายความว่า เกเรอะไรนะ ก็เข้าห้องเรียนนี่ละ แต่ไม่เรียนเพราะเรียนไม่รู้เรื่อง เกรดก็แย่ ที่บ้านก็เลยมีความเห็นว่าอย่า
เรียน ม.๖ เลย สอบเทียบมาอยู่กรุงเทพฯดีกว่า อย่างน้อยก็น่าจะมีอะไรดีขึ้น ผมเรียนจบการศึกษา นอกโรงเรียนแล้วก็สอบเทียบมาเรียนกรุงเทพฯ
         ที่บ้านพยายามแนะให้เรียนสถาปนิกหรือวิศวกร แต่จุดพลิกผันอยู่ตรงที่พอจบม.ต้นแล้วลองไปเรียน ม.ปลาย สายวิทย์ดูก่อนโดยการเรียนติว ก็ค้นพบว่าไม่รู้จะเรียนฟิสิกส์ไปทำไม เลยกลับบ้านมาบอกแม่ว่า ไม่เรียนแล้ว แม่ก็เลยให้เปลี่ยนไปทางนิติศาสตร์ ก็โดนหล่อหลอมมาตลอดช่วงม.ปลาย ว่าเราอยากเป็นๆ โดยที่ไม่รู้ตัวว่าจริงๆแล้วมันไม่ใช่เรา ซึ่งช่วงนั้นก็ทำกิจกรรมกับทางโรงเรียน เช่น โต้วาที และทำงานข้างนอก เป็นครีเอทีฟรายการวิทยุ ก็ยังไม่รู้ตัวเองนะว่าอยากเรียนนิเทศฯ จนกระทั่งไปสอบเอ็นท์ฯ เลือกนิติศาสตร์ แล้วไม่ติด เพื่อนๆก็โทร.มาถามว่าเป็นอย่างไร ก็บอกว่าจะไปเรียนนิติฯรามคำแหงแล้ว เพื่อนก็ทักว่าทำไมล่ะ นึกว่าเอ็งจะเรียนนิเทศฯเสียอีก"

เพื่อนเป็นฝ่ายทำให้คุณเข้าใจตัวเองมากขึ้น
        "ครับ มันเหมือนกับการกลับมาตอบตัวเองว่า จริงๆแล้วเรียนนิติฯนี่เราชอบจริงๆหรือเปล่า ตอนอยู่อุดรเราก็ประกวดเต้น ประกวดนั่น ประกวดนี่ ถ้าอย่างนั้นเรามาเรียนนิเทศฯดีกว่า เพราะพอบอกว่านิเทศฯกับเราตอนอยู่ต่างจังหวัดนั่นเป็นอะไรที่สูงไปกว่าความคิดมาก ที่ที่มีคณะนี้เปิดสอน ยุคนั้นก็มีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ม.ธรรมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ซึ่งแต่ละอันคะแนนสูงมากจนเรารู้สึกว่า คงไม่ได้เรียนแล้ว มหาวิทยาลัยเอกชนก็แพงสำหรับครอบครัวเรา คิดว่าแม่คงไม่ให้เรียนแน่ๆ แต่ไปๆมาๆแม่ก็ให้โอกาสลองเรียนดู ถ้าคราวนี้เรียนไม่ได้ก็ไม่ต้องเรียนแล้ว เลยได้มาเรียนนิเทศฯ
        หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเรียนสาขาไหน ตอนแรกคิดว่าจะเรียนวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ คิดว่าคงชอบ พอได้มาแคสติ้งละคร วิมานเมืองกับเอ็กแซ็กท์ ได้เข้ามาเรียนรู้ละครเวที ได้เรียนรู้ด้านการแสดงกับคนที่รักการแสดงจริงๆอย่าง พี่บอย-ถกลเกียรติ วีรวรรณ รวมทั้งพี่ทีมงานทุกคน มันหล่อหลอมทำให้เรารักไปด้วยโดยปริยาย ก็รู้สึกว่าอยากเรียนวิธีการแสดง การตีความละครอะไรแบบนั้นมากกว่า เรื่องเครื่องมือหรือการตัดต่อ จึงเลือกเรียนศิลปะการแสดง ด้านละครเวทีที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพครับ"

ตอนที่แคสฯวิมานเมืองนั้นเรียนปีอะไรคะ
        "ปี ๑ เลยครับ เกิดจากความบังเอิญว่าช่วงนั้นเอ็กแซ็กท์ไปจัดออดิชั่นที่ ม.กรุงเทพ แล้วเพื่อนก็เฮฮากันไป เราก็ไปลองตามเพื่อน ปรากฏว่าเพื่อนไม่ติดเลย เราติดอยู่คนเดียว กลายเป็นว่าต้องมาซ้อม เพื่อนก็เรียนหนังสือ แต่เราเรียนด้วย ซ้อมด้วย เหนื่อยนิดหน่อยครับ ตอนนั้นไม่เป็นอะไรเลย เพราะยังไม่ได้เข้าภาควิชา ก็เล่นละครไปด้วยความรู้สึกแบบเดาๆ แต่ก็ดีนะ ชีวิตมันมีอะไรมากกว่าเพื่อน สนุกดีครับ"
หลังจากนั้นจึงได้ร่วมงานกับเอ็กแซ็กท์มาตลอดกระทั่งได้มาเป็นผู้กำกับฯ
        "ใช่ครับ เล่นละครกับเอ็กแซ็กท์เรื่อยมา แล้วก็มีช่วงที่หยุดรับงานจากข้างนอกเพื่อไปเรียนอย่างจริงจังในช่วงปี ๓-๔ จะทำงาน เฉพาะช่วงปิดเทอม ช่วงนั้นความรู้สึกเริ่มเปลี่ยน คือ สนุกน้อยลงกับการแสดง แต่สนุกกับการเป็นทีมงานมากขึ้น จึงไปเป็นผู้กำกับฯ เพราะเมื่อเราผ่านปี ๑ ไปเป็นรุ่นพี่เขาแล้ว ก็จะต้องเป็นฝ่ายแนะน้องๆ ซึ่งเราสนุกกับตรงนี้
        อีกอย่างมีพี่คนหนึ่งที่เป็นผู้กำกับฯคนแรกของตอนเรียนซึ่งสอนทุกอย่างให้ในเวลานั้น เราก็รู้สึกว่า โอ้โฮ เท่ ได้นำเสนอความคิด ของตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่เราหมดเลย แต่พอเริ่มไปเรียนจริงๆ ได้เป็นผู้กำกับฯในด้านการเรียน ต้องกำกับละครของตัวเอง พบว่าจริงๆ แล้วผู้กำกับฯไม่ได้เท่อย่างนั้นนะ มันเหนื่อยกว่านั้น แล้วต้องรับผิดชอบอะไรเยอะกว่านั้น ผู้กำกับฯไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดไง แต่จะทำอย่างไร ให้ทุกคนทำงานให้เราแล้วมีความสุข และทำอย่างไรให้ทุกคนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของงาน มันคือหน้าที่สำคัญของผู้กำกับฯครับ"

แล้ววิธีการของคุณเป็นแบบไหน
        "ผมจะพยายามทำให้บรรยากาศในการทำงานของผมทุกคนสนุก แล้วอยากที่จะมาทำงานกับเรา มันไม่ใช่การทำงาน มันเหมือนกับ การมาเที่ยวเล่นกับเพื่อนฮะ และผมจะทำให้ทุกคนมีความรู้สึกว่าผู้กำกับไม่ใช่คนที่ฉลาด ฉะนั้นทุกคนมีอะไรก็จะมาเสนอแนะได้ จะรับฟัง ตัวเองก็จะรู้สึกว่าดีจังเลยที่มีคนมาช่วยคิด อันไหนชอบก็บอกชอบ แต่ถ้าไม่ชอบก็จะพยายามหาเหตุผลมาอธิบายให้เขาฟังด้วยว่า ไม่ชอบอย่างไร ในฐานะที่เขาเสนอความคิดนี้กับเรา ทุกคนก็จะรู้สึกเหมือนกับเราไม่ใช่ผู้กำกับฯ แต่เป็นเหมือนพี่ น้อง เหมือนญาติ มีอะไรก็บอกตรงๆ ไม่มีฟอร์มไงฮะ ฉะนั้นพอเวลาทำงานมันจึงเหมือนทำงานแบบเฮฮากับเพื่อนๆ"


เป็นผู้กำกับฯสลับกับนักแสดง
        "ชีวิตในส่วนของการเป็นนักแสดงจริงๆแล้วเริ่มต้นตั้งแต่ตอนเรียนแล้วครับ เพราะว่าตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยจะถูกฝึกมาเพื่อเป็น นักแสดง เวลามีละครประจำปีก็จะได้เล่นเกือบทุกเรื่อง มันก็เหมือนเพาะบ่มเราให้เป็นนักแสดงอยู่แล้ว ฉะนั้นพอมาถึงในส่วนทีวี จึงไม่ค่อยมีปัญหา สามารถเข้าใจในสิ่งที่ผู้กำกับฯต้องการจะบอกได้ง่ายขึ้น การแสดงของผมในฐานะที่คนจำได้จริงๆ คือ เรื่อง เป็นต่อ แต่ว่าก่อนหน้านี้ก็เล่นละคร ในส่วนของเป็นต่อที่คนจำได้เพราะว่าอยู่กับมันมาหลายปีจนซึมซับทุกอย่างที่เป็นซิทคอมมา จนมาถึงบทนี้ ที่เล่นเป็นวอก คือ ตอนแรกผมเป็นคนเขียนเรื่องนี้แล้วก็วางคาแร็คเตอร์ ว่าตัวละครตัวนี้จะเป็นอย่างไร พี่ที่เป็นหัวหน้าทีมบทก็เลยวางคาแร็คเตอร์จากตัวผม มาเป็นวอก (หัวเราะ) คือพยายามผสมหลายอย่างลงไปอย่างเช่นความกระตือรือร้นที่จะทำอะไรจนสุดท้าย เรื่องทุกอย่างมันเจ๊ง แล้วก็มาถึงช่วงแคส ฯ ผมก็ไปอธิบายทุกอย่างให้นักแสดงฟังว่าตัวละครตัวนี้เป็นอย่างไร ไปๆมาๆผู้กำกับฯ เขาก็เลยมองว่าตัวละครตัวนี้มันเป็นเรา ก็เลยให้เล่นซะเลยครับ"
เห็นว่าเป็นผู้กำกับฯเองด้วย
        "คือ ด้วยตัวผมเองตั้งแต่ทำละครซิทคอมมา ผมมีจุดยืนตั้งแต่ต้นซึ่งเป็นจุดยืนเดียวกับของบริษัทด้วยว่า เราอยากทำให้ช่วงเวลา ที่คนดูละครของเราเป็นช่วงเวลาของครอบครัว คือ ผมมีความสุขตั้งแต่ทำบางรักซอย ๙ มา มีความสุขที่เวลาเดินไปตามบ้านต่างๆแล้วเห็น พ่อ แม่ ลูก นั่งดูละคร กินข้าว แล้วดูละครกัน ทุกคนสนุกด้วยกันได้หมด พ่อไม่เบื่อที่จะนั่งดูละครกับลูก ลูกก็สามารถที่จะตลกกับพ่อได้ ก็ทำมาเรื่อย
        จนกระทั่งมาถึง บ้านนี้มีรัก เราอิงลงไปในรายละเอียดว่าในครอบครัวมีอะไรมากกว่านั้น เราหยิบคำว่าลูกคนกลางหรือWednesday Child มาใช้ หลายคนมักจะบอกว่าลูกคนกลางมีปัญหาบ้างละ เรียกร้องความสนใจ พ่อแม่ไม่รักมากที่สุดบ้าง เราก็หยิบตรงนี้มาเล่าโดยที่ พระเอกของเราคือลูกคนกลาง มีชีวิตแบบคนกลางๆ เราสร้างตัวละครตัวนี้ขึ้นมาคล้ายๆกับเป็นเด็กกลางห้อง ซึ่งไม่ใช่เด็กเรียนดี แต่ก็ไม่ใช่ เด็กที่เกเรด้วย ถ้าถามว่าเขาไปกับคนเรียนดีได้ไหม ก็ได้ แต่ก็เรียนไม่ดีเท่าเขาหรอก ไปเฮฮารึก็ได้ แต่ไม่เกเรเท่าเขา คือ ถ้าในห้องจะมี ใครสักคนที่ถูกลืมคือ คนนี้ละ เพราะเป็นคนธรรมดาที่อยู่ตรงกลาง"

คิดจะยึดคอมเมดี้เป็นแนวของตัวเองไปเลยหรือเปล่า
        "ตั้งแต่เรียนแล้วครับทำคอมเมดี้มาตลอด เราชอบที่จะมายิ้ม มาเฮฮา เคยลองทำดราม่าครั้งหนึ่งตอนเรียนแล้วรู้ว่าเครียดมาก ต้องควบคุมบรรยากาศในการทำงานซึ่งไม่ใช่เราเลย"
เป็นเพราะว่าคุณเป็นคนอารมณ์ดีมากๆหรือเปล่า
        "อารมณ์ดีด้วย แต่ว่าไม่ใช่แบบ...คือ คนส่วนมากอาจจะมองว่าเราเป็นหัวโจกซึ่งบางครั้งเราก็เป็น แต่บางทีเวลาอยู่คนเดียวหรืออยู่กับ เพื่อนบางคนเราก็จะเงียบๆ ชอบมองอะไรแล้วสนุกที่จะคิดโดยที่ไม่ได้พูดออกมา นอกจากว่าจะเพื่อนเยอะๆแล้วเฮ นั่นน่ะเฮครับ"
ระหว่างการทำงาน เบื้องหน้าและเบื้องหลังสร้างสีสันให้ชีวิตคุณอย่างไรบ้าง
        "ผมใช้ชีวิตอยู่กับละครซิทคอมมาประมาณ ๔ ปีแล้วครับ กระแสตอบรับจากการทำงานก็มีอยู่ตลอดซึ่งก็เหมือนเป็นรางวัลของชีวิต ที่ทำให้อยากทำงาน อาจไม่จำเป็นต้องมีคนมาชื่นชม บางทีเดินผ่านบ้านหลังหนึ่งแล้วเห็นครอบครัวดูละครเราอยู่ก็มีความสุขแล้ว ผมไม่ได้ อยู่กับครอบครัวไงครับ ตัวผมอยู่กรุงเทพฯ แต่บ้านผมอยู่อุดร ก็เลยอยากให้ทุกคนมีช่วงเวลาอย่างนั้นแทนเรา

ส่วนถ้ามองในความต่างของการทำงานเบื้องหน้าและเบื้องหลังนั้นต่างกันแน่ๆครับ คือ ในฐานะนักแสดงเรามองตัวละครที่เราเล่น อย่างเดียว แล้วอินไปกับสถานการณ์นั้น เรามีการบ้านของเราอยู่ในสโคปเท่านี้ ในขณะที่ผู้กำกับฯไม่ได้มองแค่มุมมองของตัวละครตัวเดียว ต้องมองทุกตัว แล้วมองภาพรวมทั้งหมด ฉะนั้นผู้กำกับฯจะต้องคิดเยอะกว่านักแสดง แล้วก็ต้องคิดหาวิถีทางที่จะทำให้นักแสดงเชื่อ แล้วเดินไปด้วยกันได้ ความสนุกของการเป็นผู้กำกับฯคือควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นไปตามคิดขณะที่นักแสดงควบคุม ทุกสิ่งทุกอย่าง ให้เป็นไปตามบท"
แล้วในแง่ของความคาดหวังล่ะคะ
        "ผมคาดหวังกับงานทุกชิ้นฮะ เพราะว่าทำงานแล้วก็อยากให้คนชอบ ให้คนมีความสุขกับการดูละครของเรา นอกจากสนุกแล้ว ยังอยากให้คนดูได้อะไรแล้วกลับไปคิดด้วยครับ งานในส่วนละครซิทคอมของผมนั้นจะต้องพัฒนาต่อไปอยู่แล้ว แต่ว่าตัวเองยังอยาก ที่จะทำหนัง อยากทำมาตั้งแต่ต้น ก่อนที่จะเข้ามาทำทีวีก็คิดว่าเราอยากทำหนัง อาจเป็นแนวแฟนตาซี ผมเป็นคนที่มีอะไรอยู่ในหัวเยอะครับ"
หลักในการทำงานแต่ละอย่างของคุณคือ
        "ทำด้วยความสุขและความรักครับ"
กับเรื่องที่เป็น "ความรัก" จริงๆละคะ
        "มีแฟนแล้วครับ คบกันมา ๑ ปีแล้ว ก็สบายๆครับ เพราะเราเคยผ่านช่วงเวลาที่คาดหวังมาแล้ว สมหวัง ผิดหวัง อกหัก ร้องไห้ จนเริ่มรู้สึกว่าอย่าไปคาดหวังกับมัน ทุกวันนี้ก็โทร.คุยกัน ไปกินข้าว ดูหนัง เวลาไม่สบายใจปรึกษากัน มีความสุขก็โทร.หากัน แค่นี้ก็พอแล้วครับ ช่วงนี้กำลังอินกับชีวิตพอเพียง อยากทำงาน อยากมีอะไรที่เป็นของตัวเองโดยที่ไม่ต้องขวนขวาย มีอาชีพแล้วก็อยากทำให้มีคุณภาพ ทำด้วยความสุข แล้วก็มีแรงที่จะให้เวลากับมันได้เต็มที่ โดยไม่มีปัจจัยอื่นครับ"
        แม้ว่าจะต้องใช้เวลาในการค้นหาสิ่งที่ตัวเองต้องการจะมุ่งไปจริงๆชั่วระยะหนึ่ง แต่เมื่อเดินทางมาถึง ณ จุดที่เป็นตัวตน บนเส้นทางมายาเฉกเช่นเวลานี้แล้วก็นับว่าคุ้มค่ากับการรอคอย ทั้งยังเป็นความพอใจ และพอดีที่ลงตัวแล้ว...ชายหนุ่มกล่าวทิ้งท้ายไว้เช่นนั้น




เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์