วีเจโฟร์ ย้ำข่าวมั่วได้เงินไม่ถึง1.2ล้าน ชี้อีกฝ่ายรู้ดีอยู่แก่ใจ


จากกรณีที่นางศิริกานต์ ศิรสิทธิ์ดำรงกิจ แม่ค้าขายของชำที่ อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา เข้าแจ้งความกับตำรวจให้ดำเนินคดีกับ นายระพีพัชร ลูกชาย ในข้อหาลักทรัพย์ เนื่องจากนายระพีพัชร ขโมยเงินในบัญชีธนาคารของนางศิริกานต์ไปให้กับวีเจสาว โดยเงินหายไปถึง 1.2 ล้านบาท ซึ่งต่อมานายระพีพัชร เข้าพบกับพนักงานสอบสวน สภ.เสนา ยอมรับว่า ขโมยเงินจากบัญชีแม่ เพื่อไปให้สาววีเจที่เข้าไปเล่นในอินเตอร์เน็ตจริง ด้วยความสมัครใจ ไม่มีการบังคับ ซึ่งกราบขอโทษแม่ และแม่ได้ให้ลงบันทึกภาคทัณท์เอาไว้ 7 วัน โดยให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับวีเจสาว หากยุ่งอีกก็จะดำเนินคดีทันที ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 16.45น. วันที่ 20 กรกฏาคม 2559 วีเจสาว ได้เปิดเผยความรู้สึกพร้อมหลั่งน้ำตาแจงเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยระบุว่า ผู้ชายคู่กรณี บอกว่าเงินเป็นของเขาเอง ไม่ได้บอกว่าเอาเงินมาจากไหน

"ไม่ทราบเงินมาจากไหน เขาบอกว่ามันเป็นเงินของพี่ พี่เป็นคนหาเงิน โดยมีหลักฐานจากการส่งไลน์ เปิดร้านตัดสกิ๊กเกอร์ แม่ขายของชำ เรื่องรายได้มีมากน้อยไม่ทราบ ไม่ได้ออกมาเพื่อฟ้องร้อง แค่ออกมาบอกเรื่องทั้งหมด ซึ่งแนตคู่กรณีอีกฝ่ายรู้ดีอยู่แก่ใจ อยู่ที่เขาจะพูดหรือเปล่า ย้ำไม่ได้เงินถึง1.2ล้าน คุณเต็มใจโอนเงินมาเพื่อจะเล่นเกม มีเงินเหลือก็ให้ส่วนตัว ก็เพื่อแฟนกันให้ส่วนตัว "

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังบ้านของนางศิริกานต์ ที่ อ.เสนา ปรากฏว่า มีสื่อมวลชนหลายแขนงไปรอสัมภาษณ์นางศิริกานต์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของวีเจสาวกับครอบครัวของนางศิริกานต์และเรื่องของการโอนเงิน โดยนางศิริกานต์ เปิดเผยว่า ตนขอย้ำว่า ตนไม่ได้มีเจตนาที่จะเอาผิดกับวีเจสาวเลยตั้งแต่แรก และได้แจ้งความเอาผิดเฉพาะลูกชายของตน เนื่องจากพบว่าเงินในบัญชีที่เหลืออยู่ในบัญชีได้หายไปประมาณ 1.2 ล้านบาท และมาพบหลักฐานการโอนเงินผ่านธนาคารให้กับวีเจสาว จึงไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ว่า ลูกชายจะนำเงินไปไหน นอกจากให้วีเจสาว ซึ่งลูกชายก็ยอมรับว่า ให้จริง

นางศิริกานต์ กล่าวต่อว่า ตนก็ขอเพียงให้ลูกกลับตัว โดยเลิกติดต่อกับวีเจสาวคนนี้ และไม่ได้ติดใจที่จะเรียกร้องทวงเงิน ยกเว้นเมื่อช่วงที่เกิดเรื่องวีเจสาวได้โอนเงินคืนมา 1 แสนบาท โดยเป็นเงินที่ลูกชายโอนไปให้ครั้งสุดท้าย ซึ่งตนก็ไม่ได้ติดใจทวงถามเรื่องเงินที่หายไปอีก แต่ก็อยากให้วีเจสาวมาพูดคุยว่า ได้เงินจากลูกไปเท่าไหร่ เงินหายไปไหน

นางศิริกานต์ ยังกล่าวต่อด้วยว่า มีกระแสข่าวว่าวีเจสาวคนดังกล่าวจะฟ้องร้องตนกับลูกชาย ข้อหาที่ทำให้เกิดความเสียหาย ซึ่งตนก็พร้อมที่จะสู้ และหากมีการแจ้งความฟ้องร้องตนจริง ตนก็จะเข้าไปแจ้งความให้ดำเนินคดีกับลูกชายของตน ในข้อหาลักทรัพย์มารดาอย่างแน่นอน ส่วนตัวของดีเจสาวก็จะแจ้งในเรื่องสมรู้ร่วมคิด และรับเงินที่ลูกขโมยไป ซึ่งตอนนี้เป็นเพียงความคิดเท่านั้น ตนมีหลักฐานการโอนเงินให้กับวีเจสาวพอสมควร ไม่ว่าจะถึง 1.2 ล้านหรือไม่ ก็สามารถเอาผิดได้อยู่แล้ว ตนก็ไม่อยากมีเรื่อง

ด้าน นายระพีพัชร กล่าวว่า หลังจากที่แม่ยอมที่จะไม่เอาเรื่องตน ตนก็รู้สึกสำนึกผิดแล้ว และมาทบทวนแล้วว่า สิ่งที่ทำมามันไม่ถูกต้อง และเป็นความหลงใหลในขณะนั้น ส่วนเรื่องการโอนเงินไปให้วีเจสาวออนไลน์นั้น ตนยอมรับว่า ไม่ได้ให้วีเจสาวคนนี้คนเดียว แต่ได้ให้ก่อนหน้านี้อีกหลายคน จากการเชียร์ของคนในกลุ่มและเพื่อนๆในกลุ่ม ซึ่งเงินที่จ่ายนั้นให้ด้วยการแลกซื้อเหรียญผ่านแอปปลิเคชั่น เพื่อซื้อของขวัญในแอปนั้น เช่น ซื้อนมกล่อง 500 คอน หรือ เหรียญ กดไล้ค์ 500 เหรียญ พิเศษรูปหัวใจ 399,900 เหรียญ ที่แพงสุดคือ ดอกไม้ 899,900 เหรียญ ซึ่งแต่ละเหรียญเมื่อถูกแลกเป็นเงิน ก็จะมีค่าเป็นเงินบาท

นายระพีพัชร กล่าวอีกว่า สมาชิกเท่านั้นที่จะคำนวณได้ว่า จะส่งของขวัญอะไรให้ แล้วต้องโอนเงินไปเท่าไหร่ เพื่อให้วีเจสาวได้ของขวัญ ซึ่งเป็นเพียงรูปไอเทม หรือสัญลักษณ์ แล้วคนที่ได้มากก็จะได้อันดับสูงขึ้นไป จำนวนเงินที่เข้าไปก็จะเป็นส่วนแบ่งให้กับน้องวีเจสาวเหล่านั้นด้วย เมื่อตนกดส่งของขวัญให้ไปมาก จนมาถึงการโอนเงินให้ส่วนตัวกับวีเจสาวเงินจึงดูมากมาย โดยเริ่มมาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ได้จ่ายทั้ง 1.2 ล้าน แต่จะนำเงินไปใช้ส่วนตัวด้วย

ส่วนเรื่องซื้อรถยนต์นั้น นายระพีพัชร กล่าวว่า ตนไม่ได้ซื้อให้ เพียงแต่วีเจสาวจะซื้อรถใหม่เงินไม่พอตนจึงเสนอให้เงินไปอีก 1 แสนบาท เมื่อเป็นข่าวเกิดขึ้นเขาจึงโอนเงินคืนมา ส่วนก่อนหน้านี้ได้ส่งของขวัญหรือโอนให้ไปน่าจะเพียง 4-5 แสนบาท ในส่วนของความรู้สึกตอนนี้ ยังรักวีเจคนนี้ และยอมรับเขาเป็นแฟน เพราะวีเจสาวคนนี้ได้สัมพันธ์ลึกซึ้ง แต่ตอนนี้แม่ไม่ยอมรับตนก็ต้องยอมยุติความสัมพันธ์ ส่วนวีเจสาวจะไม่มีเยื่อใยกับตนแล้วก็ไม่ว่าอะไร และไม่ติดใจอะไรกัน ซึ่งขอให้เรื่องนี้เป็นบทเรียน ให้รู้ว่าในโลกของโซเชียล ไม่มีความจริงใจกัน

ขณะที่ วีเจสาว ได้เปิดเผยความรู้สึกว่า ตนเองได้รับผลกระทบอย่างมากจากข่าวที่ปรากฎออกไป โดยตนเพิ่งรู้จักกับนายระพีพัชรในปีนี้ และยังไม่ได้คบหากันเป็นแฟนแต่อย่างใด อยู่ในช่วงระหว่างการศึกษาดูใจ โดยนายระพีพัชรเล่นแอพพลิเคชั่น "ไอโชว์" นานแล้ว ก่อนหน้าที่ตนเองจะเข้ามาทำงานที่นี่ ที่ผ่านมาทราบว่าได้พูดคุยและส่งไอคอนของขวัญให้กับวีเจสาวคนอื่นๆ ก่อนหน้าตนหลายคน บางคนทราบว่านายระพีพัชรส่งไอคอนของขวัญให้หมดค่าใช้จ่ายเป็นหลักแสน

ตามข่าวที่ว่า นายระพีพัชรขโมยเงินจากบัญชีของแม่ ยอดเงินรวมประมาณ 1,200,000 บาทนั้น ตนไม่ทราบว่าเขานำไปใช้ตรงส่วนไหนอย่างไรบ้าง เพราะตนเป็นเพียงวีเจคนหนึ่งในจำนวนหลายๆ คน ที่นายระพีพัชรติดต่อพูดคุยผ่านแอพฯ ดังกล่าว ส่วนยอดค่าใช้จ่ายที่นายรพีพัชรส่งไอคอนมอบเป็นของขวัญให้กับตนนั้น ไม่ทราบว่ามีจำนวนเท่าไหร่ เพราะต้องตรวจสอบกับทางบริษัท ซึ่งนอกจากนายระพีพัชรแล้ว ก็มียูชเซอร์ (ผู้เล่น) คนอื่นๆ ที่ส่งไอคอนของขวัญให้กับตนหลายคน ซึ่งเป็นไปตามปกติของลูกค้าผู้เข้ามาใช้บริการ

ส่วนเงินที่นายระพีพัชรให้ตนเป็นการส่วนตัวนั้นเป็นจำนวนน้อยมาก ไม่ได้ให้มากมายอย่างที่เป็นข่าว เรื่องรถยนต์ป้ายแดงที่ตนเพิ่งซื้อมาใหม่ก็เป็นเงินของตนเองกับพี่สาว ไม่มีเงินของนายระพีพัชรแม้แต่บาทเดียว

"ที่ผ่านมาเขาก็บอกว่าเป็นคนทำงานหาเลี้ยงครอบครัว หนูไม่ทราบมาก่อนว่าเงินที่นำมาใช้จ่ายเป็นเงินของคุณแม่เขา" วีเจสาวกล่าว

ส่วนกรณีที่นายระพีพัชรอ้างว่า ตนขับรถพาไปปล่อยทิ้งไว้ที่ย่านรังสิต จ.ปทุมธานี แล้วขาดการติดต่อไปเลยนั้น ขอชี้แจงว่าในวันดังกล่าวตนกับนายระพีพัชรไปที่ไหน แม่ของนายระพีพัชรก็รู้ดี เพราะตนก็เคยพบเจอกับแม่ของนายรพีพัชรมาแล้วหลายครั้ง แต่พอเขาทราบว่าเงินในบัญชีหายไปจึงไปแจ้งความ ซึ่งตอนนั้นยังพูดคุยปรึกษากันว่า จะเข้าไปพบแม่พร้อมกันหรือไม่ แต่นายระพีพัชรเป็นฝ่ายตัดสินใจเองที่บอกให้ตนส่งเขาไว้ที่รังสิต

จากนั้นตนมาทราบผ่านข่าวภายหลังว่า แม่นายระพีพัชรไม่ต้องการให้ลูกชายติดต่อกับตนอีก จึงทำให้ตนไม่รับสายของนายระพีพัชร โดยตอนที่เขาโทรมา ตนเองไม่ได้เปิดเสียงโทรศัพท์ เพราะตอนนั้นตนเองก็อยู่กับครอบครัว พ่อ แม่ และพี่สาว เรื่องดังกล่าวตอนนี้ก็ทำให้ครอบครัวเครียด เนื่องจากมีการเผยแพร่ภาพตนออกสื่อ โดยเฉพาะพี่สาว ก็ถือว่าเป็นคนที่มีหน้ามีตาในสังคม

ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าอีกฝ่ายจะเดินทางไปบ้านเกิดตนที่ จ.ลำปาง เพื่อสู่ขอกับพ่อแม่ ยืนยันว่าไม่ถึงขั้นนั้น ที่ผ่านมาพ่อแม่ตนเองยังไม่เคยเห็นหน้านายระพีพัชร มีเพียงพี่สาวที่เคยเจอ สถานะก็เพียงแค่กำลังศึกษากัน ไม่ถึงขั้นเรียกว่าแฟน

"ที่มาพบเจอกันครั้งแรก เป็นกรณีที่ทางบริษัทมีเลี้ยงมีตติ้งขอบคุณบรรดาลูกค้าที่เป็นยูชเซอร์ทั่วๆ ไป ส่วนเงินรายได้ที่ทางบริษัทแบ่งให้กับวีเจแต่ละราย ขึ้นอยู่กับจำนวนไอคอนของขวัญที่ทำยอดได้ แต่ขอไม่เปิดเผยส่วนแบ่ง เพราะเป็นความลับบริษัท"

ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าตนได้ให้ทนายความโทรไปขู่จะฟ้องร้องแม่ของนายระพีพัชรที่ทำให้ตนเสียหาย ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง โดยตั้งแต่เกิดเหตุตนเป็นฝ่ายอยู่เฉยๆ มาตลอด มีเพียงแจ้งไปยังบางสื่อเพื่อขอให้ลบภาพตนในข่าวออกเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ตนยังไม่พร้อมชี้แจงเรื่องราวทั้งหมด แต่จะขอออกมาชี้แจงทุกสิ่งทุกอย่างในเร็วๆ นี้

ขณะที่ผู้สื่อข่าวพยายามซักถามเพิ่มเติมในบางประเด็น วีเจสาวได้กล่าวตัดบทว่า ยังไม่พร้อมให้ข้อมูลและหากพร้อมชี้แจงเมื่อไหร่ จะติดต่อผู้สื่อข่าวอีกครั้ง


วีเจโฟร์ ย้ำข่าวมั่วได้เงินไม่ถึง1.2ล้าน ชี้อีกฝ่ายรู้ดีอยู่แก่ใจ

Cr.bangkokbiznews


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์