วิธีคิดของ เจมส์ มาร์ ต้องพยายามใหม่ เพื่อให้ดีกว่าเดิม

"ฟีดแบ๊กดีครับ" คือคำตอบที่มาพร้อมรอยยิ้มจนตาหยี จาก "เจมส์ มาร์"

เพราะตอนนี้ไปไหนมาไหนใครๆ ก็เรียกเขาว่า "ชายพีร์"

ส่วนชื่อจริงน่ะ "ก็รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง" เขาว่า

แต่ไม่เป็นไร

...
"รณพีร์เป็นคนมีเป้าหมาย มีความมุ่งมั่นสูง

"เวลาเล่นเลยต้องโอเวอร์แอ๊กติ้งนิดหนึ่ง ต้องเล่นให้ใหญ่ๆ พี่ๆ เขาจะได้ยอม

"ยอมเพราะรำคาญ เลยตามใจ" เจมส์พูดถึงบทที่ได้ พร้อมเสียงหัวเราะดัง

เล่าด้วยว่าตัวเขาในวัย 19 กับ "ชายพีร์" นั้นเหมือนกันที่ความเป็นคนตรง คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น อาจเพราะลูกครึ่งพ่อไทย แม่ฮ่องกงอย่างเขา ไปใช้ชีวิตในแผ่นดินของแม่ตั้งแต่ 8 ขวบ เพิ่งกลับมาอยู่เมืองไทยก็แค่ 3-4 ปี จึงซึมซับลักษณะอย่างนั้นมา

"จะมีความคิดที่เป็นตัวของตัวเองค่อนข้างสูง"


วิธีคิดของ เจมส์ มาร์ ต้องพยายามใหม่ เพื่อให้ดีกว่าเดิม


แต่นอกจากนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง

"ผมไม่ใช่น้องชายคนเล็กแต่เป็นพี่ชายคนโต มีน้องสาว ไม่ขี้อ้อน ไม่กะล่อน แล้วก็ไม่เจ้าชู้" คือคำจำกัดความถึงตัวเองแบบมั่นอกมั่นใจ

โดยเฉพาะ "3 ไม่" หลัง

เล่าด้วยว่าก่อนหน้านั้นไม่เคยคิดว่าจะมีชีวิตเป็นดารา และถ้า "เอ-ศุภชัย ศรีวิจิตร" ไม่ไปเจอเขาที่ฮ่องกงในช่วงกำลังจะเรียนจบ ม.ปลายและชักชวนให้มาทำงาน ซึ่งหลังปรึกษากับครอบครัวเขาก็ตกลง เพราะใจหนึ่งก็อยากมาเรียนต่อในไทย ป่านนี้เขาก็คงเป็นนักศึกษาปี 4 คณะศิลปศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษธุรกิจ ม.อัสสัมชัญ ธรรมดาๆ

"ผมชอบประเทศไทย และคิดว่ามันเหมาะกับผมมากกว่าฮ่องกง

"แล้วโอกาสที่พี่เอมอบให้ น้อยคนนะครับที่จะมี"

ดังนั้นแม้จะอาย ตามประสาคนไม่กล้าแสดงออก ชอบเขิน ชนิด "แค่ออกไปยืนหน้าห้องยังมือสั่น" แต่เขาก็ตั้งใจจะพยายาม พยายามทั้งๆ ที่รู้ดีว่า "เราไม่ได้หุ่นดี ไม่ได้หล่อ ไม่ได้สูง"

แถม "พูดไทยไม่ค่อยชัด"

"อ่านนี่ยิ่งไปกันใหญ่เลยครับ" เขาสารภาพ

ดังนั้น ทุกครั้งเวลาเรียนแอ๊กติ้ง แล้วมีคนส่งบทมาให้อ่าน "ผมจะอาย"

ยิ่งรวมกับอาการเขิน ก็ยิ่งนอยด์ ไม่ค่อยอยากเรียน

"แต่ผมเป็นคนชอบดูหนัง ดูละคร ฟังเพลงไทย ชอบตั้งแต่ตอนอยู่ฮ่องกง แล้วผมว่าคนไทยมีพรสวรรค์ พอได้มาเรียนแอ๊กติ้งก็ทำให้อยากรู้ว่ามันเป็นยังไง

"บวกกับไปเรียนแล้วได้เจอเพื่อนหลายๆ คน ทำให้สนุก"

ถึงตอนนี้เจมส์บอกว่า เขาอ่านภาษาไทยได้คล่องขึ้น แต่ก็ยังต้องพยายามต่อ

"ต้องอ่านให้เข้าใจ อ่านให้ชัด พยายามไม่พูดให้หลุดหรือรัว เพื่อไม่ให้ทีมงานต้องช้า

"อาจจะผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่ผมก็พยายาม" เขาว่า

ด้วยเหตุนี้เมื่อผลตอบรับออกมาดี จึงชื่นใจนัก

"ดีใจมากครับ ที่สิ่งที่เราพยายามไม่เสียเปล่า ยิ่งคนดูมีความสุขกับผลงาน เราก็ยิ่งแฮปปี้

"เพราะงานทุกชิ้น ทุกซีน ผมทำออกมาอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

"การเป็นนักแสดงเราจะรู้ตัวเอง ว่าซีนนี้เราดีที่สุดหรือยัง สมมุติมันอาจจะไม่ได้ดีที่สุด แต่เราก็จะเรียนรูู้ว่าอะไรผิดพลาด แล้วแล้วทำซีนต่อๆ ไปให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ"

ฟังดูเหมือนเป็น "เพอร์เฟ็กชั่นนิสต์" นะ เราทัก

"ถูก" เจมส์พยักหน้าแรง แสดงอาการเห็นด้วยเต็มที่

"จริงๆ ผมเป็นเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์มากเลยครับ" เขาบอกก่อนออกตัวว่าจริงๆ แล้วไม่อยากใช้คำนี้เท่าไหร่ เพราะฟังแล้วเหมือนจะเก่งยังไงไม่รู้ แต่ที่นำมาใช้ก็ด้วยอยากให้คนเข้าใจความคิด ความรู้สึกที่อยากทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ออกมาดีที่สุด

"แต่ที่ผ่านมาผมก็ไม่เคยรู้สึกว่าที่ทำนี่มันเพอร์เฟ็กต์แล้วนะ"เขาว่าอีก

"ผมรู้สึกว่ามันต้องดีขึ้นไปเรื่อยๆ

"เพราะเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์คือทุกอย่างต้องดีขึ้นเพิ่มขึ้น อย่างผมอยากทำให้คนมีความสุข อยากให้คนเห็นว่าเราเป็นรณพีร์ได้ ก็เลยตั้งใจมากขึ้นๆ"

ซึ่งจะว่าไป "เสียงวิพากษ์" ที่เกิดขึ้นเมื่อเขาถูกแนะนำตัวว่าเป็น "พระเอกใหม่" ก็มีส่วน

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไม่หล่อพอ, ไม่เหมาะกับบท ฯลฯ

"แรกๆ ก็ท้อครับ" เขายอมรับ

"แต่แป๊บเดียว วันเดียวเอง เพราะอีกมุมหนึ่งเราก็รู้สึกว่าไม่เห็นต้องท้อเลย เราทำงานออกมาให้ดี แล้วพิสูจน์ให้เขาเห็นดีกว่า

"ไหนๆ พี่นก (ฉัตรชัย เปล่งพานิช) เขาเลือกเรามา เขาก็คงจะเชื่อ หรือเห็นอะไรสักอย่าง ว่าผมเป็นรณพีร์ได้


วิธีคิดของ เจมส์ มาร์ ต้องพยายามใหม่ เพื่อให้ดีกว่าเดิม


"ลึกๆ ผมก็แอบคิด ท้าทายตัวเองว่าเราจะทำได้ดีหรือเปล่า เหมือนแข่งกับตัวเองว่ามันจะออกมาอย่างไร

"การทำแบบนั้นผมว่ามันเป็นการทำให้เราพัฒนาไปเรื่อยๆ


"และการแข่งกับตัวเองคือการที่เราโฟกัสที่ตัวเอง" ไม่ต้องคิดแข่งกับใคร

ซึ่งเขามักใช้วิธีนี้กับเรื่องสำคัญๆ ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนหรือทำงาน

"ผมไม่คิดว่าผมจะไปแข่งกับใคร ไม่คิดว่าต้องได้คะแนนมากกว่าเขา คือเราทำคะแนนของเราให้ดีที่สุดก่อนดีกว่า และถ้าได้คะแนนน้อยกว่าเพื่อน ผมก็ไม่ว่าอะไรนะ ถ้าผมได้คะแนนที่ผมพอใจแล้ว"

จากนั้นก็พยายามใหม่ เพื่อให้ได้ดีขึ้นอีก

"เรื่องการแสดงก็เหมือนกัน"

"ฉากยาก"

พอถามว่าฉากไหนยากที่สุดในละคร "คุณชายรณพีร์"

เจมส์คิดอยู่นาน ก่อนตอบว่า "เป็นฉากที่เพียงขวัญรู้ว่าเราไม่ใช่ชาวนา แต่เป็นหม่อมราชวงศ์"

ยากอย่างชนิดที่ฉากแอ๊กชั่นสู้ไม่ได้

"เป็นฉากที่คนที่เรารักรู้ว่าเราโกหก แล้วรู้ต่อหน้าครอบครัว มันเป็นการโกหกที่ค่อนข้างซีเรียสสำหรับเขา แล้วเราจะทำยังไงให้เขาเข้าใจ เขาเองก็ร้องไห้ เราเองก็เสียใจ"

ก่อนเล่นจึงต้องทำการบ้านหนัก

"เป็นฉากที่ยาก และผมก็ประทับใจมากที่สุดด้วย"

วิธีคิดของ เจมส์ มาร์ ต้องพยายามใหม่ เพื่อให้ดีกว่าเดิม


เจมส์ มาร์เจมส์ มาร์


เจมส์ มาร์เจมส์ มาร์


เจมส์ มาร์เจมส์ มาร์


เจมส์ มาร์เจมส์ มาร์

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์