รอยยิ้ม & เสียงหัวเราะ ของคริสโตเฟอร์

22 มกราคม 2542 คริสโตเฟอร์ แจ๊ค เบญจกุล กำลังเรียนอยู่คณะบริหารธุรกิจ ปีที่ 3 มหาวิทยาลัยอัสชัมชัญ (เอแบค) เขากำลังโด่งดังในอาชีพการแสดง
 
และแล้ววันหนึ่งเขาขับรถไปเจอสามีภรรยาคู่หนึ่งที่ประสบอุบัติเหตุข้างทางในยามวิกาล เขาลงไปช่วยเหลือ แต่โดนรถมอเตอร์ไซค์ตำรวจชน จากนั้นถูกหามส่งโรงพยาบาล หมดสติไป 10 วัน ตื่นขึ้นมาเขาเดินไม่ได้ พูดไม่ได้ ร่วม 2 ปี ต้องทำกายภาพบำบัดรวมๆ แล้วกว่า 7 ปี เขาค่อยๆ ฟื้นตัว พูดชัดขึ้นเรื่อยๆ



เมื่อ 7 ปีที่แล้วคริสโตเฟอร์กลายเป็นฮีโร่ที่ช่วยเหลือคน มีไปรษณียบัตรเขียนมาให้กำลังใจเขากว่า 7,000 แผ่น บางลายมือเป็นของเด็กตัวเล็กๆ เขียนว่า "ขอให้พี่หายไวๆ นะคะ " รวมทั้งรายการทีวีและสื่อสิ่งพิมพ์มากมายนำเสนอเรื่องราวของเขา และที่ผ่านมาเขายังเป็นพรีเซ็นเตอร์มูลนิธิเมาแล้วขับ และ เครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ

ห้วงเวลาที่หลายคนบอกว่า เขาคือฮีโร่ เป็นช่วงที่เขาต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการบาดเจ็บ และเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆ แต่เขาได้กำลังใจจากครอบครัวและคนรอบข้าง

พอเริ่มถามว่า ตอนนี้คริสทำงานอะไร เขาบอกอย่างอารมณ์ดีว่า "เตะฝุ่นครับ ช่วยลูกพี่ลูกน้องทำวิทยานิพนธ์บ้าง เราอยากทำรายการทีวีเกี่ยวกับวัฒนธรรม เพราะเธอทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับนาฏศิลป์ แต่ตอนนี้ไม่มีสปอนเซอร์ อยากได้คนสนับสนุน แต่ยังไม่มี"


เหตุการณ์ครั้งนั้น สังคมไทยสรรเสริญการทำความดีของคริสโตเฟอร์ เพราะการช่วยเหลือคนที่ไม่รู้จักในยามวิกาล ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ แต่สำหรับคริสโตเฟอร์แล้ว แม้ชีวิตช่วงนี้จะไม่สวยงามนัก แต่เขาก็เชื่อว่า ทำดีย่อมได้ดี




ถ้าถามว่า คริสหมดศรัทธากับการทำความดีไหม

เขาไม่ได้แสดงความรู้สึกท้อแท้ แต่กลับมีอารมณ์ขัน ตอบว่า "ไม่เคยครับ ผมยังเชื่อเรื่องความดี ผมก็พยายามช่วยเหลือคน อย่างตอนที่เป็นนักศึกษาเวลาอาจารย์บอกให้ช่วยทำอะไร ผมก็ทำ ให้วิ่งไปเอาเอกสารอีกตึก ผมก็เต็มใจทำ หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมก็คงช่วยคนๆ นั้นเหมือนเดิม แต่ผมจะนั่งอีกฝั่งหนึ่ง จะไม่หันหลังให้ถนน สิ่งที่ผมเสียใจมีอย่างเดียวคือ ตำรวจประมาท ทั้งๆ ที่เป็นผู้ดำรงความยุติธรรม แต่กลับทำลายความยุติธรรม วันนั้นเขาเมา แต่ไม่ยอมรับว่าเมา เท่าที่คุยกับคุณหมอ ถ้าคนไม่เมาจะขับรถกลางถนนแบบนั้นหรือ"


หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น คริส บอกว่า "คนที่ผมได้ช่วยเหลือเขา ก็ไม่เคยมาขอบคุณ คนที่ขับรถชนผม ก็ไม่เคยมาขอโทษ"


"ผมไม่เคยเจอเขาเลย คนที่ขับรถชนผม เป็นตำรวจหน้า (ผู้หญิง) เขาเคยมาหาพ่อผมสองครั้ง เพื่อให้พ่อเซ็นยอมความในคดีนั้น แต่พ่อไม่ยอม ก็ต้องขึ้นศาล ผมไม่เข้าใจเลยว่า โทษคนเมาแล้วขับก็แค่ยึดใบขับขี่สองปี ผมอยากบอกว่า ถ้าคุณเมาแล้วขับรถทำไม อยากให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าคนในครอบครัวของคุณได้รับบาดเจ็บเสียชีวิต คุณจะรู้สึกยังไง ส่วนใหญ่พวกเมาๆ ก็มักจะบอกว่าขับได้ "


คริสรู้สึกว่า กฎหมายเมืองไทยค่อนข้างอ่อน คนที่ทำความผิดในกรณีเมาแล้วขับ โทษอย่างมากก็แค่ให้กวาดลานวัด ในความคิดของเขา ถ้าตรวจพบแอลกอฮอล์ในระดับที่ไม่ปลอดภัย แล้วขับรถชนคนอื่นเพราะความเมา เวลาลงโทษก็ให้จับใบดำกับใบแดง ถ้าได้ใบดำให้ทำงานอยู่กับรถขยะตั้งแต่เวลา 05.00 ถึง 17.00 น.เก็บขยะตามบ้าน และแยกขยะ ประมาณ 60 วัน ถ้าจับได้ใบแดงให้ไปทำความสะอาดรอกท่อน้ำในชุมชน รวมทั้งสูบส้วมตามบ้าน แต่ถ้าทำผิดรอบสองให้เพิ่มโทษเป็น 3 เท่า คือ ทำงาน 180 วัน

แม้จะเกิดเหตุร้ายๆ กับชีวิต คริสโตเฟอร์ก็ยังเชื่อมั่นว่า มนุษย์ควรทำความดี เพราะเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้เขาได้เข้าเฝ้าฯสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งประชากรกี่ล้านคนจะมีโอกาสเช่นเขา


"ไม่ใช่ว่า ใครอยากเข้าเฝ้าฯสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก็เดินไปเคาะประตู แล้วเดินเข้าไปได้เลย ไม่ง่ายใช่ไหมครับ"




ในช่วงวิกฤติของชีวิต คริสโตเฟอร์มีครอบครัวอยู่ข้างกายตลอดเวลา โดยเฉพาะ ศมน เบญจกุล มารดาผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด


เธอบอกว่า ในช่วงนั้น ถ้าเรื่องใดทำไม่ได้ ก็จะพยายามทำให้ได้ พระคัมภีร์บอกว่า พระเจ้าจะไม่ให้เราทำมากกว่าที่เราทำได้ เพราะคนที่มีลูกก็เหมือนคนที่ได้พรจากพระเจ้า การทำความดีเป็นเรื่องที่ทุกคนควรทำ ไม่ได้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่อะไร ตอนเด็กๆ ฉันก็เคยอ่านหนังสือเรื่องการช่วยเหลือคนให้ลูกฟัง ตอนนั้นคริสยังเด็ก เขาคงจำไม่ได้
 

เมื่อย้อนถามถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น ศมนมีเรื่องที่เสียใจอยู่บ้าง ก็คือเรื่องตำรวจที่ชนคริส เขาเป็นทั้งผู้รักความยุติธรรม ต้องดูแลเรื่องคนเมาแล้วขับ แต่เขากลับทำเอง


"รู้สึกผิดหวังที่ตอนนั้นตำรวจทำเรื่องไม่ดี แต่ฉันก็ไม่ได้คิดว่า ตำรวจทุกคนเป็นแบบนี้"

คริสโตเฟอร์ เล่าต่อว่า กำลังใจจากครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ ตอนนั้นหลับไป 10 วัน พอตื่นขึ้นมาก็เห็นแม่ แล้วก็หลับ "แม่นั่งมองหน้าผมตลอดว่า เมื่อไรผมจะฟื้น แม่พยายามจะพูดกับผม ตอนนั้นพ่อยังมีชีวิตอยู่ เขาก็จะบอกว่า "สู้ๆ นะลูก" ส่วนแม่ก็พูดว่า "แม่รู้ว่าลูกทำได้" น้อง ๆ ก็บอกว่า "เราเชื่อว่านายต้องหายป่วย" ตอนนั้นผมต้องทำกายภาพแขนขา กว่าจะเดินได้ก็ 2 ปี 8 เดือน"


"ตอนนั้นแม่ดูแลผมเหมือนเด็ก ตั้งแต่บดข้าวแล้วป้อนข้าว พอเริ่มกินข้าวได้ แม่ก็ให้กินข้าวหน้าไก่ ก็เริ่มเคี้ยวๆ แม่ก็ดีใจ แล้วผมก็ได้กินข้าวหน้าไก่ทุกวัน (หัวเราะ) กว่าผมจะพูด ผมใช้เวลาปีกว่าๆ แม่ดูแลผมวันละ 25 ชั่วโมงมากกว่าแม่ดูแลตัวเอง แค่ผมนอนหลับแล้วพลิกตัว แม่ก็ลุกขึ้นดู" คริสโตเฟอร์เล่าถึงความรักที่แม่มอบให้เขา แล้วย้อนถึงเรื่องพ่อว่า ไปอยู่บนสวรรค์แล้ว 3 ปี ตอนที่เขาป่วยนอนอยู่ในโรงพยาบาล พ่อพักอยู่ห้องใกล้ๆ กับเขา ก็เดินไปหาพ่อ เยี่ยมพ่อบ่อยๆ ตอนนั้นบอกพ่อว่า บอกแล้วไม่เชื่อว่า บุหรี่ไม่ดี

หากถามว่า ที่ผ่านมาเป็นฝันร้ายไหม คริสโตเฟอร์ บอกว่า ฝันร้ายปนดี ร้ายตรงที่เราต้องเจ็บปวดในการทำกายภาพ ส่วนฝันดีคือ ได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้กำลังใจจากครอบครัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ




"พระองค์ท่านเคยลูบหัวแล้วบอกว่า หายไวๆ นะ อย่างปีแรกผมนั่งวีลแชร์เข้าเฝ้าฯ ปีสองใช้ไม้เท้าสี่ขา ปีที่สามใช้ไม้เท้าสามขา ปีที่สี่ใช้ไม้เท้าอันนี้ และปีต่อมาผมบอกว่า จะไม่ใช้ไม้เท้าแล้ว ผมก็ไม่ต้องใช้จริงๆ ผมเดินจากหน้าพระราชวังเข้าเฝ้าฯพระองค์ท่าน"
ยิ่งเมื่อถามถึง(อดีต)แฟนสาว คริสโตเฟอร์เล่าย้อนว่า "ตอนนั้นพยาบาลบอกผมว่า แฟนผมไปดูหมอดู แล้วหมอทำนายว่า ผมไม่หายแน่ ต้องพิการตลอดชีวิต ตอนป่วยแรกๆ เธอมาเยี่ยมสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ผ่านมาก็เดือนละ 1 ครั้ง แล้วก็เหลือ 6 เดือนครั้ง จากนั้นก็หายไปเลย ผมว่าดีแล้วที่ตอนนั้นผมรู้ว่า เธอเป็นอย่างนั้น พอผมลำบาก เธอก็ทิ้งผมไป"
เขาคุยด้วยรอยยิ้มและเล่าสนุกๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เขาบอกว่า ตอนนี้อยากทำงานเป็นพิธีกรหรือไม่ก็ประชาสัมพันธ์ แต่ไม่อยากทำเต็มเวลาเพราะต้องไปหาหมอ ส่วนรายได้หลักของครอบครัวมาจากการสอนภาษาอังกฤษของแม่ หากมีเวลาว่างเขาก็จะช่วยแม่สอนภาษาอังกฤษให้นักเรียนด้วย


ส่วนกิจกรรมที่เขาทำสนุกๆ และขำๆ ก็คือ การส่งชื่อไปชิงรางวัลในกิจกรรมต่างๆ ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยได้รางวัล แต่เขาก็รู้สึกสนุก


"ตอนนี้สมองเหมือนเด็กเกิดใหม่ ต้องการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อย่างตอนทำกายภาพ มันก็เจ็บมาก ผมก็ซื้อหนังสือขายหัวเราะมาอ่าน พยาบาลก็ถามว่า ไม่เจ็บหรือ ผมก็นั่งอ่านขายหัวเราะ แล้วก็หัวเราะ ผมพยายามมองโลกในแง่ดี เมื่อก่อนผมไม่ใช่คนร่าเริง พอได้เจอคนเยอะๆ ผมก็อยากให้คนยิ้มและหัวเราะ"




ขอบคุณข้อมูลจาก
bangkokbiznews


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์