มาร์กี้เชื่อเป็นนักแสดงวางตัวดีไม่ใช่เรื่องยาก


          วงการบันเทิงมีคลื่นลูกใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา หลายคนก็เลยคิดว่าบรรดานักแสดงที่เป็นคลื่นลูกเก่าคงแอบมีหวั่น ๆ บ้างแน่ ๆ ไม่เว้นแม้แต่คลื่นลูกเก่าแต่ฝีมือไม่เก่าอย่างนางเอกสาว มาร์กี้-ราศรี บาเลนซิเอก้า ที่ละครเรตติ้งดีอย่าง “เงาพราย” เพิ่งลาจอไป ทำให้เธอมีคิวว่าง “ดาวต่างมุม” เลยไม่รอช้าชวนเธอมาคุยถึงชีวิตในวงการที่รวม ๆ แล้ว 6 ปี เธอเติบโตมีมุมมองเรื่องงาน อนาคต และโดยเฉพาะเรื่องความรักกับ หนุ่ม ต้อง-จุลลวุฒิ ชลลัมพี ทายาทผู้จัดหญิงเก่ง แม่หนู-สรวงสุดา ชลลัมพี แห่งช่อง 3 เป็นยังไงบ้างเพราะแฟน ๆ อยากรู้เหลือเกิน!

อยู่วงการมากี่ปีแล้ว?
   
“6 ปีกว่า ๆ ได้แล้วค่ะ ก็นานเหมือนกันนะ การทำงานก็ยังคงสนุกและยังรู้สึกว่ามีอะไรให้เรียนรู้ไปได้เรื่อย ๆ เราเล่นละครมา 6 ปีก็ยังคงพยายามทำให้การแสดงดีขึ้นทุกเรื่อง อย่างเช่นการไปเรียนแอ๊คติ้งเสริม แล้วก็พยายามเอาละครเก่า ๆ ที่เราเล่นไป มาดูว่ามีข้อบกพร่องตรงไหนบ้าง ซึ่งก็มีดีขึ้นบ้างหรือบางอย่างก็ยังไม่สามารถแก้ได้อยู่ ส่วนเรื่องแอ๊คติ้งน่ะพอใช้ได้ ซึ่งหนูโชคดีที่ 6 ปีในวงการได้รับบทบาทไม่ซ้ำเลย แต่สมมุติถ้าเล่นดราม่าเรายังอยากเล่นซ้ำอยู่นะ เพราะจะได้ไปแก้ความผิดพลาดจากเรื่องแรก ได้มีโอกาสเล่นใหม่ก็จะได้ไปแก้ไขในเรื่องต่อไป แต่ที่ได้เล่นหลาย ๆแบบทั้งบู๊, สลับร่าง, ดราม่า, คอมเมดี้, ผี ๆ ครบหมดแล้ว อาจจะเพราะผู้ใหญ่เห็นว่าเราดูลุคหลากหลายสามารถเปลี่ยนได้หลายเรื่อง จะดราม่าก็หวานผมยาว  หรือเปลี่ยนมาเป็นผมสั้นก็ได้”

อยู่มา 6 ปีได้อะไรจากวงการบันเทิงมากมั้ย?
   
“ก็คงเป็นเรื่องวินัย เรื่องการทำงานแบบเป็นกลุ่มเป็นทีมที่ต้องคอยช่วยเหลือกัน ต้องพยายามทำให้ดี เพราะถ้าเราคนเดียวเกิดทำไม่ดีทีมงานกองถ่ายของเราทั้งหมดก็จะโดนผลกระทบหมดกันทั้งกลุ่ม แล้วก็เรื่องวินัยในการทำงาน การตรงต่อเวลา  และที่สำคัญต้องไม่ดื้อ งอแง หรือซนด้วยค่ะ (หัวเราะ)”

การวางตัวของเราตั้งแต่เข้าวงการมาถือว่าดีนะ เพราะไม่มีข่าวเสียหาย ดูแลตัวเองยังไง?

   
“ที่จริงเราก็ปกตินะ เรามีไปเที่ยวบ้าง ไปเดินห้างดูหนังก็มี แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด ยังใช้ชีวิตเหมือนวัยรุ่นปกตินะ แต่เราสามารถสร้างความไว้วางใจของคุณพ่อคุณแม่ได้ เช่น ไปไหนก็บอกว่ากลับกี่โมง ไปกับใคร ไปเที่ยวก็แค่ไปเต้น ๆ เมาท์ ๆ กับเพื่อน แต่ไม่ได้ไปเมา ซึ่งหนูมองว่าการที่เราไปเที่ยวปาร์ตี้กลางคืนไม่จำเป็นต้องไปกินเหล้าต้องเมาเลยก็สนุกได้”

ก็ถือว่าเป็นตัวอย่างให้เด็กรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาในวงการ?
   
“ก็รู้สึกดีนะคะ ถ้าผู้ชมคนดูจะมองแบบนี้ ถ้าเราสามารถเป็นตัวอย่างของน้อง ๆ หลาย ๆ คน หนูก็อยากจะทำตัวให้ดีเพื่อคนที่เขามองดูเราอยู่ ถึงจะมองดูเราอยู่แค่ 10 คน แต่ยังรู้สึกดีและภูมิใจแล้วว่า 10 คนนั้นที่มองเรา ก็มองดูเราและดีตามเรา  แม้กระทั่งเรื่องการใช้ชีวิตที่ต้องทำงานตั้งแต่เด็กเวลาสนุก ๆ แบบวัยรุ่นจะหายไป เอาจริง ๆ ไม่มีอะไรขาดหายนะ ก็ได้ไปเที่ยวกับเพื่อน แต่อาจจะไม่บ่อยได้เท่าคนอื่น ๆ แต่ก็ยังมีประสบการณ์อย่างในการใช้ชีวิตที่หลากหลายกว่าคนอื่น ๆ นะ เวลาที่ถูกดึงไปจริง ๆ ก็ไม่เยอะนะ อาทิตย์นึงมีตั้ง 7 วันนะ แวบไปเที่ยวชั่วโมงสองชั่วโมงก็ทำได้นะ”


มาร์กี้เชื่อเป็นนักแสดงวางตัวดีไม่ใช่เรื่องยาก


เรื่องเรียนล่ะเป็นอย่างไรบ้าง?
   
“เพิ่งจบเมื่อเดือนมีนาคมนี่เอง คณะบริหารธุรกิจ ที่เอแบค เดี๋ยวจะรับปริญญาเดือน ม.ค. ปีหน้า จะทำงานด้านธุรกิจมั้ย ยังดู ๆ อยู่ เพราะหนูเรียนบริหารธุรกิจด้านการโรงแรมและการท่องเที่ยว ชอบการท่องเที่ยว อาหาร ซึ่งก็มีแนวโน้มว่าจะมองงานด้านนั้น แต่หนูก็ไม่ได้คิดว่าจะทิ้งงานในวงการนะ เป็นไปได้ขอทำทั้งคู่เลย ซึ่งยังมีแพลนเรียนต่อปริญญาโทด้วย น่าจะประมาณกลางปีหน้า ที่ไม่เว้นวรรคทำงานอย่างเดียว เดี๋ยวเราขี้เกียจ พักซักแป๊บนึงแล้วเรียน ก็น่าจะกำลังดี แต่จะต่อสาขาไหนต้องดูอีกทีค่ะ”

การวางตัวที่ดีทำให้ไม่ค่อยมีข่าวด้านลบโดยเฉพาะเรื่องความรักกับพี่ต้อง?
   
“แล้วแต่คนคิดนะ แต่ของหนูจะเรื่อย ๆ เราไม่ได้ไปเที่ยวไหนกันสองต่อสองอย่างเดียว มีไปกับเพื่อนผู้ชายที่มหาวิทยาลัย เพื่อนผู้ชายในวงการบันเทิงก็มีอย่างพี่ บอย-ปกรณ์, อเล็กซ์ เรนเดลล์ แต่เราไม่ได้ไปเกาะแกะ เพื่อนก็เพื่อนจริง ๆ”

แต่คนก็บอกว่ามาร์กี้ปิดเรื่องความรัก แล้วก็ปากแข็งที่ยังไม่เรียกพี่ต้องว่าแฟน?
    
“มันยังไม่ได้เป็นจริง ๆ ค่ะ เรื่อย ๆ ดีกว่า เราเองก็มีความสุขกับสถานะแบบนี้ เราทำในสิ่งที่เรามีความสุข จริง ๆ หนูรู้จักกับพี่ต้องมาเกือบ 5-6 ปีแล้วนะ เจอครั้งแรกที่กองละคร “เจ้าหนูเทควันโด้” เราก็ไม่ได้มีอะไรหวือหวา ว่างก็มีไปทานข้าวกัน มีความสุขจะทำอะไรก็ทำ อยากโทรฯ หาก็โทรฯ ไม่อยากโทรฯ ก็ไม่โทรฯ พี่ต้องเองก็ทำงานถ่ายละครดึก ถ้าว่างก็มาเจอกัน เจอทีหนึ่งก็มีเพื่อนหลาย ๆ คน ถ้าไปกันสองคนไม่รู้จะคุยอะไรกัน (หัวเราะ) รู้จักกันมา 6 ปีไม่มีอะไรให้พูดแล้วเลยมาเป็นกลุ่มสนุกกว่าเยอะ”

พี่ต้องถูกใจเราตรงไหนถึงพิเศษกว่าคนอื่น?
   
“เขาเป็นคนที่นิสัยคล้ายกันคือสบาย ๆ ง่าย ๆ ยังไงก็ได้ เป็นคนที่ตรงต่อเวลา เวลาจะไปไหนก็โทรฯ บอกว่าอีกครึ่งชั่วโมงเจอกันที่นี่ อีกครึ่งชั่วโมงก็เจอจริง ๆ ไม่มีการโทรศัพท์จี้อีกเลย เราจะไม่เยอะแยะครึ่งชั่วโมงคือครึ่งชั่วโมง รถติดหรืออะไรก็อีกเรื่องนึง จะไม่ค่อยชอบให้ใครมาทำแบบนั้นชอบอิสระ ซึ่งต่างคนต่างเข้าใจก็โอเคมาก”

คบกับพี่ต้องมามีมุมหวาน ๆ กับพี่ต้องบ้างมั้ย?
   
“เราไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรคือหวานมาก แต่การไปกินข้าวสองคน ไปดูหนังมันก็ปกตินะ ไปกินข้าวอยากกินอะไรก็ไปกิน วันพิเศษเหรอ ก็อยากกินเนื้อย่างก็ไปกินเนื้อย่าง ไม่มีไปดินเนอร์หรูที่โรงแรม ซึ่งมันก็สบาย ๆ เพราะเราก็นิสัยเหมือนกันจริง ๆ”


มาร์กี้เชื่อเป็นนักแสดงวางตัวดีไม่ใช่เรื่องยาก


คบกับพี่ต้องมีคุยเรื่องอนาคตกันบ้างมั้ย?
   
“ไม่มีเลยค่ะ หนูเป็นคนไม่ชอบพูดถึงเรื่องอนาคต อย่างคำถามตั้งแต่เด็ก ๆว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไรเราก็ตอบไม่ได้ เพราะโตขึ้นเราก็จะรู้เองว่าถนัดอะไร ชอบอะไร เพราะเราคิดว่าเป็นคำถามที่ทำให้ถ้าเราเป็นแบบที่ตอบไปไม่ได้ก็ทำให้เราเสียใจนะ ก็เลยชิลชิล จะดีกว่าไม่ยึดติด”

ตัวตนนิสัยมาร์กี้เป็นคนยังไง?
   
“คงเป็นแนวแก่น ๆ ไม่ชอบใครก็พูดเลยนะ ไม่แอ๊บน่ะ มีอะไรก็พูดตรง ๆ แต่เราไม่เป็นคนชอบเมาท์ว่าคนอื่นนะ เพราะมองว่าเรื่องเมาท์คนอื่นมันเหมือนนิสัยของเด็กมัธยมฯ ตัวตนเราเป็นอย่างนี้ตามธรรมชาติไม่มีแอ๊บอะไร”

ด้วยความเป็นลูกครึ่งคุณแม่เลี้ยงเราแบบฝรั่งหรือไทยมากกว่า?
      
“ปน ๆ กันไปนะ สบาย ๆ แต่จะเน้นเรื่องสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่ การไหว้ การพูดคะขา การเดินผ่านผู้ใหญ่ต้องก้มหัว แม่จะย้ำเราตลอด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ในสิ่งที่สอนมาก็มาปรับใช้ในการทำงาน เพราะเราต้องเจอผู้ใหญ่เยอะค่ะ”

แฟนคลับเราเป็นยังไงบ้างอบอุ่นมั้ย?
       
“อบอุ่นค่ะ เยอะขึ้นมาก ต้องขอบคุณและชื่นใจมาก ๆ นะ ที่เขาชอบผลงานเรา อย่างรูปเราที่น่าเกลียด ๆ เขายังบอกว่าน่ารักเลย ให้กำลังใจเหมือนคนในครอบครัวจะอบอุ่นมากค่ะ บางคนก็ตามเราทางโซเชียลเน็ตเวิร์กก็มาถามสารทุกข์สุกดิบถึงเราจะไม่สามารถตอบเขาได้ทุกครั้งทุกคน แต่เราอ่านทุกคอมเม้นต์ที่ทวีตมาหาเราทางทวิตเตอร์ค่ะ”

อนาคตในวงการมองไว้ยังไงบ้าง?
   
“ยังคงอยู่ในวงการนี่แหละค่ะ จะพัฒนายิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เพราะหนูมีไอดอลคือ พี่นก-สินจัย เคยร่วมงานกัน รู้สึกได้ว่าพี่นกไม่หยุดพัฒนา ตั้งใจทำงานจริง ๆ ถึงพี่เขาจะเก่งมาก เขายังไปหาหม่อมน้อย ไปเรียนแอ๊คติ้งอยู่บ้านก็ทำการบ้านที่หม่อมสอนซึ่งหนูรู้แล้วเราต้องทำ อย่างหนูไม่ได้ไปหาหม่อมมาปีกว่าแล้ว เพราะเราทั้งเรียนแล้วก็ทำงาน แต่อยู่บ้านก็ทำการบ้านที่หม่อมสอนทุกครั้งจนจบ อย่างน้อยถ้าทำงานเสร็จดึก อาทิตย์นึงก็ทำ 3-4 วันนะ”

เราเป็นคลื่นลูกใหม่ตอนแรกแต่ตอนนี้มีน้อง ๆ เข้ามาเยอะรู้สึกกลัวกระแสตกมั้ย?

        
“สิ่งใหม่มาของเก่า ๆ ก็จะตกไปคนพูดเยอะนะ อาจจะเป็นเพราะเราเรียนบริหารมาจะมองว่าสินค้าหนึ่งอยู่ในตลาด ถ้าคุณภาพมันดี ได้รับการการันตี มันก็จะยังอยู่แม้สินค้าใหม่ที่ใกล้เคียงกันจะเข้ามา นักแสดงก็เหมือนกันถ้าเราทำดี มีวินัยตรงต่อเวลา ไม่หยุดพัฒนาตัวเอง มีความพยายาม ผู้ใหญ่ก็ต้องให้โอกาสแน่นอนค่ะ ซึ่งตอนแรกหนูไม่เคยคิดจะมาเป็นนักแสดง แต่พอมีโอกาสเข้ามาเป็นนักแสดงแล้วเรารักนะ รักในอาชีพนี้ มันไม่ใช่แค่งานอดิเรกทำไปวัน ๆ แต่มันคืออาชีพที่ต้องรักและเคารพ”
       
จะเห็นว่าแนวคิดเรื่องการวางตัวเวลาอยู่ในวงการบันเทิงของมาร์กี้นั้น สามารถเป็นตัวอย่างให้กับน้อง ๆ นักแสดงหน้าใหม่ที่กำลังจะเข้ามาในวงการต้องฟังจากรุ่นพี่คนนี้ซะแล้ว จะได้ไม่เป็นเช่นดวงดาวที่ส่องแสงแค่ชั่วคราวแล้วก็ต้องดับวูบไปนะจ๊ะ.

คนกลาง : เรื่อง

มาร์กี้เชื่อเป็นนักแสดงวางตัวดีไม่ใช่เรื่องยาก


มาร์กี้เชื่อเป็นนักแสดงวางตัวดีไม่ใช่เรื่องยาก


มาร์กี้เชื่อเป็นนักแสดงวางตัวดีไม่ใช่เรื่องยาก

เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์