ฟ้าหลังฝนย่อมสดใส ชีวิตใหม่ของ...จอย ศิริลักษณ์

เพียงบทบาทนางเอกในละคร "แสงโสม" ก็ทำให้ชื่อของ "จอย" ศิริลักษณ์ ผ่องโชค เป็นที่รู้จักและโด่งดังจากนั้นเป็นต้นมา

โดยเฉพาะเรื่องฝีไม้ลายมือของเธอคนนี้ ต้องบอกว่ามีดีกรีระดับแถวหน้าของวงการบันเทิงก็คงไม่ผิด แต่ก็เป็นธรรมดาของชีวิตที่คงไม่ได้รับชื่อเสียง หรือคำชื่นชมเพียงด้านเดียวเป็นแน่ ทำให้เมื่อไม่นานมานี้เธอต้องถูกมรสุมซัดกระหน่ำอย่างแรง ชีวิตการงานถูกมองว่าซวนเซอย่างหนัก กับข่าวที่มีปัญหากับผู้จัดชื่อดัง "จิ๋ม" มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช ถึงกับถูกปลดจากละครเรื่อง "กิ่งแก้วกาฝาก" บวกกับมีกระแสข่าวอีกว่าทางต้นสังกัดอย่างช่อง 3 ไม่จับเธอเซ็นสัญญาแล้ว

หลากหลายคำถามมากมายความรู้สึกที่มีต่อเธอขนาดนี้ "บันเทิง คม ชัด ลึก" ถือโอกาสนี้นัดแนะพูดคุย เพื่อเปิดใจ "จอย" ศิริลักษณ์ กันแบบหมดเปลือกเลยทีเดียว

ชีวิตการงาน


ช่วงนี้งานเป็นอย่างไรบ้าง
 

ร้องเพลงโชว์ตัวตามงานต่างๆ แต่ว่าละครยังไม่ลงตัว ว่าชอบเรื่องไหน เล่นเรื่องไหน แต่อ่านๆ บทอยู่ ก็มีติดต่อมาตลอด อยากขอบคุณผู้จัดหลายคนที่นึกถึงจอย ทำให้จอยสบายใจด้วย รู้สึกดีด้วย แต่ช่วงที่เรามีปัญหาอยู่ บางทีเราก็ยังรับงาน หรือคุยกับที่อื่นไม่ได้ เพราะว่าตอนนั้นเรายังไม่ได้เป็นอิสระอย่างถูกต้อง ตอนนี้อิสระแล้วก็สามารถพูดได้
 

แล้วตอนนี้จะรับเล่นละครกับค่ายไหน
 

จอยคุยอยู่ ต้องรอเขาส่งบทให้ดู แล้วขั้นตอนมันค่อนข้างเยอะ ซึ่งตรงนั้นอยู่ที่เราด้วยว่าเราอยากเล่นมากน้อยแค่ไหน จริงๆ ช่อง 3 ก็มี ช่อง 7 ก็มี ช่องอื่นที่ไม่ใช่ช่อง 7 ก็มี 



แสดงว่าข่าวคราวที่ออกมา มันไม่มีผลกระทบกับงานที่เข้ามาเลย
 

งานที่เข้ามาไม่ลดน้อยลง จอยรู้สึกดีที่เยอะขึ้น ฟังแล้วอาจจะน่าหมั่นไส้ (หัวเราะ) แต่ต้องเข้าใจว่า เดิม ไม่มีใครกล้าติดต่อเราหรอก เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าเรามีสังกัด แต่ตอนนี้คนที่อยากร่วมงานกับเรา เขาก็กล้าที่จะติดต่อมากขึ้น ถ้าวัดจากงานที่ออกไป คนก็มักจะดูที่งานออกมา ตรงนั้นจอยวัดไม่ได้จะเยอะหรือน้อย เพราะจอยไม่ได้รับงานเยอะ รับงานที่โดนจริงๆ
 

แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าข่าวมีผลกระทบกับชื่อเสียงตัวจอยโดยตรง

มันมีผลกระทบทุกด้าน เพราะมีคนปล่อยข่าวไม่ดีถึงเราเยอะ แต่โชคดีที่คนที่เขาชอบเรา เขาหนักแน่น จอยเลยไม่เครียดมาก จอยเป็นคนสวดมนต์ ศึกษาธรรมะ แต่จะบอกว่าไม่สะเทือนเลย มันก็ไม่ขนาดนั้น เพียงแต่มันไม่ได้ร้อนรน
 

เหมือนว่าข่าวนั้นโยงไปถึง "พี่แม็ค" (วินัย วัฒนราษฎร์)
 

ไม่ได้โยงหรอก กลายเป็นว่าคนที่ไม่ชอบเรา ใช้จังหวะนี้ให้ข่าวไม่ดีกับเรา มีคนให้กำลังใจเราเยอะ กระแสที่กลับมากลายเป็นคนเห็นใจ แล้วรู้สึกว่าเราโดนรังแก คนที่ไม่ชอบเราเขาก็เลยเปลี่ยนแนวใหม่ บอกว่าจอยดี น่ารัก แต่แฟนไม่ดี เพราะว่าคนไทยละเอียดอ่อนกับเรื่องนี้ การที่ว่าแฟนไม่ดีก็กระทบมาถึงจอย แล้วดูจะหนักกว่า
 

มันแค่เป็นเกมที่มองง่ายๆ แต่คนที่อ่านทั่วไปเขาไม่ได้มองหรอกว่าวงการเกมเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ

ถ้าสังเกตจะเห็นว่าจอยไม่เคยแก้ปัญหาแทนพี่แม็ค แต่อย่างหนึ่งที่เราทำคือเมื่อมีปัญหาพาดพิงถึง จอยไม่เคยเดินหนีปัญหา มีอะไรก็พร้อมที่จะคุย คุยกันแบบสันติ เพื่อให้เข้าใจกัน แต่สิ่งที่จอยได้รับคือไม่ได้อยากคุย เขาอยากแค่ให้ข่าวให้เราไม่ดี ฉะนั้นก็ไม่มีประโยชน์ คนเราไม่ควรหนีปัญหา จอยเลยรู้สึกว่าเราไม่ได้รับความยุติธรรม



ทำให้จอยเลือกที่จะไม่เซ็นสัญญากับใคร
 

มันสบายใจกว่าเยอะ แต่อนาคตไม่รู้จะมีอะไรเกิดขึ้นอีก ประสบการณ์ที่ผ่านมาจะเป็นเรื่องเข้าใจผิด หรือบังเอิญคนที่ไม่ชอบมาทำให้ปั่นป่วนทำให้เกิดปัญหาก็ตาม แต่ว่าเวลามีชื่อเราในปัญหา เราจะแคร์คนที่มีพระคุณกับเรามากกว่า จะนึกถึงเลยว่าผู้ใหญ่จะรู้สึกยังไง ยิ่งมีปัญหาเราจะยิ่งไม่เข้าหาผู้ใหญ่ เพราะรู้สึกว่าไม่อยากเอาปัญหาไปให้มากกว่า เว้นแต่ผู้บังคับบัญชาโดยตรง อย่างช่อง 3 จอยเข้าไปหาหลายครั้ง แต่มีคนขอร้องว่าไม่ให้เป็นข่าว ก็เลยไม่มีข่าวว่าจอยได้เข้าไปหาผู้ใหญ่อนนี้สบายใจมาก เพราะจะพูดจา จะทำอะไร จะมีผลกระทบโดยตรงกับจอยเพียงคนเดียว อย่างที่บอกว่ามีคนขอไม่ให้พูดให้เป็นข่าว พอจอยไม่พูด จอยก็ทำดีแล้วนะ แต่ข่าวออกมาจัง กลับมีข่าวอีกด้านหนึ่งว่าจอยไม่เข้าหาผู้ใหญ่เลย จอยก็ทำตัวไม่ถูก
 

ประสบการณ์ครั้งนี้สอนอะไรเราบ้าง
 

ไม่ได้สอนอะไรมากกว่าเดิม ซ้ำซากมากกว่า แต่เราไม่รู้จักระวังตัว เราอาจจะคิดดีไปหน่อย ไม่ทันระวังตัว ไม่รู้ว่าหน้าเนื้อใจเสือเป็นยังไง แล้วมันซ้ำซาก เราคิดว่าที่เราทำ เห็นอยู่ชัดเจน แต่มีบุคคลที่สามที่มานั่งเป่าหูรายวัน คนนั้นกลับมีน้ำหนักมากกว่าสิ่งที่เราทำ
 

คิดว่าฟ้าหลังฝนแล้วจะสดใสขึ้นหรือเปล่า
 

ไม่รู้นะ จอยก็เรื่อยๆ ของจอย ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีอุปสรรค ตอนที่ไม่เป็นข่าวก็มีตั้งเยอะ หลายๆ ข่าวเกิดจากคนที่สาม ทำให้ผู้ใหญ่เข้าใจผิดทั้งนั้น เช่น จ้างงานไปโชว์ตัว เราก็ให้ราคาเดิม แถมยังลดให้แล้วด้วย เขาก็ไม่พอใจ ต้องการเอาชนะ แต่รายงานผู้ใหญ่คนละเรื่องเลย มันคงเป็นกรรมมั้งที่เราต้องเจอปัญหา แต่ในขณะเดียวกันจอยมีด้านความสำเร็จอีกด้านหนึ่ง ซึ่งมีมาตลอด ก็โอเคนะที่เราจะเจอปัญหาด้วย ในขณะที่เราได้ความสำเร็จมา คงไม่สวยหวานไปซะทุกอย่าง มีสุขอยู่ต้องมีทุกข์ด้วย
 

ตอนแรกรู้สึกแย่ที่มันเป็นเรื่องงาน

จอยรู้สึกว่าเราดูแลตัวเองตลอด ตรวจทานทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่คิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นได้ยังไง พอดีมันไม่ใช่หน่วยงานราชการ ที่ต้องตั้งคณะกรรมการมาตรวจสอบ เราเลยทำอะไรไม่ได้



ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตไหม
 

จอยก็บอกไม่ถูก บางครั้งในขณะที่จอยเล่นละครมา ก็อยากทำอย่างอื่นด้วย แต่เราทิ้งงานละครไม่ได้ พอเกิดช่องว่างตรงนี้ปุ๊บ มีกิจกรรมเยอะมากที่ผุดขึ้นในหัว ดูงานในวงการน้อยกว่ากิจกรรมอื่น มันเหมือนชีวิตมีอิสระแล้ว
 

แสดงว่าได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น
 

ส่วนใหญ่อยู่งานบุญ อยู่กับวัด คือได้อยู่กับตัวเองมากขึ้นด้วย จริงๆ พอ 2 ปีหลังเคยคิดว่า อายุเรามากขึ้นแล้วนะ ยังแอบคิดว่า อุ๊ย...ยังมีคนติดต่อให้เป็นนางเอกอยู่นะ (ยิ้ม) แต่มันก็มีอารมณ์อยากไปทำอย่างอื่นเหมือนกัน แต่เราก็คิดว่าอยากเล่นละครไปจนแก่ ถึงแม้ว่าจะเป็นบทอื่น พอตอนนี้มีช่องว่าง ตัดสินใจว่าอิสระปุ๊บ เราทำอะไรได้อีกเยอะเลย
 

ใช้ธรรมะเข้ามาช่วยในชีวิตอย่างไร
 

จอยว่ามันช่วยได้ เหมือนว่าชีวิตนี้มันพึ่งอะไรไม่ได้ ก็หันไปหาธรรมะอัตโนมัติ ทำให้รู้สึกว่ามีปัญญา จอยอ่านหนังสือธรรมะมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ไม่ได้ต่อเนื่องอะไร แต่ว่าตั้งแต่โตมา ไม่ไปเที่ยว ไม่หวือหวา ใช้ชีวิตมีสาระมากขึ้นแล้ว ซึ่งพอหันมาสนใจด้านนี้รู้สึกว่าชีวิตเกิดมาเราต้องสะสมบุญ แต่ที่ทำทุกวัน เราทำงานแลกเงินเพื่อเลี้ยงร่างกายเราอยู่ จอยมีชาร์ตนรกสวรรค์ ทำผิดไปเป็นยังไงบ้าง จอยก็ยังดูอยู่นะ จอยตั้งใจว่าวันเกิด วันที่ 3 ธันวาคม จะเริ่มใส่บาตรทุกวัน เจริญรอยตาม "พี่กบ" ปภัสสรา จอยชื่นชมเขาในเรื่องการทำบุญ เพราะเขาบอกว่าการตื่นใส่บาตรมันเป็นความเพียร



 หลังจากนี้วางแผนชีวิตไว้อย่างไรบ้าง
  ยังไม่รู้เหมือนกัน มันไม่สับสนหรอก แต่มันใช้เยอะ จนคิดว่าอย่าจับปลาหลายมือ ละครก็ยังอยากเล่นอยู่ แต่อยากเล่นที่บทที่อ่านแล้วโอเคจริงๆ ตอนนี้จะทำอะไรก็ทำได้แล้ว จะทำอะไรก็ตัวเรา จะผิดจะถูกตัวเราเลือก จะประสบความสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ตัวเราตัดสินในใจเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นมาเป็นเงื่อนไขให้เราคิด เหมือนคนที่คิดจะทำอะไรหลายๆ อย่าง แล้วไม่เคยได้ทำเลยตั้งแต่เด็กจนวันนี้ เหมือนมันมีชีวิตชีวา โดยที่เราไม่ได้มานั่งตีกรอบว่าผลงานจะดีไหม มันไม่ต้องคิดอะไรแล้ว อะไรก็ได้ที่มีความสุข
 

เรื่องการเมือง
 

มีเรื่องการเมืองทาบทามด้วยหรือเปล่า ทำให้เราลังเลกับชีวิตในอนาคต

เออ...เรื่องนี้ตลกมาก มันไม่ใช่เรื่องขำๆ แต่ตลกกับตัวเอง เมื่อก่อนนานมาแล้ว ก็เป็นดาราคนหนึ่งที่ไม่ได้สนใจเรื่องการเมืองมากนัก แต่ 2-3 ปี ที่ผ่านมาจอยก็มีสนใจการเมืองในช่วงนั้น เพราะตอนที่เลือกคนที่คิดว่าดีแล้ว แล้วคนนั้นๆ เปลี่ยน จอยรู้สึกแย่มาก แล้วประเทศก็แย่ เราหาข้อมูลศึกษาอย่างจริงจังทุกด้าน เพราะเรารู้ว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสได้รับข้อมูลนั้น เพราะมันเป็นเรื่องไม่ยุติธรรมกับประเทศ เราก็เอ...ทำยังไงดีนะ ที่เสียงเล็กๆ ของเราจะมีอุดมการณ์เดียวกัน แล้วทำอะไรเป็นรูปเป็นร่าง
 

เนื้อหอมถึงขนาดถูกนักการเมืองชื่อดัง เสนาะ เทียนทอง ทาบร่วมทำงาน
 

ไม่ได้เนื้อหอมเลย แต่บังเอิญมีผู้ใหญ่ที่เห็นอะไรบางอย่างในตัวเรามั้ง จอยรู้สึกขอบคุณที่เขาเปิดโอกาส และเปิดทางในการเมืองของเรา คงไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับโอกาสนี้ ถึงแม้ว่าเรื่องเม้าท์ของการเมืองจะมีติดลบมาก ไม่น้อยไปกว่าวงการบันเทิง แต่คนทำงานก็มี แล้วในขณะเดียวกัน เขาคงเห็นว่าเรามีศักยภาพเราที่จะทำงานระดับประเทศได้ เราก็เลยลองคุยดู คุยแล้ว ตัวเราไม่พร้อม เพราะเรามีงานอื่นที่เราเซ็นสัญญางานโชว์ตัวล่วงหน้าไว้ ก็เลยคิดว่าคงไม่ใช่ตอนนี้แน่นอน แต่ก็ดี เป็นการเปิดตัวเอง ให้เขาได้รู้จักด้วยว่า ถ้ามองถึงศักยภาพของเรา เราขอบคุณมาก ก็ถือว่าเป็นเกียรติมาก แต่หากมองเราเป็นสีสัน เป็นไม้ประดับ ก็ช่วยพิจารณาเราใหม่ด้วย ถ้าจะให้จอยเป็นแค่นั้น คงไม่ใช่จอยแล้วล่ะ
 

ณ วันนี้ยังไม่พร้อม แสดงว่าอนาคตสนใจ
 

อนาตตถ้ามีคนที่เปิดทางให้เรา หรือถ้าหัวขบวนดี มีความคิดคล้ายๆ กัน ก็คงไม่ลังเลเลย จริงๆ ทุกวันนี้มีแต่คนห้าม แต่เราก็คิดว่า ทำไมคิดว่าการเมืองมันเน่ามาก ทุกคนคิดว่าคนดีเข้าไปจะเสียหมด แล้วห้ามว่าอย่าเข้าไปเลย เพราะทุกคนคิดแบบนี้ไง ถึงไม่มีคนดีเข้าไป



ที่บ้านว่ายังไงบ้าง หากลงเล่นการเมือง
 

ที่บ้านไม่ห้ามเลย เพราะที่บ้านเคารพการตัดสินใจของจอย แต่เป็นห่วง คุณพ่อเป็นคนรักความยุติธรรม เราตามเขามาตั้งแต่เด็ก ถ้าลูกจะเข้าไปแล้ว เพื่อเสียสละ ที่บ้านจะสนับสนุน
 

คิดจะไปเรียนการเมืองเพิ่มเติมด้วยหรือเปล่า
 

จริงๆ ก็คิดจะเรียนรัฐศาสตร์ ตอนแรกอยากเรียนนิติศาสตร์ เพราะคุณพ่อเรียน เป็นทนาย แต่ตอนนั้นเราไม่ไหว กว่าจะเรียนจบปริญาตรีของตัวเองก็จะตายแล้ว จริงๆ เราก็ค้นหาตัวเองเหมือนกัน ทำไมถึงสนใจทางด้านนี้ อาจจะเป็นเพราะคุณพ่อด้วยมั้ง
 

เรื่องความรัก


ความรักเป็นอย่างไรบ้าง
 

ตอนนี้ดีนะ จอยชอบเขาที่เขาไม่หนีปัญหา เป็นลูกผู้ชายพอ ตอนนี้ที่คบกันมา 4 ปีแล้ว แป๊บเดียวเอง ความหวานไม่มี มันเป็นแบบนี้เหมือนเดิม เป็นกำลังใจให้กันมากกว่า เหมือนสนับสนุนกันในเรื่องงานมากกว่า เป็นแฟนด้วย เป็นเพื่อนคู่คิดในการทำงานด้วย
 

วางแผนอนาคตเรื่องแต่งงานไว้บ้างหรือยัง
 

ไม่นะ ตัวจอยเองตอนนี้งานเป็นอิสระแล้ว จะมีอะไรวิ่งเข้ามาในหัวเยอะแยะหมดเลย ทำให้มีชีวิตชีวา ถ้าจะพูดเรื่องชีวิตคู่เรื่องแต่งงาน ยิ่งไม่คิดเลย เพราะเดิมไม่คิด ตอนนี้มันยิ่งถอยไปอีกไกล
 

ดูเหมือน "พี่แม็ค" จะคอยอยู่ใกล้ๆ เวลาจอยมีปัญหาตลอด
 

ตอนนี้รู้สึกสบายๆ ต้องชมพี่แม็ค เขารับสถานการณ์หลายๆ อย่างได้ หมายถึงข่าวอะไรต่างๆ ตอนนี้เรามองว่าเป็นโครงสร้างข่าวไปแล้ว รู้ต้นสายปลายเหตุหมดแล้ว พี่แม็คเขาไม่ใช่ดารา เขาไม่ชินที่จะเห็นชื่อเขาในหนังสือก็เท่านั้น
 

เชื่อว่า "ธรรมะ" คงช่วยนางเอกฝีมือดีคนนี้ให้มีระบบความคิด และการจัดการกับปัญหาได้อย่างดีทีเดียว



เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์