น้องเพชรลั่นเดินหน้าตรวจสอบมรดกแม่



"น้องเพชร"ยันเป็นคนปกติดีทุกอย่าง ยืนยันไม่คิดฟ้องกลับ เผยยังรักเคารพพ่อเสมอ แต่ขอต่างคนต่างอยู่ เหน็บเอาเวลาไปตั้งชื่อแพนด้าดีกว่า

ลั่นเดินหน้าตรวจสอบมรดกแม่ ประกาศพร้อมตรวจสภาพจิต แต่ขอให้พ่อมาตรวจด้วยกัน พร้อมขอหมอที่เป็นกลาง ลังเลเปลี่ยนชื่อ นามสกุล เผยต้องไปดูหมอว่าทำให้ดวงซวยหรือไม่ ด้าน "ไกรสร" แถลงทั้งน้ำตาอีกครั้ง เปิดใจแจ้งความลูกชาย เพราะหมดหนทาง เชื่อลูกถูกล้างสมอง

เรื่องราวความร้าวฉานศึกสายเลือดระหว่าง นายไกรสร  ลีละเมฆินทร์ (แสงอนันต์) กับนายสรภพ ลีละเมฆินทร์ หรือ "น้องเพชร" บุตรชายยังคงไม่มีข้อยุติ

และดูเหมือนว่ายิ่งนานวันรอยร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกทายาทราชินีลูกทุ่ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ จะแย่ลงทุกขณะ หลังจากทั้งสองฝ่ายออกมาสาวไส้ แฉพฤติกรรมในลักษณะสาดโคลนเข้าหากัน กระทั่งมีการแจ้งความดำเนินคดีกันแล้ว

เมื่อเวลา 14.45 น. วันที่ 22 มิถุนายน นายสรภพ หรือน้องเพชร เดินทางมาบันทึกรายการ "ตีสิบ" ที่ชั้น 4 เซ็นทรัลพระราม 2 โดยระหว่างบันทึกรายการ น้องเพชรได้ชี้แจงถึงกรณีที่เคยบันทึกรายการ "ตีสิบ" เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2551 ที่ผ่านมา โดยการบันทึกเทปครั้งนั้น ยังทำใจไม่ได้ที่จะพูดคุยกับพ่อ ซึ่งทางรายการให้เพชรกับพ่อนั่งคุยกัน 2 คน เป็นเวลา 2 ชั่วโมง โดยในวันนั้นมีความรู้สึกว่าสามารถเคลียร์กันได้ แต่หลังจากวันนั้นไป ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น 

"ส่วนวันที่ทะเลาะกับพ่อ และน้า ในวันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมานั้น ทำให้คนมองผมเป็นภาพลบ ผมก็ขอโทษ วันนั้นผมหลุด ส่วนเรื่องที่พ่อไปแจ้งความ และต้องการให้หมอมาตรวจสภาพจิต ตรงนี้ผมยืนยันว่าผมปกติทุกอย่าง ถ้าผมไม่ปกติ จะไปออกรายการไหน ๆ ได้เหรอ ยอมรับว่าเมื่อก่อนอยู่กับพ่อ เวลามีปัญหาผมจะออกนอกบ้าน ไปหาอบายมุขหลายอย่าง แต่ผมไม่ทราบว่าผมเปลี่ยนแปลงไปนั้น เป็นแบบไหน ยอมรับว่าเสียใจ แต่สิ่งที่พ่อออกมาทำ หรือพูดเป็นเพราะอะไร เป็นเรื่องมรดกหรือเปล่า หลังจากที่แม่เสียชีวิต ชีวิตผมก็เปลี่ยนไป ที่ผ่านมา พอทำอะไรผมไม่ได้ มากระหน่ำครอบครัวของคุณอ้อย (น.ส.ธิดารัตน์ อรรถรัตน์) อย่างเดียว ผมรักพ่อ ไม่เคยอาฆาตพยาบาทพ่อ และผมไม่ขอพูด ขอให้ต่างคนต่างอยู่ เอาเวลาไปคิดชื่อแพนด้าดีกว่า" น้องเพชรกล่าวประชด




ผู้สื่อข่าวถามเกี่ยวกับมรดกของแม่ว่าจะทำอย่างไรต่อไป นายสรภพกล่าวว่า

คงต้องเดินหน้าตรวจสอบมรดกของแม่ต่อไป ส่วนจะมีอะไรบ้างไม่ทราบ คงต้องถามทนายที่จัดการเรื่องนี้ ส่วนที่พ่อแจ้งความนั้น คงไม่ฟ้องกลับ หรือแจ้งความกลับแต่อย่างใด เพราะอยากจะทำอะไรก็ทำไป หลายครั้งที่พ่อไปพูดตามรายการต่าง ๆ ขอให้ทุกคนไปตรวจดู ว่าพูดไม่ตรงกันสักครั้ง ถามว่าจะมีการไกล่เกลี่ยกับพ่อหรือเปล่านั้น เรื่องนี้บอกไปแล้วว่าให้ต่างคนต่างอยู่

"ผมไม่ได้หมายความว่าจะตัดขาดจากความเป็นพ่อเป็นลูกกัน ส่วนเรื่องนามสกุลกับชื่อ ยังไม่มีความคิดที่จะเปลี่ยน

หรือไม่คงต้องไปดูว่าชื่อนี้ นามสกุลนี้ทำให้ผมซวยหรือเปล่า ตัวคุณพ่อเป็นถึงผู้นำของกลุ่มอารยะ ที่เชียงใหม่ ผมอยากจะให้พวกเขาตรวจเช็กคนของเขาเองว่าเป็นยังไง ตัวผมเองพร้อมที่จะรับการตรวจสภาพจิต แต่ขอให้พ่อมาตรวจพร้อม ๆ กัน และขอหมอที่เป็นกลาง ทุกอย่างจะได้ประจักษ์ว่าความจริงมันคืออะไร และอยากบอกไปถึงคุณโอ๊ต (นางสิริกร อินพรหม ภรรยาไกรสร) ว่าจะพูดอะไร ให้คิดและระวังคำพูดด้วย เพราะทุกวันนี้ยังใช้เงินของแม่ และอยู่บ้านของแม่ผมอยู่" นายสรภพกล่าว

ด้าน น.ส.ธิดารัตน์  กล่าวถึงการดำเนินการฟ้องร้อง หลังจากถูกนายไกรสรฟ้องว่า ได้เดินทางไปแจ้งความดำเนินคดีกับนายไกรสร และภรรยาแล้วในเช้าวันเดียวกันนี้ แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด

"อยากจะบอกไปถึงคุณโอ๊ต ให้นึกว่าถ้าตัวเองมีลูกสาว แล้วลูกสาวถูกพูดแบบนี้ จะมีความรู้สึกอย่างไร ทั้งที่เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง อยากให้คุณโอ๊ตยุติการพูดเรื่องนี้ ส่วนการดำเนินคดีก็ให้เป็นไปตามกฎหมาย เพราะเราพูดความจริง ก็ไม่ต้องกลัวอะไร" น.ส.ธิดารัตน์กล่าว

ก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 11.00 น.ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ จ.เชียงใหม่ นายไกรสร พร้อมด้วยนางสิริกร อินทร์พรหม ภรรยา แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมาได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.สันทราย จ. เชียงใหม่ เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายสรภพ ลีละเมฆินทร์ หรือ "น้องเพชร" บุตรชาย น.ส.ฐิติรัชต์ รักปุณยะเกียรติ หรือ " น้ำอ้อย" แฟนสาว และนางสุพรรณี สุประการ แม่บุญธรรม ในข้อหาหมิ่นประมาท และขอยืนยันกับสื่อมวลชนอีกครั้งว่า ตั้งแต่น้องเพชรเกิดมาก็เลี้ยงลูกมาด้วยความทะนุถนอม บางครั้งยังรู้สึกผิดที่ทำดีเกินไป เพราะช่วงชีวิตที่ผ่านมาได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูก อีกทั้งยังพาไปเรียนต่างประเทศ

นายไกรสร กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น

แต่หลังจากกลับมาประเทศไทยเมื่อน้องเพชรอายุ 17 ปี และเข้าเรียนที่โรงเรียนนานาชาติเชียงใหม่ น้องเพชรพบกับแฟนคลับคนหนึ่งที่ จ.เชียงราย โดยแฟนคลับคนนี้บอกกับน้องเพชรว่า น้าสาวอยากรู้จัก จึงเอาอีเมลของน้องเพชรให้น้าสาวคนนี้ไป ซึ่งมาทราบภายหลังว่าน้าสาวคนนี้ก็คือ น.ส.ฐิติรัชต์ ซึ่งหลังจากรู้จักกับ น.ส.ฐิติรัชต์ น้องเพชรเริ่มเปลี่ยนไป กระทั่งหนีออกจากบ้านไปอยู่ด้วยกัน




"รู้สึกโกรธที่น้องเพชรออกมาพูดว่าพ่อฆ่าแม่ แต่ก็คิดว่าไม่ถือสา คิดว่าคงจะพูดเอาใจแฟนและแม่ยาย

แต่สุดท้ายที่ออกมาพูดว่าผมล่วงละเมิดทางเพศ มันเป็นอะไรที่เจ็บปวดมาก คิดว่าลูกอาจต้องการให้ทุกคนเกลียดผมแล้วมารักลูก ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีแพทย์ที่โรงพยาบาลรามาและอีกหลาย ๆ คน บอกว่า น้องเพชรไม่ปกติ มีใครบางคนทำให้สมองน้องเพชรไม่ได้คิดด้วยตัวเอง ต้องรีบเข้าไปช่วย หมอบอกว่าอันตราย 3-4 ปี ยังเป็นขนาดนี้ หากปล่อยให้นานกว่านี้ อาจถึงขั้นฆ่าตัวตายหรือฆ่าพ่อได้" นายไกรสร กล่าว

นายไกรสร กล่าวทั้งน้ำตาว่า รู้สึกเจ็บปวดที่สุดที่ต้องมาฟ้องลูกของตัวเอง แต่จำเป็นต้องทำ เพื่อให้อำนาจทางกฎหมายเอาน้องเพชรเข้าสู่กระบวนการทางการแพทย์

เพื่อให้แพทย์เข้ามาดูแลโดยเร็วที่สุด เพราะไม่มีวิธีอื่นดีกว่านี้แล้ว ทั้งนี้ยืนยันว่า ทุกคนในครอบครัวต้องการนำน้องเพชรกลับมาสู่สังคม เป็นคนเดิม จึงขอวอนแพทย์ที่เกี่ยวข้องตรวจดูว่า อาการหนักถึงขั้นไหน และช่วยรักษาลูกให้ถึงที่สุดก่อนจะแย่ไปกว่านี้ แต่หากผลตรวจออกมาว่า น้องเพชรอาการปกติ ต้องก็ถือว่า พ่อเป็นคนผิดปกติ ต้องเอาไปรักษาเช่นกัน ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้น เชื่อว่า หากวันไหนที่น้องเพชรคิดเองได้ ทุกอย่างจะจบลงด้วยดี

ด้านนางสิริกร กล่าวว่า รู้สึกเห็นใจคนเป็นพ่อที่ต้องมาเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ตลอดเวลาสามีกลัวการถูกพรากลูกมากที่สุด ทั้งนี้ยืนยันว่า

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้สร้างกระแส หรือหวังผลประโยชน์อะไร ส่วนที่ น.ส.ฐิติรัชต์ บอกว่าให้ขอโทษที่ออกมาพูดพาดพิง คิดว่าไม่จำเป็น เพราะทุกคำพูดพูดด้วยความจริง หากจะฟ้องให้เอาหลักฐานมายืนยัน

ด้าน รศ.นพ.ไพรัตน์ พฤกษชาติคุณากร ผู้เชี่ยวชาญจิตเวชศาสตร์และเวชศาสตร์ครอบครัว กล่าวให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องอาการทางจิตว่า สิ่งที่เกิดขึ้นต้องดูว่าความคิด ตรงนี้มาจากไหน ต้องดูองค์ประกอบว่า การพูดแบบนี้มาจากการเจ็บป่วยหรือไม่ หรือหากป่วยจริงต้องดูว่าเป็นโรคอะไร ทั้งนี้การบำบัดต้องใช้เวลาต้องมีกระบวนการทางจิตเวช ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีใครว่า น้องเพชรป่วย แต่เป็นเพียงตั้งข้อสงสัย

ส่วนกรณีของน้องเพชรเบื้องต้นดูแล้วว่า เด็กยังไม่เป็นผู้ใหญ่จริง ๆ ความคิด คำพูด การตัดสินใจอาจยังไม่เหมาะสม แม้จะได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี แต่อาจมีสาเหตุอื่นหลายด้านที่ทำให้เปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจ และอารมณ์ เพราะที่ผ่านมายังไม่ใครรู้ว่า

ช่วงที่หายไปจากครอบครัว มีองค์ประกอบอะไรมาเสริมในช่วงนั้น เช่น มีแอลกอฮอล์ อินเทอร์เน็ต ฯลฯ  ส่วนอารมณ์ชั่ววูบที่น้องเพชรพูดออกมาอาจถือเป็นการเบี่ยงเบนได้ชนิดหนึ่ง


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์