ดูแล้วบอกต่อ : เสือร้องไห้

ดูแล้วบอกต่อ : เสือร้องไห้

ช่วงนี้รู้สึกกระแสเรียลลิตี้บ้านเราจะมีเยอะมาก เอะอะอะไรก็เรียลลิตี้ตลอดเวลา สงสัยคนไทยเริ่มเบื่อกับการที่ต้องสวมหน้ากากเข้าหากันซะแล้วละมั้งเนี่ย ! หรือไม่คนไทยคงอยากหาอะไรแปลกใหม่ให้กับตัวเองมากกว่า

ล่าสุดมีหนังแนวเรียลลิตี้ฟิล์มเรื่องแรกออกมาให้ได้ชมกันแล้ว นั่นก็คือ เสือร้องไห้ ซึ่งจริง ๆ แล้วหนังเรื่องนี้ถ่ายทำก่อนที่กระแสเรียลลิตี้จะมาเสียอีก โดยผู้กำกับ สันติ แต้พานิช ได้ใช้เวลาในการเก็บภาพเรื่องราวของคนอีสานที่สู้ชีวิต 5 คนนานถึง 1 ปีเต็ม ๆ ลองคิดดูเอาเองแล้วกันว่า อดทนขนาดไหน

พูดตามตรงว่า ดูครั้งแรกแล้วรู้สึกเหมือนดู คนค้นฅน ยังไงยังงั้น ผู้กำกับ สันติ ตัดต่อเรื่องราวได้ต่อเนื่อง เป็นเรื่อง ๆ ไป ทำให้คนดูเข้าใจง่ายขึ้น สมแล้วที่ใช้เวลาในการตัดต่อนานถึง 1 ปีเต็ม ยอมรับว่า เรื่องนี้ดูแล้วสะท้อน ให้เห็นความสู้ชีวิตของคนอีสานมาก โดยเฉพาะชีวิตของ แมน หัวปลา และ เนตร อินทรีย์เหล็ก ถ้าเป็นไปได้อยากให้คนอีสานตบเท้าไปดูหนังเรื่องนี้กัน หนังอาจจะไม่สนุก ตื่นเต้น เร้าใจ แต่มันเป็นอะไรที่สะท้อนให้เห็นการต่อสู้ชีวิตของคนอีสานได้เป็นอย่างดี

คนไทยทั่วไปก็น่าจะไปดูนะ โดยเฉพาะคนที่มักตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่า ทำไมชีวิตของเราถึงลำบากอย่างนี้ ? ถ้าคุณไปดูชีวิตคนเหล่านี้ จะทำให้คุณรู้สึกว่า เราลำบากไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเขาเลย.


ป๋าเต็ดเชื่อ เสือร้องไห้ ดูสนุก-ซึ้ง-อิน หลุดโลก

ได้รับการขนานนามว่าเป็น ป๋าของเด็กแนว ไปซะแล้ว สำหรับ ป๋าเต็ด-ยุทธนา บุญอ้อม หนึ่งในผู้ดูแล หนังในโครงการยักษ์เล็ก อย่าง เสือร้องไห้ เรียลลิตี้ ฟิล์ม ที่บอกเล่าเรื่องราวการสู้ชีวิตของคนอีสาน 5 คน โดย สันติ แต้พานิช รับอาสานำเรื่องราวเหล่า 2 นั้นมาถ่ายทอด ซึ่งป๋าเต็ดกล่าวถึงความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้ว่า

แต้เขาอยากทำหนังในโครงการยักษ์เล็ก แต่เขาไม่อยากกำกับ ไม่อยากมีบทมาแล้วนักแสดงก็แสดงตามบท แต่เขาอยากเล่าเรื่องโดยที่ไม่ต้องมีคนกำกับ เล่าเรื่องของคนจริง ๆ เสือร้องไห้ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของคนที่ต้องต่อสู้กับอุปสรรคมากมาย เพื่อไปให้ถึงฝันของตัวเอง เขาจะไปใช้ชีวิตร่วมกับผู้คน เพื่อที่จะเก็บเรื่องราวมาเล่าภายใน 1 ชั่วโมงครึ่ง ฟังแล้วเราก็รู้สึกตื่นเต้น ตอนนั้นผมกำลังบ้าหนังสารคดี แล้วรู้สึกว่าบ้านเรายังไม่มีหนังสารคดีที่ทำเพื่อเข้าฉายในโรงใหญ่จริงจังก็น่าจะเป็นโอกาสดี เพราะโครงการยักษ์เล็กเองเปิดโอกาสให้วิธีคิดใหม่ ๆ ได้เกิดขึ้นจริง จุดแรกที่ทำให้หนังน่าสนใจคือมันเป็นหนังสารคดี เราได้เห็นความจริงของทุกสิ่งที่อยู่บนจอ ไม่มีการกำกับ ไม่มีบทภาพยนตร์ ทุกสิ่งที่เห็นมันคือเรื่องจริงทั้งหมด สองคือ ถึงแม้ว่าจะเป็นหนังสารคดี แต่เนื้อหามันว่าด้วยชีวิตคนที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา ยิ่งคนที่มีชีวิตใกล้เคียงกับตัวละคร ยิ่งเข้าใจมาก ซึ่งคนที่เป็นอย่างในหนัง ในประเทศไทยมีเยอะเหลือเกิน ทำให้เราค่อนข้างมั่นใจว่า นี่จะเป็นหนังที่ผู้คนน่าจะให้ความสนใจ เรื่องอยู่ใกล้ตัวเรามาก บางครั้งมันเป็นเรื่องของเราเองด้วยซ้ำไป สามารถแทนตัวเองเข้าไปในหนังได้เลย ผมเห็นหลายคนดูหนังเรื่องนี้แล้ว อินแบบหลุดไปเลยก็มี.


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์