ดาวต่างมุม:อ้วน-มณีนุช ชีวิตกับเสียงดนตรี

ดาวต่างมุม:'อ้วน-มณีนุช' ชีวิตกับเสียงดนตรี

“ครู” หลายคนตั้งใจเรียนมาเพื่อที่จะเป็น     “ครู” แต่มีบางที่ไม่ตั้งใจจะเป็นครู แต่กลายเป็นครูที่รักของลูกศิษย์หลายต่อหลายคนเช่น “ครูอ้วน มณีนุช เสมรสุต” จริง ๆ ผู้หญิงคนนี้เกิดมาเพื่อเป็นนักร้องและเรียกว่าเป็นคนแรกของประเทศไทยที่ โกอินเตอร์ แต่สุดท้ายเส้นทางที่ผู้หญิงคนนี้เลือกที่จะอยู่กับมันคือคำว่า “ครู” ซึ่งทำไมเธอถึงตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้วันนี้ ครูอ้วน มาเปิดใจกับเราใน “ดาวต่างมุม” อย่างหมดใจ


? มีคนบอกว่าครูอ้วนเกิดในครอบครัวที่เรียกว่าอินเตอร์เลยทีเดียว ?


"จริง ๆ อาจจะพูดได้ว่า เราอยู่ในสภาพแวดล้อมลูกผสมอย่างรุนแรงมากกว่า แต่ว่าที่บ้านเรียกว่าโรแมนติกมาก เพราะว่าบ้านติดทะเล เมื่อสี่สิบห้าสิบปีที่แล้วมันยังไม่มีอะไรมากมาย พ่อก็ไปบุกเบิกทำบ้านกลายเป็น    รีสอร์ต ตอนนั้นอู่ตะเภายังมีชีวิต เสาร์-อาทิตย์ ฝรั่งก็มาทำบาบีคิวกินกัน เราโตมาแบบเห็นท้องฟ้า ทะเล ถือว่าเกิดมาในสิ่งแวดล้อมดีมาก ส่วนเสียงเพลงอ้วนคิดว่ามันเข้ามาในตัวเราตั้งแต่เด็ก แล้วพอได้เข้ามาเรียนที่ในกรุงเทพ คือโรงเรียนศรีวิกรม คุณครูเปิดโอกาสให้เราได้ร้องเพลงและกลายเป็นที่ยอมรับของเพื่อน ซึ่งตรงนั้นมันเป็นอะไรที่ทำให้เราสร้างความเชื่อมั่น สร้างพลังใจให้เราเป็นอย่างดี"


? เข้ามาสู่วงการเพลงได้ยังไงค่ะ?  

 "ปี 2521 ไปประกวดนักร้องสมัครเล่น ทางช่อง 3 ที่กิจกรรมร่วมกับทางฮ่องกง อันนั้นทำตามเพื่อนสั่ง เพื่อนเอาชื่อเราไปลง ก็ต้องไปประกวด โดยที่ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรกันบ้าง แต่สุดท้ายก็เข้าไปจนถึงรอบสุดท้ายและได้ไปประกวดที่ฮ่องกง และได้เป็นนักร้องดีเด่นของเอเชีย ทุกอย่างเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลา 3 เดือน แล้วพอเปิดเทอมกลับมาเรียนหนังสือตามปกติ แต่กลับไปเรียนคราวนี้ไม่เหมือนเดิม จำได้วันที่ขึ้นรถเมล์ คนมองเราทั้งคันรถ วันนั้นรู้สึกกลัวมาก กลับบ้านเลย กลับมาถึงบ้านแม่ก็ให้ความคิดว่าเราเป็นคนมีชื่อเสียงแล้วนะ แม่ก็สอนให้ยิ้ม เจอใครก็ยิ้มไว้ วันที่แม่พูดอย่างนั้น เรารู้แล้วว่าเราต้องทำยังไง แต่เราก็ยังเป็นตัวเราอย่างธรรมชาติอยู่"


? การออกเทปชุดแรกตอนนั้นถือเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเลยหรือเปล่าคะ? 


 "คือจริง ๆ ตอนที่ออกเทปไม่รู้อะไรเลยอยู่ในอารมณ์ที่ไม่รู้จริง ๆ นะว่ายังไง แต่เรารู้สึกวันที่มันออกมาเป็นแผ่น ตอนนั้นมันรู้สึกว่าแผ่นของเราไปวางคู่กับ "ดาวใจ ไพจิตร" โอ้โห้....มันเจ๋งจริง ๆ เลย แค่นั้นแหละจบแล้ว แต่มาตื่นเต้นก็ตอนที่จะขึ้นคอนเสิร์ต อ้วนก็ใช้ชีวิตอยู่วงการเพลงมาได้สักสองปี สติเริ่มตั้งได้ว่าชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร พื้นฐานของครอบครัวเรามีกฎเกณฑ์ก็คือการศึกษา เราต้องเรียนหนังสือ เลยค้นหาสถานที่เรียน ที่มันเกี่ยวกับการใช้เสียงที่ต่างประเทศก็ตัดสินใจไป บอสตัน ที่สหรัฐอเมริกา


 การเรียนที่โน้นค่อนข้างยาก เพราะเขาเรียนกันมาตั้งแต่เด็กเราไปแรก ๆ เนี้ยเรารู้สึกว่าเราไม่รู้อะไรเลย ต้องตั้งใจเยอะมาก และไม่มีเวลาที่จะท้อ จะคิดถึงบ้าน อีกอย่างเราไปเพราะว่าเราตัดสินใจที่จะไปเอง และต้องเรียนให้จบ ภายใน 4 ปี เพราะมีงานรอเราอยู่ แต่ช่วงซัมเมอร์กลับมาทำงานไป 2 อัลบั้ม คือ " รักใหม่ของเพื่อนเก่า" กับ"คิดถึง" ในช่วง 2 ปีแรก


 พอเราเรียนไปเราก็เริ่มมีความคิด และความคิดของเราก็ไกล แต่ตลาดเพลงเมืองไทยตอนนั้นมันยังไม่ใช่ ตอนนั้นเราอยากจะทำ แจซซ์ ตลาดรับไม่ได้ ก็เปลี่ยนมาเป็น อาร์แอนด์บี ซึ่งพอผ่านมาจากนั้น 7 ปี แนวเพลงพวกนั้นมาแรงมาก และสิ่งที่ทำให้อ้วนคิดว่าเราไม่เหมาะแล้ว ก็ตอนไปร้องเพลงงานประกวดนางสาวไทย ไปร้องเพลงของ วิทนีย์ ฮูสตัน คนเงียบทั้งงาน พอเราลงเวทีลงมา เราคิดเลยว่าเราไม่ใช่แล้ว แต่เรามีอะไรในตัวเราเยอะ ต้องหาทางปล่อยมันออกมา ซึ่งตอนนั้นพอดีทางช่อง 3 ชวนมาให้สอนน้อง ๆ ทางช่อง 3 และจากนั้นก็กลายมาเป็นสถาบันสอนร้องเพลง ทำให้เราคิดว่าเส้นทางนี้เป็นอาชีพหลักให้เราได้  อ้วนรู้สึกว่าเวลาที่เรายืนอยู่หน้าเวทีเราไม่มีความสุข เท่ากับเรายืนอยู่เบื้องหลัง เราอยู่กับเด็ก ๆ แล้วเรามีความสุข จากนั้นอ้วนก็เริ่มสร้างหลักสูตร พัฒนาโรงเรียนจนกลายมาเป็น "สตาร์เมกเกอร์" จนทุกวันนี้"


?แล้วไปออกอัลบั้มที่แคนาดาได้ยังไง เรียกว่าโกอินแตอร์คนแรกนะคะ ?


"มันน่าจะเป็นจังหวะ ในช่วงที่เราทำโรงเรียนนี้แหละ ต้องไปศึกษาเสียงในหลาย ๆ แนว เพื่อเอากลับมาสอน เลยติดต่อเอเจนซี่ให้หาที่เรียนให้ 5 แห่ง ภายในเวลา 14-15 วันที่เราไปอยู่ที่โน้น พอไปถึงเขาก็หาให้เราได้ 4 แห่งแล้ว แต่สุดท้ายเขาหาให้เราไม่ได้ เขาเลยไปรับงานจากค่ายเพลงมาให้เราค่ายหนึ่ง เขาก็เชียร์อยู่นั้นแหละลอง  ดู ๆ ไปแค่คุย ๆ เท่านั้นเอง ก็คุยไปคุยมากลายเป็นหลงรักเราขึ้นมา ก็ทำเพลงขายภายในแคนาดา แต่การตลาดเขาขยายกว้างออกไป ก็เลยกลายเป็นว่าได้โกอินเตอร์กับเขา 


 จริง ๆ เขาอยากจะให้เราทำงานต่อไปเรื่อย ๆ แต่ว่าตอนนั้นเราอายุ 32 เข้าไปแล้ว แต่เขาออก   ข่าวไปว่าเราอายุยี่สิบต้น ๆ และตัวเราเองพออายุ 32 เราก็เริ่มมีปัญหาเรื่องสุขภาพ เข้าโรงพยาบาลถึงได้รู้ว่าปีกมดลูกเราเป็นซีสต์ใหญ่มาก ต้อง    ผ่าตัดห้ามออกกำลังกายและอ้วนยอมรับในสภาพร่างกายของเราตามความเป็นจริง งานเพลงชุดที่สองที่เขาส่งมา มันต้องลดอายุของเราลงไปเป็นสิบกว่า ๆ และการที่เราจะเข้าชาร์ปเราต้องเด็ก และเราต้องเต้นเยอะ ตอนนั้นเราก็มีธุรกิจของเรา เราก็มาคิดว่าเราคงไม่ใช่แล้วละ ไม่ใช่เราแล้วเลยตัดสินใจไม่ทำ หลายคนมองว่ามันน่าเสียดาย แต่จริง ๆ แล้วอ้วนว่าถ้าเราก้าวเข้าไปแล้ว แต่ถ้าเราทำไม่ดีเราเองนี่แหละที่จะเจ็บปวดที่สุด ถ้าเราไม่ชัวร์เราว่าเราไม่ทำดีกว่านะ 


 แต่วันที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตอยู่ในช่วงที่จะไปประกวดร้องเพลงที่ฮ่องกง ก็ปรากฏว่าคุณพ่อเครื่องบินตก ชีวิตมันน่าจะสิ้นสุดตอนนั้น เหมือนเบื้องบนจะทดสอบเรา ว่าเราจะแข็งแกร่งไหม คุณพ่อมีโอกาสได้รับพระราชทานเพลิง ซึ่งการพระราชทานเพลิงเมื่อมีการกำหนดมาแล้วก็ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง  พ่อเสียใจเราครึ่งหนึ่งไปแล้วนะ ไม่เอาแล้วไม่ไปประกวด คิดว่ามันเป็นเพียงแค่กิจกรรมหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ปรากฏว่าทางช่อง 3 คุณประชา มาลีนนท์ เขาก็บอกให้ลองคิดดูนะว่าจะตัดสินใจจะเอายังไง พอกลับบ้านแม่ก็พูดกับเราอีกว่า อ้วนต้องแข็งแรงให้เร็วนะ แม่ถามว่าจะไปไหวมั้ย คำว่าจะไปไหวมั้ย แม่ไม่ได้บอกว่าให้เราต้องไป แต่ให้เราคิดเอาเอง เราควรต้องไปงั้นเหรอ คำว่าไหวคืออะไร ไม่ไหวคืออะไร ถ้าไม่ไหวก็คือเรายังร้องไห้อยู่ เพราะถ้าร้องไห้ เราก็ร้องเพลงไม่ได้ แล้วถามต่อว่าเราจะร้องไห้ไปอีกกี่วัน 


 แล้วพอวันพระราชทานเพลิงกำหนดมา มันเป็นวันออกมาแล้ว ซึ่งมาตรงกับวันที่เราจะต้องเดินทางไปประกวดร้องเพลงพอดี ตอนนั้นมันแบบจะเลือกอะไรล่ะ เลือกที่จะไปประกวดร้องเพลงหรือว่าเลือกที่จะอยู่เผาพ่อ ซึ่งมันไม่สามารถที่จะเอามาเปรียบกันได้เลย คิดว่ายังไงก็จบ แม่ก็รู้แล้วว่าตัดสินใจยังไง แต่แม่ก็เรียกมาคุย บอกว่า "พ่อก็สิ้นชีวิตไปแล้ว แต่เรายังต้องมีชีวิตอีกยาวไกลนะลูก ถ้าเราหยุดชีวิตของหนูวันนี้ หนูทำให้พ่อฟื้นได้มั้ย" พูดเสร็จเขาก็เดินเข้าห้องนอน ทิ้งให้เราคิด สุดท้ายอ้วนก็ตัดสินใจไปฮ่องกง


"ความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตคืออะไร คืออ้วนไม่มีโอกาสได้เผาพ่อ มันเจ็บปวดมั้ย ทุกครั้งวันนี้ที่เราไปงานศพ ไปเผาใครก็ตาม อ้วนคิดว่ามันคือความเจ็บปวดตลอดชีวิตของอ้วนที่ไม่มีวันที่จะหาย เราไม่มีโอกาสที่จะได้เผาพ่อเรา? แต่ว่าวันดีคืนดี เรามานั่งนึกว่าพ่อเราเขาเก่งจังเลยนะ เขาทำให้เราเกิดสองครั้ง เพราะ ถ้าเราไม่ไปวันนั้น ชีวิตเราไม่รู้จะยังไงนะ วันนี้มันเหมือนมีความเจ็บปวดอยู่ในความภูมิใจ เราต้องชมเลยว่าทั้งพ่อและแม่ของเรา เขา มีความแข็งแรงและแข็งแกร่งมาก


 จากตรงนั้นมันทำให้คิดนะ และระลึกไปถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ท่านบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเราเอง เราจะไม่ยึดติดกับสิ่งใดทั้งสิ้น เราต้องเดินไปบนเส้นทางของเราอย่างมีสติ"


?แล้วตอนที่ไปอยู่ที่ฮ่องกง ตอนนั้นคิดอะไรและมีความรู้สึกยังไง ?


 ?คือตอนนั้นจำอะไรไม่ได้เลย ซึ่งอันนี้อ้วนก็ไม่ค่อยได้พูดกับใครนะ ตอนนั้นบอกตรง ๆ ว่าจำอะไรไม่ได้เลยจริง ๆ จำได้อีกทีก็ตอนที่อ้วนนั่งอยู่ที่ห้องวีไอพี แล้วเห็นคณะของสื่อมวลชนอยู่ข้างหน้า นาทีนั้นถึงจำได้เพราะว่าแฟลชเยอะมาก แต่ก่อนหน้านั้นเราจำอะไรไม่ได้จริง ๆ ซึ่งทางการแพทย์เขาบอกว่าเราอยู่ในช่วงเวลาช็อก"


??ขออนุญาตถามเรื่องความรักบ้าง ทำไมครูอ้วนถึงประคองตัวเป็นโสดจนถึงวันนี้ ?


"อ้วนเคยมีความรัก และคาดหวังกับความรักเหมือนกับผู้หญิงทั่ว ๆ ไป มีคนรัก มีคนที่เราจะใช้ชีวิตการแต่งงานด้วย และมีลูก ฝันเยอะเหมือนกัน และเรามีโอกาสได้มีอย่างนั้นตามความคิด แต่มาวันนี้เหมือนโบราณเขาพูดไว้นะ ว่าเราโชคไม่ดีว่าที่เราไม่สามารถจะมีอย่างนั้นได้ ถามว่าเราประคองตัวมาอย่างนี้หรือเปล่าที่จะไม่มี ไม่ใช่เพียงแต่ว่าเราคงจะเจอแบบฝันร้ายมั้ง การฝันร้ายเป็นสิ่งที่เรากลัว จนบางครั้งเรากลัวที่จะหลับตา กลัวที่จะฝันอีก เพราะฉะนั้นเราก็ต้องพยายามหลับอย่างมีสติ เหมือนวันนี้เราอยู่อย่างมีสติ 

อ้วนคิดว่าในวันนี้อ้วนอายุเท่านี้แล้ว เหมือนโบราณพูดว่า อยู่มาคนเดียวตั้งนานแล้ว ถ้าเราต้องอยู่ในชีวิตคู่เราจะเป็นแบบไหน เพราะเราอยู่อย่างโดดเดี่ยว อย่างมีความสุข มาตั้งนานแล้ว ถ้าเราจะมีคู่เราจะมีความสุขมั้ย  เรามีครบทุกอย่างแล้ว เพราะฉะนั้นถามว่าเรามีคนรักมั้ย เรามีคนรักเยอะ ก็เลยรู้สึกว่าเหมือนเรามีครอบครัวแล้ว แต่ถ้าเราจะขาด เราขาดแค่ผู้สืบสกุล แต่บังเอิญเบื้องบนตอบโจทย์นั้นไปแล้วเพราะเมื่อสองปีก่อนอ้วนผ่าตัดมดลูกไปเพราะว่ามันซีสต์ในมดลูก เพราะฉะนั้นก็จบเราจบอย่างมีความสุข"


?เรียกว่าเจ็บแล้วจำหรือเปล่าคะ เลยไม่เปิดใจรับใครเข้ามาในชีวิตเลย ?


 ?น่าจะเป็นเหตุผลคือ คนเราคาดหวังสร้างแล้วเราผิดหวัง การผิดหวังมันมีหลายรูปแบบ ผิดหวังด้านความคิด ด้านการกระทำ ด้านหัวใจ มันทำให้เราต้องมีเหตุผลที่จะต้องอธิบายกับร่างกายที่มันเจ็บปวด เพราะฉะนั้นเมื่อเราหาเหตุผลมาตอบมันแล้วเนี้ย เราต้องกระทำต่อมันด้วยนะ และยอมรับมันว่าเราไม่สามารถที่จะก่อร่างสร้างให้เป็นครอบครัวได้ เพราะฉะนั้นเราต้องอยู่ไปตามเงื่อนไข และควรเป็นไปตามสถานภาพ ตามเหตุผล และต้องอยู่อย่างมีความสุข ในวันนี้เราไม่โหยหาความรัก เพราะเราได้รับทุกวันอยู่แล้ว แต่ถ้าวันนี้จะให้เรามีชีวิตครอบครัวเราคงคิดหนักเหมือนกัน"


  ถือว่าเป็นผู้หญิงที่มีทางเลือกของตัวเองอย่างชัดเจนและมีความสุขกับสิ่งที่เลือกทำในทุก ๆ อย่าง ถึงแม้ชีวิตจะขาดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ทำให้เธอคนนี้มีความสุขลดน้อยลงได้เลย.

คนกลาง : เรื่อง
อมรรัตน์ สีม่วง : ภาพ



เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์