ชีวิตที่ไม่ต้องโหยหารัก พิ้งกี้-สาวิกา

ยิ่งโต ยิ่งสวย คงไม่มีใครปฏิเสธความน่ารักของสาวมากความสามารถอย่าง พิ้งกี้-สาวิกา ไชยเดช นางเอกนัยน์ตาคม แห่งวิก 7 สี

ไปได้ เรียกว่าฮอตไปทุกอย่าง ทั้งเรื่องงานและเรื่องข่าวคราว ที่ถูกจับตาแทบจะทุกฝีก้าว ขนาดบินไปเที่ยวกับก๊วนเพื่อนถึงแดนปลาดิบ ก็ไม่วายมีข่าวกับพระเอกหนุ่มรุ่นพี่ อั้ม-อธิชาติ ชุมนานนท์ ที่กำลังตามจีบขอปลูกต้นรักข้ามค่ายอย่างขะมักเขม้น
 
จากกระแสความแรง ทำให้ “ดาวต่างมุม” ต้องเอื้อมไปคว้า      “ดาวจรัสแสง” ดวงนี้มาโฟกัสให้แฟน ๆ ได้สัมผัสถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอผู้นี้ เพราะเท่าที่จำความได้ สาวพิ้งกี้ ได้เข้าสู่เส้นทางบันเทิงตั้งแต่วัยเยาว์แล้ว แถมผ่านงานมาหลากหลายรูปแบบ ทั้งเป็นนักร้อง นางแบบ นางเอก เป็นต้น เรียกว่ามาถึงตอนนี้คิวฮอต คิวร้อนกันเลยทีเดียว
 
เพื่อไม่ให้เสียเวลา มายิงคำถามแรกทำความรู้จักกับสาวสวยคนนี้กันเลย...



ตอนนี้พิ้งกี้มีงานอะไรบ้าง ?
  
“ละคร “เธอคือชีวิต” ที่เพิ่งจบไป แล้วเดือน มิ.ย.นี้ กำลังจะเปิดกล้องละครอีกเรื่องค่ะ แต่ยังไม่ทราบว่าเรื่องอะไร นอกนั้นก็มีงานถ่ายแบบ เดินแบบ งานโชว์ตัวก็จะมีเรื่อย ๆ ค่ะ”
 
อยู่วงการบันเทิงมากี่ปีแล้ว ?
  
“12 ปีแล้วค่ะ เริ่มจากการเป็นนางแบบเด็ก ๆ แบบจับพลัดจับผลูเข้ามา ตอนนั้นไม่ได้รู้เรื่องการแสดงว่ามันคืออะไร และไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรนะ ตอน นั้นขี้อายด้วยซ้ำ ยิ่งพอเข้าวงการมาเพิ่งจะมาคิดได้ด้วยซ้ำว่านี่เราเป็น “ดารา” คือ เพิ่งมารู้สึกตัวเมื่อไม่นานมานี้เอง ประมาณ 3-4 ปีที่ผ่านมาค่ะ อ๋อ! นี่เราเป็นดาราแล้วนะ ซึ่งก่อนหน้านั้นคิดแต่ว่าเราเป็นเพียงเด็กผู้หญิงคนนึง  เท่านั้น”
  
แล้วคิดมั้ยว่าทำงานตั้งแต่เด็กขนาดนี้ ช่วงนี้วัยรุ่น ของเราได้หายไป เหมือนต้องทำงานตลอด ?

 
“รู้สึกว่ามันหายไปเลยล่ะ รู้สึกว่า ณ ตอนนั้นน่ะ เราจะรู้สึกว่า อยากเหมือนคนอื่น แต่พอเรามองกลับตอนนี้ ที่เรามองกลับไป คือ เราได้สิ่งต่าง ๆ เยอะมาก แล้วมันหลายอย่าง เมื่อมองกลับไปเราผ่านอะไรมาเยอะมากนะ” 


ช่วงชีวิตมันแลกกับเงินที่เราหามาจากการทำงานเยอะ ๆ ใช่มั้ย ?
 
“ที่จริงเรื่องเงินหนูไม่เคยเห็นแก่เงินเลยนะ คือ เราไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเรา เรารู้สึกว่าตอนนี้เราไม่อดตายแค่นั้นพอแล้ว รู้สึกว่ามีกิน มีใช้ ไม่ขัดสน ก็พอ ถึงแม้เราไม่ได้รวยมากเป็นพันล้าน แต่ว่ามีเงินที่สามารถให้ลูกหลานต่อไปได้ เลี้ยงคนได้หลาย ๆ คน ซึ่งตอนนี้กี้ก็เลี้ยงคุณยายเราเอง ให้เงินจุนเจือญาติพี่น้องที่เค้าไม่สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ มันเป็นการช่วยเหลือกันมากกว่า”
 
จะเรียกได้มั้ยว่ากี้เป็นเรี่ยวแรงหลักของบ้าน ?
 
“เมื่อก่อนเรารู้สึกนะ ทำไมต้องทำ แต่แม่ไม่ได้บังคับนะ แต่งานมาเยอะมาก ก็ทำใจ รู้สึกทำไมเราต้องมารับหน้าที่แบบนี้ด้วย เมื่อก่อนจะรู้สึกอย่างนั้น แต่มาปัจจุบันกี้รู้สึกว่ามันเป็นโอกาสหนึ่งในหลาย ๆ ล้านคน แต่เรามีโอกาสมายืนจุดนี้ก็รู้สึกว่าควรภูมิใจนะ แล้วถามว่าเป็นหัวเรือหลักมั้ย จริง ๆ คุณแม่เนี่ย เวลากี้ทำงาน ท่านจะถามและดูแลเราตลอดนะ เล่นละครเหนื่อยมั้ย ซึ่งท่านก็ไม่ได้บังคับว่าปีนึงจะรับกี่เรื่อง เขายังบอกเลยเล่นเรื่องเดียวพอนะ เดี๋ยวไม่ไหว แต่เรื่องของเรื่องคือกี้ต้องเรียนไปด้วยไง มันก็เหนื่อยบ้าง คุณแม่ก็บอกว่าบางทีก็ต้องตัดงานไปเยอะ เพราะกลัวลูกเหนื่อย” 


ช่วงเวลาที่ผ่านมาถือเป็นปีทองของกี้รึเปล่า กลัวหน้าช้ำรึเปล่า ?
  
“จริง ๆ มีช่วงเนี้ย เริ่มตั้งแต่กลางปีที่แล้ว งานเยอะมากกว่าปกติ บางอย่างก็ตัดไป เพราะมันทำไม่ไหว คือ ไม่ต้องโลภมากค่ะ รับงานไปเรื่อย ๆ ดีกว่า เรื่องกลัวหน้าช้ำก็กลัวนะ กี้ไม่อยากจะรับอะไรที่มันเกินไป ถ้ามันใช่กี้ก็รับงาน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพื่อนหรือพี่ที่รู้จักกันมากกว่า ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง
 
เรื่องเรียนไปถึงไหนแล้ว ?

  
“เรียนจะจบปลายปีนี้แล้วค่ะ คณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ ที่มหาวิทยาลัยรังสิต”
 
อย่างนี้ถ้าเรียนจบก็รับงานได้เต็มที่เลยสิ !

  
“กี้ก็คงใช้ชีวิตให้คุ้มค่าเลยแหละ สิ่งแรกเลยนะ แบบชีวิตไม่ชอบอยู่กับที่ มีหลายที่ที่กี้อยากไป กี้เองก็ 22 ปีแล้วนะ จะ 22 เดือนหน้า มีสิ่งที่อยากทำอีกเยอะเลย บางคนเรียนจบคงอยากอยู่กับบ้าน แต่สำหรับกี้เหมือนเป็นการเริ่มต้น นี่คือการเริ่มต้นอีกแบบนึงค่ะ นอกจากวงการบันเทิง ที่บางอย่างมันไม่ใช่ชีวิตจริง ๆ ที่เรามีอยู่ กี้ก็อยากทำในสิ่งที่กี้อยากรู้อย่างอื่นบ้าง อย่างเดือนหน้านี้มีแพลนจะไปอินเดีย ไปเรียนเต้นค่ะ นี่แค่แพลนช่วงปิดเทอมนะ เพราะกี้ชอบเต้น อีกอย่างกี้ก็ชอบประเทศนี้ด้วย มีสิ่งที่อยากเรียนรู้อีกค่ะ”


ทำงานมาเยอะขนาดนี้ อยากทำอะไรเป็นของตัวเองบ้างมั้ย ?
  
“อยากเป็นเจ้าของกิจการ กิจการในที่นี้ไม่ใช่วิชาการมาก แค่อยากเปิดร้านอะไรที่เราชอบ อาจเริ่มจากร้านเสื้อผ้าก่อน แต่ว่าหลังจากนั้นอาจจะมีไอเดียใหม่ ๆ เกิดขึ้นอีกก็ได้ค่ะ ยังเป็นอะไรที่ต้องค้นหาต่อไป ที่คิดอยากทำธุรกิจเป็นของตัวเอง เพราะคิดไว้อยู่แล้วว่าชีวิตไม่ได้อยู่กับวงการบันเทิงตลอดแน่นอน หลาย ๆ อย่างบนโลกใบนี้มันมีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะ”
  
ส่วนการใช้ชีวิตเนี่ย ครอบครัวมีตีกรอบให้กี้บ้างรึเปล่า ?
 
“ให้คุณแม่เขาตัดสิน คือ ที่ผ่านมาเรารู้แล้วแหละทำไมแม่ต้องบ่นเรา ถามทำไมต้องกลับเมื่อไหร่ ตอนนั้นเราอาจยังเด็กอารมณ์ร้อน เพราะท่านไม่ได้ปล่อยให้เราเที่ยว แต่มาถึงตอนนี้กี้รู้แล้วค่ะว่าท่านห่วงเราแค่ไหน เขาไม่ถึงกับมาจ้ำจี้จ้ำไชนะ อีกอย่างกี้ก็รู้ว่าเราเป็นลูกสาวคนเดียวด้วย ช่วงแรกอึดอัดมากนะ ทำไมเขาไม่เข้าใจเราเลย ทำไมไม่เหมือนคนอื่นเลย แต่สิ่งเหล่านั้นมันกลายเป็นเกราะป้องกันที่ดีมากนะ แม่เลี้ยงกี้มาอย่างใกล้ชิดด้วยแหละ ชัดเจนเลย ดูแลหลาย ๆ อย่าง กี้เชื่อว่าลูกจะดีได้ก็ต้องอยู่ที่แม่ค่ะ
 
นิสัยจริงของกี้เป็นคนแบบไหน ?
 
“เป็นคนสองคนค่ะ หลายอย่าง หลายอารมณ์ด้วย เป็นคนชอบสันโดษ แต่ก็ชอบปาร์ตี้ ไปเที่ยวเต้นรำ คือ จะอยู่กับตัวเราเอง ชอบฟังเพลง จะเรียกว่าสองบุคลิกก็ได้นะ หวาน เปรี้ยว ออกจะหวานก็หวาน เป็นคนราศี เมถุนไง เป็นแบบนี้แหละ แปลก ๆ งง ๆ”


แล้วอย่างนี้มีหนุ่ม ๆ กล้าจีบมั้ย มีวิธีดูแลตัวเองยังไง ถ้ามีหนุ่ม ๆ มาตามจีบ ?
  
“ก่อนอื่นคุยได้ค่ะ ควรมีวิธีที่คุยกันในลักษณะแบบไหน แค่การที่ไปกินข้าวกัน ความสัมพันธ์ก็เริ่มเรียนรู้กันแหละ เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่จริงจังกับคนนี้ กี้ก็จะไม่ออกไป ซึ่งก็จะไม่ให้ความหวังนะ คือเป็นเพื่อนก็เป็นเพื่อนไปเลย ช่วงนึงก็จะมีคนมาจีบเยอะมาก ตอนนี้ไม่ค่อยมีแล้ว กี้เองปฏิเสธไปด้วยค่ะ”
  
เวลามีคนมาจีบจะเล่าให้คุณพ่อ-คุณแม่ฟังมั้ย ?
 
“ก็ได้เป็นบางคนค่ะ คือ เฉพาะคนที่คุณแม่รู้จัก บางเรื่องเราจัดการเองได้ก็ไม่ถึงกับจะต้องเล่านะ ส่วนใหญ่จะบอกเพื่อนสนิท แต่ก็น้อยมากนะ เพราะว่าเมื่อก่อนกี้เคยโดนเพื่อนแทงข้างหลัง เลยไม่อยากจะคบกับใครมากแล้วค่ะ กี้รู้สึกว่าเราควรที่จะใช้ชีวิตให้คนที่อยู่ข้างเรามีความสุขคุ้มค่า แค่นี้พอแล้ว ก็จะปรึกษาคนที่ใกล้ ๆ ตัวนะ เพื่อน ๆ อะไรอย่างนี้”
 
แล้วเวลาคิดจะคบใคร ต้องถึงขั้นพาไปให้คุณพ่อคุณแม่เรารู้จักรึเปล่า ?

 
“ไม่ค่ะ หมายถึงถ้าหนูจะเรียนรู้ใครแล้ว ให้เขารู้เอง เรารู้อยู่แล้วล่ะ คือ คิดว่าเมื่อก่อนเราเคยจริงจังกับความรักมาก ตอนนี้กี้รู้สึกว่ากำลังโต ต้องเข้าใจเหมือนกับว่าด้วยอารมณ์ตอนนั้นยังไม่ 20 ไง เด็กทุกคนยังไม่ 20 แล้วยังไม่ออกสู่โลกกว้าง ก็เหมือนมีความรักที่ดูตื่นเต้น ความผิดหวังคนเรามันก็มีเยอะ”


ทัศนคติความรักของกี้เป็นแบบไหน ?
  
“ทุกอย่างมันไม่เพอร์เฟกต์ คือ ความรักของกี้มันไม่เพอร์เฟกต์ กี้เป็นคนเชื่อในโชคชะตาว่าสักวันนึงจะต้องเจอคนที่ใช่ ตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าใครจะเป็นคู่ของเรา ตอนนี้ถ้าคนไหนที่โอเค ไม่คิดร้ายกับใคร แล้วก็มาดีกับเรา    ไม่หวังผลอะไรกับเรา แค่นั้นก็พอแล้ว แต่ว่าเราอยากมีแฟนมั้ย บอกตรง ๆ ไม่อยากค่ะ”
 
อ้าว! ทำไมล่ะ ?

  
“มีหลายอย่าง อยู่อย่างนี้ดีแล้ว ถ้ามีก็มีเอง อาจจะมีปุ๊บเป็นแฟนเลยก็ได้ คือ บางทีมีแฟนแล้วมันปวดหัว กี้ก็ไม่อยากให้คนที่มาเป็นแฟนเราแล้ว ต้องมาเหนื่อยกับเรา มีหลาย ๆ เรื่อง แฟนเราก็จะไม่เข้าใจเรา สู้ยังไม่มีซะดีกว่า”
  
หากมีข่าวกับหนุ่มคนนั้นคนนี้ขึ้นมาล่ะ ?

  
“คุณแม่เขามองตาเราก็คงเข้าใจกี้แล้วล่ะค่ะ เหมือนว่าเห็นหน้าเราโกหกหรือว่าอะไร เค้าก็รู้แล้วล่ะ แต่ว่ากี้ไม่ได้พูด ให้เขาดูการกระทำเราต่อไปดีกว่า”
  
แปลว่าตอนนี้ไม่ได้คิดจริงจังกับใครเลยเหรอ ?
  
“กี้จริงจังกับเขาในลักษณะที่เขาให้เรามาเท่านี้ กี้ก็ให้เขากลับไปเท่านั้น เราให้ได้ที่เขาให้เรามา แต่กี้ไม่ใช่ว่าคนที่เขาเข้ามาจะไม่ดีนะ คือ เราเหนื่อยกับเรื่องอะไรแบบนี้มาแล้ว ก็ไม่อยากจะแบบว่ามีความรักที่ไม่ดีอีก”


แต่คนภายนอกมองว่าตอนนี้ กี้กำลังแฮปปี้กับความรักอยู่นะ !
  
“กี้มีคนแคร์กี้อยู่ แต่ถามว่าถ้ากี้บอกจะเป็นแฟนกับใครสักคน มันยังไม่ใช่ตอนนี้ค่ะ ไม่ใช่ว่ากี้เป็นดาราแล้วจะมาบอกแบบนี้นะ เขา (อั้ม-อธิชาติ) เป็นแค่พี่ค่ะ ถ้ามันใช่มันก็ใช่เองแหละ”
  
แล้วความสัมพันธ์ระหว่างพี่เค้ากับกี้จะพัฒนาได้มั้ย ?
  
“ก็ถ้าเขาทนได้ภายในอีก 5-6 ปีโน่น หรืออะไรก็แล้วแต่ ทุกคนนะ ถ้าใครทนได้นะ ต้องดูกันต่อไปค่ะ”
  
ถ้าเลือกได้กี้ชอบผู้ชายแบบไหน ?

  
“บุคลิกสำคัญเลยแหละ หลาย ๆ อย่าง รองมาคงความคิดเขาที่ต้องจูนติดกับเรา เออใช่คนนี้ใช่นะ แล้วก็ไลฟ์สไตล์ที่เหมือนกัน แค่นี้ก็แฮปปี้แล้ว ไม่ต้องรวยอะไรมาก แต่ก็ต้องเลี้ยงดูแลเราได้พอ มีความเป็นหัวหน้า  ครอบครัวด้วยนะ กี้เป็นคนที่ไม่ได้เพอร์เฟกต์นะ ถ้าคิดจะคบใครก็ต้องให้ใจกับคน ๆ นั้น ถ้าใครที่จะมารู้จักความเป็นเพื่อนเรา ก็ต้องให้ใจกับเรา แบบที่ไม่เคยคิดอะไรตอบแทนจากคนอื่น นี่เป็นสิ่งสำคัญเลยค่ะ”

ด้วยความที่กี้โตมาในครอบครัวที่อบอุ่นด้วยรึเปล่า ถึงอยากได้คนแบบนี้ ?
 
“ใช่ค่ะ อบอุ่นมาก จนกี้ไม่ต้องการความรักจากใครอีกแล้วไง กี้เลยรู้สึกว่าเราไม่ต้องมีความรักจากคนอื่นก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าหา แค่นี้ก็แฮปปี้อยู่แล้ว มันมีจนล้นปริ่มแล้ว จนไม่ต้องการใครแล้ว แต่ก็ต้องมีความรักแบบแฟน เรื่องนี้มันปฏิเสธไม่ได้”
 
อย่างนี้หนุ่มอั้มคงต้องขยันทำคะแนนเยอะ ๆ ซะแล้วสิ เพราะหัวใจของสาวพิ้งกี้เนี่ยไม่ใช่มอบให้ใครง่าย ๆ ซะด้วยสิ...


เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์