จา พนม เคลียร์ชัดๆ ประเด็นฉาว

"จา พนม" เปิดใจหลังโกอินเตอร์เต็มตัว สุดแฮปปี้ ยันไม่เคยลืมบุญคุณใคร ทุกคนอยู่ในใจเสมอ ลั่นขอทดแทนด้วยการทำวันนี้ให้เต็มที่

ภาพยนตร์เรื่อง Fast and Furious 7 เรียกว่ากำลังอยู่ในช่วงที่แฟนหนังชาวไทยใจจดใจจ่ออย่างหนัก ว่าจะได้ชมกันหรือไม่ หลังจากศาลมีคำสั่งให้ระงับการฉายในประเทศไทยไว้เป็นการชั่วคราว ตามที่ "เสี่ยเจียง" ได้ยื่นฟ้อง "จา พนม" ไว้ ซึ่งก็ต้องรอลุ้นกันต่อไปว่าศาลจะมีคำสั่งออกมาเป็นอย่างอื่นในภายหลังหรือไม่ อย่างไรก็ตาม "จา พนม ยีรัมย์" หรือ "โทนี่ จา" ยังมีงานภาพยนตร์โกอินเตอร์อีกเรื่องนั่นก็คือ “Skin Trade คู่ซัดอันตราย” ซึ่งเจ้าตัวได้ไปร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ที่ โรงแรมสยามเคมเปนสกี้ ไว้ก่อนหน้านี้ พร้อมกับให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนอีกครั้ง หลังห่างหายไปนานถึง 2 ปีเต็ม

โดย "จา พนม" เปิดเผยว่า " หายไป 2 ปีผมก็ไปต่างประเทศครับ ไปเตรียมงานทำหนังแล้วก็ไปเรียนภาษาอังกฤษ อยู่ที่แอดแลนต้าร์ แล้วก็ไปลอสเองเจลิส ใช้ชีวิตที่โน่นเรียนภาษาที่โน่น ในกองถ่ายก็มีฝึกภาษา แล้วก็ซ้อมคิวแอ็คชั่น เรื่องสัญญายังไม่ได้เซ็นครับ ผมก็มีผู้ใหญ่ปรึกษาที่ให้การสนับสนุนนั่นก็คือคุณ ไมเคิล เซลบีย์ ที่คอยให้คำปรึกษาแล้วก็ให้โอกาสเราได้ไปทำงานที่ฮอลลีวูด มีความสุขดีครับ ที่โกอินเตอร์เต็มตัว เพราะเราได้เปิดโอกาสให้กับตัวเอง ได้เรียนรู้ในห้องเรียนขนาดใหญ่ ได้สร้างมิตรภาพกับคนเก่งๆ ในวงการภาพยนตร์หลายท่าน ถือว่าภูมิใจมาก

เราอยู่ที่เมืองไทยเราก็ประสบผลสำเร็จรูปแบบหนึ่งแต่ว่าพอเราก้าวไปถึงจุดนั้นเราได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างซึ่งเขาก็ให้เกียรติกันแล้วเขาก็ชอบผลงานอย่าง วิน ดีเซล แล้วก็ดาราฮอลลีวูดหลายคนที่เราได้แลกเปลี่ยนความรู้ความคิดใหม่ๆ ทำให้เขารู้จักคนไทยมากขึ้น ได้รู้หนังไทยมากขึ้น ได้รู้มวยไทย คือเรานำวัฒนธรรมเข้าไปด้วยเราไม่ได้ไปตัวเปล่า เราได้นำความเป็นไทยให้เข้าไปคลุกคลีกับเขาเขาก็รู้สึกประทับใจ

ตอนนี้มี 3 เรื่องที่จะออกมาให้ได้ชมกัน ส่วนอีกหลายๆ เรื่องที่ติดต่อเข้ามาเราก็กำลังดูเรื่องบทกันอยู่ครับ มันเป็นก้าวแรกครับเป็นโอกาสจังหวะดีมากที่เราได้ก้าวไปเล่นคือหนังมันก็ฟอร์มใหญ่ เรื่องค่าตัว คือการทำงานของฮอลลีวูดมันเป็นระบบ เขาก็จะมีคนดูแลให้ในส่วนนี้ อย่างที่ปรึกษาคุณไมค์ แล้วก็ทีมงานเขาจัดสรรให้เป็นระบบ เอาเป็นว่าชีวิตดีขึ้นมีความสุขครับ

เรื่องสัญญากับทางสหมงคลฟิล์ม ความสำเร็จในเมืองไทยก็เป็นอีกก้าวหนึ่งผมไม่เคยลืม สหมงคลฟิล์มก็ยังอยู่ในใจของผม ท่านก็มีพระคุณ ผมนึกอยู่เสมอว่าผมจะทำอะไรให้กับประเทศไทยในฐานะที่ผมมีความสามารถของผม ทำยังไงที่จะเป็นพลังบวกนั่นคือผมต้องตัดสินใจที่จะเดินหน้าในเมื่อโอกาสมันมาตรงนี้แล้วผมก็ต้องพัฒนาต่อไป ที่ก้าวไปถึงตรงนั้น ถ้าเราหยุดอยู่กับที่ถ้าเราท้อมันก็จะไม่มีวันนี้เกิดขึ้นวันนี้เป็นวันแถลงข่าว Skin Trade ผมไม่ขอชี้แจงเรื่องคดีความอะไร เราตั้งใจมาที่นี่เพื่อมาแถลงเกี่ยวกับ Skin Trade แล้วก็สิ่งที่ผมได้ไปทำไว้ว่าผมทำอะไรบ้าง ถ้าผมพูดในทางลบมันก็จะดึงฉุดกันมันไม่สร้างสรรค์ ผมคิดแต่ว่าจะทำยังไงให้หนังไทยไปโกอินเตอร์และให้เชื่อมโยงกับฮอลลีวูดมาในเมืองไทยแล้วก็เป็นประโยชน์เป็นผลบวกมากกว่า อดีตก็คืออดีตเราก็ต้องเดินหน้ากันต่อไป

ส่วนครอบครัวอยู่ในใจผมตลอดครับ พ่อแม่อยู่ในใจผมตลอด ผมไม่เคยลืมและสิ่งที่สำคัญที่สุดสิ่งที่ผมทำก็คือทำเพื่อทุกคนหน้าที่ที่ผมทำมันยิ่งใหญ่มากกับการที่ผมได้ไปอยู่ต่างประเทศ แล้วผมมองย้อนกลับมาที่เมืองไทย มันเล็กนิดเดียวแต่ผมก็มีความภาคภูมิใจ ผมว่าภาพมันบอกเองภาพที่ผมได้สื่อสารกับคนทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นประเทศไทย ผมไม่เคยเล่าเลยนะครับว่าผมไปโน่นนั่นนี่แต่คนจะได้เห็นข่าวมาเรื่อยๆ ว่าผมไปทำอะไรก็จะเห็นว่าสิ่งที่ผมทำมันยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่สำหรับผมนะครับแต่ถ้าทุกคนเห็นลึกๆ ก็จะรู้ว่าเจตนาผมเป็นอย่างนี้นี่เอง เจตนาผมมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่าผมอยากถ่ายทอดความสามารถมวยไทยในรูปแบบของภาพยนตร์ออกสู่ตลาดโลกแล้วผมก็ไปยืน ณ จุดๆ นั้นแล้วผมก็มีความภาคภูมิใจนะว่าเราคิดถูกแล้ว เรื่องที่บอกว่าลืมบุญคุณ บุญคุณมันทดแทนไม่มีที่สิ้นสุดครับ มันอยู่ในใจเสมอครับ สิ่งที่สามารถทดแทนได้คือสิ่งที่เราทำวันนี้แหละครับ ทำวันนี้แล้วก็ทำให้เต็มที่ กับกรณีอาจารย์พันนา ฤทธิไกร ก็เช่นกัน ทุกคนอยู่ในใจเสมอ "

"จา พนม""จา พนม"


"จา พนม""จา พนม"


"จา พนม""จา พนม"


"จา พนม""จา พนม"


"จา พนม""จา พนม"

ขอบคุณข่าวจาก TNEWS


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์