คอนเส็ปท์ เก๋ ชลลดา ดีไม่ได้ ก็ไม่ต้องมีคู่

สาวช่างจ้อ "เก๋"ชลลดา เมฆราตรี


ที่วันนี้เธอมาเปิดอกพูดคุยเรื่องราวชีวิตของตัวเอง

"เป็นน้อยรองเค้าหรือมือที่สาม คำพวกนี้อย่ามาอยู่ในพจนานุกรมของเก๋เลย" เป็น´´ที่หนึ่ง´´ไม่ได้ ´´เก๋´´- ´ชลลดา เมฆราตรี´ขอไร้คู่!


เติบโตมาในครอบครัวแบบไหน?


"เก๋เติบโตมาในครอบครัวจีนแท้ๆ อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ มีคุณปู่ คุณย่า คุณลุง คุณน้า คุณอา อยู่กัน 11 ครอบครัวในบริเวณเดียวกัน เก๋อยู่ที่นั่นจนอายุ 4 ขวบ คุณแม่ถึงย้ายออกมา เก๋จึงเติบโตมาท่ามกลางครอบครัวที่อบอุ่น

จะโดนแซวอยู่เสมอว่า

บ้านเรารักกันจนร้อนเลย ตอนเด็กๆ เรารู้สึกสนุกมีความสุขมาก เพราะหลานสาวเรียนโรงเรียนเดียวกันหมดคือเซนต์ฟรังฯ ส่วนหลานชายเรียนเซนต์คาเบรียล แล้วเช้าๆ เวลาไปโรงเรียนเราต้องไปเข้าแถวสวัสดีอากง

แล้วอากงก็จะให้เงินคนละ 20 บาท ตอนเย็นพอกลับบ้านรถก็จะไปรับทีเดียว บ้านนี้มีหลานสาว 11 คน หลานชาย 6 คน นี่คือลูกพี่ลูกน้อง แต่เก๋มีน้องชายแท้ๆ เพียงคนเดียวคือน้องก้อง"


ครอบครัวคนจีนมักเอาใจเฉพาะลูกชาย เก๋รู้สึกมั้ย?


"ไม่รู้สึกมั้งคะ แต่ว่าอากงจะเป็น อย่างคุณลุงจะได้มากกว่าคุณแม่ เราก็จะรู้สึกว่าทำไมแม่เราได้ทีหลัง แต่ก็คิดว่าคงให้เกียรติพี่ชายก่อนมั้ง คนจีนเค้าจะถือว่าลูกชายสำคัญกว่าลูกสาวเพราะสืบสกุลได้

แต่พอมาถึงหลานชายหลานสาวอากงจะไม่เป็นแล้ว จะมีนิดหน่อยก็ตอนได้แต๊ะเอียที่หลานชายจะได้หมื่นนึง

ส่วนหลานสาวได้ห้าพันบาท เราไม่น้อยใจ เพราะเกิดมาท่ามกลางสิ่งแวดล้อมแบบนี้แล้วเลยไม่รู้สึก อย่างตัวเก๋เองเวลามีคนมาบอกว่าแม่รักน้องมากกว่า เราก็ไม่รู้สึกเลย แถมแอบรู้สึกในใจด้วยซ้ำว่าไม่เห็นจริงเลย แม่รักเก๋มากกว่าอีก"


ที่ไม่รู้สึกอาจจะเป็นเพราะเก๋เกิดมาในครอบครัวที่มีพร้อมแล้วทุกอย่าง?


เก๋ไม่รู้ว่าคำว่าพร้อมมันวัดกันที่ตรงไหน แต่ถ้าจะวัดจากความพึงพอใจส่วนตัวเองตอบได้เลยว่าเก๋ค่อนข้างพร้อม

พร้อมในที่นี้หมายความว่าเรามาจากครอบครัวที่อบอุ่น

มีเวลาและกิจกรรมทำร่วมกันในครอบครัวเสมอ
ได้รับการศึกษาและอบรมสั่งสอนแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ดี
และเวลาอยากได้อะไร คุณพ่อคุณแม่ก็หามาให้ไม่เคยขาด
พอเติบโตขึ้นครอบครัวเก๋ก็ได้มีการวางแผนอาชีพในอนาคตไว้ให้

นั่นคือกิจการร้านเพชรพีรดา เจมส์ ถ้าเรียกตรงนี้ว่าคือความพร้อม เก๋ก็ยอมรับว่าเก๋มีโอกาสที่ดีกว่าคนอื่นตรงที่มีครอบครัวเป็นแรงสนับสนุนที่ดีให้เสมอ"


ความผูกพันกับน้องก้องเป็นยังไงบ้าง?


"ก้องเป็นน้องเก๋ 4 ปี เราสนิทกันมากจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นผู้ชายกับผู้หญิง คุณพ่อคุณแม่ยังงงเลย ตอนแรกเค้าก็เลี้ยงเราสองคนมาห่างกัน อย่างคุณพ่อจะค่อนข้างเป็นคนที่หัวโบราณนิดหน่อย

พอเก๋เริ่มเข้าอายุประมาณ 12 ปี

เวลาเก๋เล่นหยอกล้อกับน้องชายแบบถึงเนื้อถึงตัว เช่น มานั่งตักหรือมาเล่นหยิกแก้ม คุณพ่อจะไม่ชอบ หรือเวลาที่น้องชายผลักเก๋แรงๆ คุณพ่อจะดุเลยว่าเล่นแบบนี้ไม่ได้เพราะเก๋เป็นผู้หญิง

ลูกผู้ชายต้องให้เกียรติสุภาพสตรี

เก๋ถึงอยากบอกว่าเก๋เชื่อในสถาบันครอบครัวอย่างมาก สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สอนเรามาตอนที่เราเป็นเด็กมันอาจจะยังไม่เข้าใจ แต่พอโตขึ้นถึงรู้และเข้าใจ และรู้สึกขอบคุณที่เราถูกพร่ำสอนมาอย่างดี

พอมาตอนนี้ได้มีโอกาสมองย้อนกลับไป

แล้วรู้สึกซาบซึ้ง เวลาเก๋กับก้องทะเลาะกัน คุณพ่อจะคอยย้ำเสมอว่าเก๋มีน้องอยู่คนเดียว ต้องรักกัน ถ้าไม่รักกันแล้วใครจะรักเรา"


ถ้าให้วิเคราะห์ตัวเองแล้ว เก๋เป็นคนยังไง?


"บอกตรงๆ ว่าเก๋ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนนิสัยยังไง แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้คือคุณแม่บอกว่าเก๋ชอบเอาเรื่องของคนอื่นมาเป็นธุระของตัวเอง ซึ่งมันเป็นข้อไม่ดี

คุณพ่อชอบว่าเก๋ว่า "เป็นประเภทเตี้ยอุ้มค่อม"

ตัวเองยังเอาตัวไม่ค่อยรอดยังเที่ยวไปยุ่งเรื่องคนอื่นอีก โดยรวมเก๋คิดว่าเก๋เป็นคนตรงไปตรงมาและจริงใจ ถ้าใครดีมาก็จะดีกลับไปมากๆ แต่ถ้าร้ายมาเก๋จะไม่ยุ่งไม่เอาด้วยเลย เก๋เป็นคนที่มองโลกในแง่ดี

ตรงนี้เก๋ต้องยกความดีให้ครอบครัว

เก๋ถูกสอนมาตลอดว่าเราต้องทำความดี ทำดีได้ดี ถึงจะเห็นผลดีช้าแต่ก็ต้องทำ เก๋เชื่อว่ามนุษย์เราทุกคนในกมลสันดานคงไม่มีใครอยากทำสิ่งไม่ดี ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะมีจิตใต้สำนึกในการเตือนตัวเองมากน้อยแค่ไหน

เก๋เป็นคนที่เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

เลขาฯของเก๋บอกว่าคาแร็กเตอร์เก๋อาจจะดูร้ายๆ เชิดๆ หยิ่งๆ แล้วคนจะคิดว่าเก๋ขี้วีน แต่จริงๆ แล้วเราจะมีมุมที่ชอบความสงบ อยากไปนั่งสมาธิ เก๋ไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นคนดีขนาดที่ธรรมะธัมโมอะไร

ตอนอายุ 16 เก๋เริ่มสนใจการบวชชีพราหมณ์ อยากรู้อยากเห็นว่าความสงบที่ใครๆ ว่าดี หาได้ที่ไหน จึงสรรหาวิธีให้ตัวเอง พอเก๋อยากรู้ก็ต้องเข้าไปเรียนรู้"


เคยมีคนบอกไหมว่าเป็นคนที่พูดเก่งมากๆ?


"คอนเซ็ปต์ของเก๋คือ "อยู่ให้รัก จากให้คิดถึง" ใครจะหาว่าเก๋พูดมาก ติงต๊อง เก๋ไม่สน คือเก๋ตีตั๋วบทนี้มาอยู่แล้ว นี่เป็นคาแร็กเตอร์ของเก๋ เก๋ว่าเราพูดมากตลกขำๆ แบบไร้สาระยังดีกว่าไปจับกลุ่มว่าร้ายคนอื่น เก๋เป็นคนที่รู้จักคนเยอะนะคะ แต่มีเพื่อนน้อย เก๋เป็นคนที่เลือกคบคนมากๆ

เก๋จะมีเพื่อนส่วนใหญ่อยู่นอกวงการ

แต่ถ้าพูดถึงเพื่อนในวงการบันเทิงที่เก๋สนิทด้วยมี 2 คน คนแรกเป็นทั้งน้องสาวและเพื่อนคือ "ทาทา ยัง" เก๋กับน้องทาทารู้จักกันมา 13 ปีแล้วตั้งแต่สมัยหนังเรื่อง "จักรยานสีแดง" คนที่สองคือ "ตุ๊ก-ชนกวนัน"(รักชีพ) เก๋รู้จักตุ๊กจากงานเดินแบบจนถึงวันนี้ก็ 3 ปีแล้ว

เก๋เลือกคนที่จะเข้ามาอยู่ในโลกของเก๋ ทำให้เก๋รักไม่ยากเลย ทำให้เก๋เกลียดกลับยากกว่าซะอีก มีคนเคยบอกว่าเก๋มีนิสัยส่วนตัวคือกลัวคนไม่รัก กลัวคนไม่ชอบ เลยต้องพยายามทำดีและแคร์คนอื่น จนบางทีทำให้ตัวเองเป็นทุกข์"


อยู่วงการบันเทิงมานานเท่าไรแล้ว?


"ถ้านับจริงๆ ก็เริ่มตั้งแต่พ.ศ.2538 มาถึงวันนี้ก็ 10 กว่าปีแล้ว เริ่มจากถ่ายโฆษณาครั้งแรกตอนอายุ 19 แล้วก็มาเล่นมิวสิควิดีโอ ได้รางวัลที่หนึ่งจากการประกวดมิสแฟชั่น รีวิว ปี 2538 จากนั้นก็ได้เป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาสินค้าต่างๆ แล้วก็เดินแบบ ถ่ายแฟชั่นเรื่อยมา เล่นละครเรื่องแรก "แอบเก็บใจไว้ใกล้เธอ" ทางช่อง 5 ต่อด้วย "ดุจเพชรแท้" ทางช่อง 7 จากนั้นก็ไปเรียนต่อที่อังกฤษ(พ.ศ.2542-2544)

กลับมาอีกทีก็มาเป็นผู้ประกาศข่าวบันเทิงทางไอทีวีอยู่ 1 ปี

พอหมดสัญญาก็มารับบทนางเอกหนังเรื่องแรกในชีวิต "อมนุษย์" ต่อมาก็ออกอัลบั้มกับคลับเอฟ จากนั้นก็มีโอกาสได้เป็นนักร้องรับเชิญในอัลบั้ม "ฮ๊อต" ที่ร้องคู่กับ นิกกี้ ธีรกล และก็เริ่มทำพิธีกรรายการทีวีต่างๆ จนกระทั่งปัจจุบัน

แล้วก็กลับมาเล่นละครอีกครั้งเรื่อง "สะใภ้กาฝาก" ทางช่อง 3 และได้เล่นหนังเรื่อง "เดอะเลตเตอร์ เขียนเป็นส่งตาย"

ตุ๊ก(ชนกวนัน)เคยเปรียบเรื่องราวชีวิตในวงการบันเทิงของเก๋ว่าเหมือนเป็ด อยากทำทุกอย่างเลยขอให้มีคนให้โอกาส เก๋อยากลองทำไปซะหมด ก็เลยไม่ได้ดีที่สุดและเก่งที่สุดเลยสักอย่าง

เหมือนวงจรชีวิตของเป็ดที่จะบินก็บินไม่ได้เหมือนนก ว่ายน้ำก็สู้ปลาไม่ได้(หัวเราะ)"



เห็นเก๋มาก็นานแล้ว เป็นข่าวมาก็เยอะ มีข่าวไหนที่ทำให้เสียใจบ้าง?


"เสียใจเหรอคะ อยากใช้คำว่าเสียความรู้สึกมากกว่า ข่าวแรกเลยแล้วกัน ไหนๆ ก็ถามแล้ว ตอบแบบเปิดอกเลยแล้วกัน เป็นช่วงที่เก๋กลับจากอังกฤษใหม่ๆ ปี 2544 อายุ 23-24 กับข่าวมือที่ 3 เก๋เกลียดคำนี้มากเลย เก๋เกลียดอะไรเก๋ก็จะไม่ทำอย่างนั้นกับคนอื่น

อย่างที่บอกไว้ตอนต้นว่าเก๋เชื่อเรื่องบาปกรรมมากๆ

ข่าวตอนนั้นเก๋ไม่ได้ออกมาแก้ตัวหรือให้ข่าวใดๆ ทั้งสิ้นก็เลยมีการโจมตีเขียนข่าวไปต่างๆ นานา ในความคิดของเก๋ ถ้าเราเป็นที่หนึ่งไม่ได้เก๋ก็จะไม่เป็นไม่มีชีวิตคู่อย่างนั้นดีกว่า

ผู้ชายเจ้าชู้กลับกลายเป็นเรื่องที่ดูเท่

เก๋ว่ามันไม่แฟร์ ชีวิตคนเราพระเจ้าประทานคู่มาอยู่แล้ว อะไรที่เป็นเลขคี่จะเป็นคู่ได้ยังไง เก๋คิดได้อยู่แล้ว แต่ตอนนั้นเก๋เด็กมากเลยไม่รู้จะแก้ข่าวปกป้องตัวเอง เลยพูดไปตรงๆ กับพี่นักข่าว

"พี่คะ ถ้าจะเขียนข่าวแบบนี้เขียนข่าวว่าเก๋เป็นผู้ร้ายดีกว่าให้เก๋ไปเป็นน้อยรองเค้าหรือมือที่สาม"

คำพวกนี้อย่ามาอยู่ในพจนานุกรมของเก๋เลย เก๋ไม่ได้บอกว่าคนที่อยู่ในตำแหน่งนี้เป็นคนไม่ดี มันแล้วแต่การเลือก แต่กับเก๋มันไม่ใช่ไง

และที่เจ็บใจมากที่สุดคือ

ตอนที่เก๋มาช่วยขยายกิจการร้านเพชรซึ่งเป็นธุรกิจของที่บ้านมานานนม(ตั้งแต่สมัยคุณตาปีพ.ศ.2485-ปัจจุบัน) แล้ว กลับมีข่าวว่ามีคนเปิดร้านเพชรให้เก๋ โอ้โห..คิดได้ยังไง

ส่วนอีกข่าวนึงเป็นเรื่องหยอกล้อกันไปมา

พอเก๋ปฏิเสธไม่ให้สัมภาษณ์ กลับกลายเป็นข่าวว่าเก๋ปฏิเสธสุภาพบุรุษท่านนั้น เรื่องราวเลยบานปลาย แต่โชคดีที่จบลงด้วยดี เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ตัวเก๋เอง สรุปว่าสองข่าวเกิดขึ้นจากการเงียบของเก๋เอง

ก็เลยไม่ทราบว่าจะเชื่อสุภาษิตโบราณดีมั้ยว่า

"พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง" เอาเป็นว่าต่อไปนี้ถ้าใครสงสัยอะไร ถามเก๋มาได้เลย เก๋จะตอบทุกคำถามเลย"


หลายคนมองว่าเก๋เก่งที่สร้างกระแสให้ตัวเองดังได้ โดยใช้สื่ออย่างชาญฉลาด?


"เก๋ไม่ได้ตั้งใจเลยนะคะ ต้องบอกว่าหน้าที่การงานทุกอย่างช่วยอำนวยจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นงานเบื้องหน้าหรือการเป็นผู้บริหารทำให้เก๋ได้มีโอกาสใกล้ชิดกับพี่ๆ สื่อมวลชน และโดยส่วนตัว

เวลาเก๋ทำอะไรแล้วก็ทำเต็มที่จริงๆ

เก๋จะคิดถึงการให้ เวลาที่ใครให้ทำอะไรเก๋จะทำให้ถึงที่สุดเลย ทำทุกอย่างเท่าที่ตัวเก๋จะทำได้ คือเกินร้อยทุกครั้ง ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่ถ่ายแฟชั่นก็ไม่คิดว่าจะได้การตอบรับที่ดี

ต้องขอบคุณพี่ๆ สื่อมวลชนด้วย ข่าวมีส่วนช่วยมากๆ

จนบางครั้งความหวังดีของพี่ๆ บางทีก็เป็นดาบสองคมกับเราเหมือนกัน ก็มีคนเคยพูดว่ารู้สึกยังไงที่เราชอบอาศัยกระแสข่าวให้ดัง ฟังแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดนะ"



มาถึงวันนี้คิดว่าตัวเองโตขึ้นหรือเปล่า และพอใจกับชีวิตมากน้อยแค่ไหน?


"เก๋ว่า ณ วันนี้เก๋ค่อนข้างจะโตมากแล้ว รู้จักปล่อยวางอะไรได้และมีความเข้าใจโลกมากขึ้น รู้จักเหตุ รู้จักผล และใช้อารมณ์เป็นเครื่องมือการตัดสินใจน้อยลง ส่วนเรื่องการพอใจกับชีวิตนั้น

ถ้าพูดถึงชีวิตปกติ เก๋พอใจมาก

ก้าวทุกก้าวของเก๋ตอนนี้เข้มแข็งและแข็งแรงขึ้นในทุกๆ เรื่อง ส่วนชีวิตในวงการบันเทิงบอกตามตรง ทุกวันนี้เก๋ก็ยังไม่คิดว่าตัวเองเป็นศิลปิน ดารา นักแสดง หรือนางแบบเลย

เพราะเก๋มีโอกาสได้ทำงานหลากหลาย

แต่ก็ไม่มีที่โดดเด่นซักด้านเลยค่ะ(หัวเราะ) งั้นขอตอบว่าเก๋ก็ยังสนุกกับชีวิตในวงการบันเทิงตราบเท่าที่จะมีคนให้โอกาสค่ะ"


รู้สึกมั้ยว่าอยู่วงการมากว่า 10 ปี แต่ไม่ดังเปรี้ยงสักที?


"ค่ะ ไม่เลย อาจจะเพราะเก๋ไม่คาดหวัง และอย่างที่บอกว่าเก๋ไม่กล้านับว่าเก๋มีความสามารถขนาดเป็นบุคคลในวงการบันเทิง หรือคนของประชาชนขนาดนั้น

เก๋แค่อยากจะประสบความสำเร็จโดยอยู่บนมาตรฐานของตัวเก๋เอง คือเก๋จะทำงานหนักตอนนี้แล้วเกษียณตัวเองได้เร็วกว่าคนอื่น เผื่อวันหนึ่งเรามีชีวิตครอบครัวแล้วจะได้มีเวลาเต็มที่ค่ะ"



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด
Special Thanks Photo By: นิตยสาร Labelle



เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์