ความดังไม่คงที่!! “จิ้ม ชวนชื่น” รับเจ้าชู้หนัก เผยเรื่องผิดใจเพื่อนในวงการ (มีคลิป)

"33 ปี เป็นสังคมตลกที่แต่งงานกันคู่แรก เพราะตลกส่วนมากเขาจะมีครอบครัวก่อน ก่อนจะรวมตัวเล่นตลก ตอนเริ่มเป็นตลกอายุ 18 เอง หลังจากนั้น 3 ปีเราก็แต่งงาน เราเลยเป็นตลกคู่แรกที่แต่งงาน เราคบกัน 4 เดือนก็จริง แต่เราเคยเจอเขาตั้งแต่อายุ 11 แล้ว เราแก่กว่าเขาปีนึง ญาติเขาพามาดูลิเกบ้านเรา น้าของเขาหลอกพ่อแม่แฟนว่าจะพาไปนอนบ้านเขา แต่ป่าวเขาพามาดูลิเกที่บ้านโป่ง แล้วไม่ได้กลับ ไม่มีรถกลับ กทม. ก็มานอนค้างบ้านเรา ใส่ชุดนอนเราด้วยนะ แค่ใส่ชุดนอนเราเราก็สยิวแล้วอ่ะ นี่มองผู้หญิงตั้งแต่ ป.1 แล้ว เจ้าชู้ ชอบผู้หญิงสวย"

"มาเจออีกทีตอนเค้า 17 น้าเขาเอารูปหลานสาวมาอวดตอนเขาเป็นเชียร์ลีดเดอร์ เราก็แอบสอดรูปเราไปในอัลบั้มรูปเขา แล้วก็เขียนชื่อเราด้านหลังว่าชื่อ จิ้ม ทุกวันนี้แต่งงานกันแล้วอัลบั้มนั้นเราก็ยังเห็นอยู่นะ สรุปเขาก็เห็นรูปเรานะแต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไร"

"ก็สิบนั่นแหละ เห็นคนสวยก็ชอบไปหมด"

"ที่ชนกันก็เพราะผู้หญิงเขาไม่เชื่อที่เราบอก คือถ้าจะคบกับใครถ้าภรรยาจับได้ก็เลิกนะ บางคนเขาก็บอกว่าไม่ได้ ที่ภรรยาจับได้แล้วต้องเลิกกันก็ประมาณสิบกว่า แต่เราคบหนึ่งคนแล้วเลิกก่อน แล้วค่อยมีอีกคน"

"เขาโทรมาเล่าให้ฟังในสิ่งที่เราคุยกับน้องผู้หญิง เราบอกกับน้องว่าถ้าเขาระแคะระคายเรากลับบ้านผิดเวลาคือก็เหมือนที่ตกลงกันไว้ว่า ถ้าเขาจับได้ก็ต้องเลิกนะ เราก็บอกน้องเค้าเพื่อไม่ให้เสียใจ ไม่ให้เขารู้สึกไร้ค่า น้องเขาก็โทรมาหาแฟนเราว่าเราบอกกับน้องเขาแบบนั้น แต่แฟนเราจับได้ก่อนที่น้องจะโทรมา"

"เขาเป็นคนใส่บาตรทำบุญ ถ้าครั้งไหนที่เขาบอกว่าเขาฝันแปลกๆ เขาจะมาถามเราว่าเธอมีอะไรหรือเปล่า เราตีหน้าไม่ถูกอ่ะ เพราะมันเป๊ะ"

"เขาบอกว่าที่เขาเลิกกับพี่ไม่ได้พี่มีเงินต้องดูแลครอบครัวเขา เขาก็นัดมาเจอกันเลย 3 คน ไปคุยกันที่ล็อบบี้ตกลงกัน นั่งตั้งแต่ตีสองจนถึงตีห้า แฟนพี่กับน้องคนนั้นเขาก็ถามพี่ว่าสรุปแล้วพี่โกหกใครกันแน่ จนตีห้าก็ไม่ไหวกันแล้ว แฟนพี่ก็ขับรถไปส่งน้องที่บ้านเขานะ แฟนพี่ก็ไม่ได้ใจร้ายนะ"

"พี่ก็ยังประปรายของพี่ตลอด ภรรยาก็จับไม่ค่อยได้หรอก พอระแคะระคายเราก็เลิกเลย ตอนนี้ก็ไม่มีแล้ว ไม่ไหวแล้วหละ โกหกจนไม่ไหวแล้ว"

"ไม่รู้สึกเสียใจ แต่รู้สึกขอโทษ"

"เขาขอเลิกแมทช์นั้นแหละ เราก็บอกว่าเราก็เลิกแล้ว เลิกก่อนโดนจับได้อีก เราก็ไม่ใช่เทวดาที่ไหน ผู้ชายที่ไหนเขาก็มีกันแบบนี้ นี่ลูกสาวยังไม่รู้เลยนะเนี่ย ลูกสาวนี่ชื่นชมคุณพ่อมากเลย"

"เพราะมันมีมือถือถ่ายรูปได้ พอเวลาไปกินข้าวกับน้องเขาเวลามีคนยกมือถือขึ้นมาไม่รู้เขาถ่ายรูปหรือโทรไง เราก็กลัวลูกสาวรู้ ถ้าเป็นข่าว เขาเข้ามหาวิทยาลัยแล้วกลัวเขาอาย เคยมีอยู่เคสนึงที่ต้องไปดูหนังไกลๆ แถวๆรังสิต พอออกมารถหาย ไม่ได้กลัวรถหายนะ กลัวว่าจะบอกที่บ้านยังไงว่ารถหายที่นี่ ทุกครั้งที่ออกนอกเส้นทางจะกลัวตลอด สรุปจำผิดชั้น (หัวเราะ)"

"ก็เพราะต้องให้เงินเขาหมดเลย เราก็ไม่มีใช้ส่วนตัว อย่างแบบไปเลี้ยงข้าวน้องเขาอ่ะ (หัวเราะ) พี่ก็ซ่อนไว้ใต้เครื่องเสียงเขาเปิดเจอเชาก็เอาไป"

"คือน้องอั้ม (อั้ม พัชราภา) กับพี่ที่ทำงานกันมาเนี่ย 14 ปีนะ ที่ทำรายการ ไม่เคยมีอะไรขัดใจกับเขาเลย เขาไม่เคยมาทำงานสาย มีไม่มาทำงานอยู่ครั้งเดียวเพราะป่วยเข้าโรงพยาบาล เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอั้ม เราไม่เชิงมีเรื่องขัดใจกับเพื่อนในวงการคนนี้หรอก เรารู้สึกว่าสำหรับเพื่อนถ้าจะให้เราทำงานเราไม่เคยถามเรื่องค่าตัวเลย เหมือนเวลาจตุรงค์เขาจะให้เราเล่นหนังเราก็ไม่เคยถามค่าตัว แต่ถ้าเป็นคนอื่นเราก็ต้องถาม"

"ทีนี้เพื่อนสนิทคนหนึ่งเนี่ย มันมีความรู้สึกว่าตอนนั้นเราก็กำลังทำรายการ ตอนนั้นเขากำลังฮอต เราก็เชิญเขามารายการ เขาปฎิเสธ ผจก.เขาบอกว่าภาพลักษณ์ไม่ได้ เราเลยรู้สึกว่าใจเราหายอ่ะ สิ่งที่เราเคยทุ่มเทไปเป็นเหมือนพี่เหมือนน้องมีอะไรช่วยเหลือกัน เราถูกภาพลักษณ์มากั้นกลาง เรารู้สึกเสียใจ"

"ไม่ใช่วงการตลก พอรายการเริ่มเราก็อยากได้คนฮอตๆ มา เพราะเป็นครั้งแรกเราก็อยากให้เรตติ้งดี เราเชิญตอนที่เขาดังเนี่ยแหละ แต่เราทำงานอยู่ด้วยกัน สนิทกันมาก"

"เราคิดว่าเราอยากให้เขามาช่วย เพราะถ้ารอดมันก็จะเป็นอีกรายการหนึ่งที่ทำมาหากิน ใจหายเลยอ่ะ ใจแห้งเลย เหมือนไม่ได้รับความรักจากเขา พี่อยากจะบอกฝากไว้ว่า ความดังไม่คงที่ ความดีสิคงทน"

"ไม่ได้อยากบอกว่าเขาคิดผิด แต่พอเวลามีเพื่อนมาขอให้ช่วยเราก็ช่วยนะ มีงานอะไรที่ช่วยเพื่อนได้ก็ช่วย ไม่เคยห่วงภาพลักษณ์ เราเหมือนตะเกียงไปจุดเทียนทิ้งเอาไว้ แสงตะเกียงเราก็อยู่เท่าเดิม แต่แสงสว่างที่เขาได้รับจากเราเขาก็ยังได้"