คุยกับ เล้ง-ราชนิกร ผู้ชนะ ไทยแลนด์′ส ก็อตทาเลนท์ กายกรรมผ้าในฝ่ามือแห่งความฝัน

"บนความสูงเทียบเท่าตึก 10 ชั้น และข้างล่างมีแต่พื้นซีเมนต์เปล่า การแสดงชุดนี้แลกมาด้วยชีวิตครับ..."
 
เสียงของน้าเน็ก เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา พิธีกรรายการ "ไทยแลนด์′ส ก็อตทาเลนท์ ซีซั่น 2" พูดขึ้นหลังจากการแสดง Aerial Acrobat หรือ กายกรรมปีนผ้า ของ เล้ง-ราชนิกร แก้วดี จบลง


กายกรรมปีนผ้าของเขา ประสานไปด้วยดนตรีแบบโอเปร่า, เรื่องราวลิลิตพระลอ, ความอ่อนช้อยของท่าเต้น และความแข็งแกร่งของการเล่นกายกรรมบนผ้า เป็นความขัดแย้งที่ดูกลมกลืนจนเรียกได้ว่า การแสดงนี้สมบูรณ์แบบมากๆ จนไม่น่าแปลกใจว่า รายการประกวดพรสวรรค์ในซีซั่นนี้ หนุ่มชาวสกลนครวัย 28 ปี ผู้นี้ คือ "ผู้ชนะ" ครองใจมหาชนอย่างไร้ข้อกังขาให้ดราม่ากันหลังเวที
 
"การแสดงชุดนี้แลกมาด้วยชีวิต" ในความหมายหนึ่งของพิธีกรผู้มากความสามารถพูดคือ มันหมายถึง หากพลาด อาจจะประสบกับอันตราย
 
แต่ในอีกความหมายหนึ่ง มันหมายถึง ก่อนที่จะเป็นโชว์เพียงไม่กี่นาที เล้ง-ราชนิกร ได้เคี่ยวกรำ "ชีวิต" ของตัวเอง ในการถักทอมาสเตอร์พีซชิ้นนี้ ให้ "โดนใจ" คนหมู่มาก
 
ซึ่งไม่ง่ายเลย...
 
จากเด็กน้อย ผู้มีชีวิตอยู่กับท้องไร่ท้องนา เป็นเด็กคลุกคลีกับวัด โชคชะตานำพาเขาไปรู้จักกับโรงละครภัทราวดีเธียเตอร์ ทำงานทุกอย่างจนครูเล็ก-ภัทราวดี เห็นแวว จนในที่สุดแนะให้เรียนด้านนาฏศิลป์ แล้วต่อยอดมาสู่ กายกรรมปีนผ้า
 
"ผมซ้อมกลางทุ่งนาวันละ 8 ชั่วโมงครับ ก็ซ้อมจนมือบวม จะไปสอบก็เอามือแช่น้ำแข็ง เพื่อจับปากกาเขียนข้อสอบ ตอนที่เรียน ตอนเรียนที่ภัทราวดีเธียเตอร์ ครูก็จะดู จะดุตลอดเวลา โดนว่า โดนดุทุกอาทิตย์ทุกวัน แต่ก็ไม่หยุดครับ เพราะสิ่งที่ครูบ่นครูว่า คือ ครูให้โอกาสเรา ครูเห็นจุดด้อยของเรา ก็เอาสิ่งที่ครูว่าครูบ่น มาทำให้เป็นจริงอย่างที่ครูพูด"

คำครูดุ อาจจะเป็นของแสลงของเด็กในยุค "รักวัวให้ผูก รักลูกให้กอด" แต่สำหรับ เล้ง-ราชนิกร แล้ว นี่คือยาชูกำลังใจอย่างดี ที่ทำให้เขาต่อสู้อย่างไม่ย่อท้อ จนแม้ว่าจะเกิดอุบัติเหตุการซ้อมจนต้องพักรักษาตัวอยู่นานหลายเดือน แต่ในที่สุดเขาก็กลับมาเดินตามรอยความฝัน

เล้ง-ราชนิกรเล้ง-ราชนิกร


 
"งานนี้ เป็นงานที่ผมภูมิใจเสนอ และผมคิดว่า คนไทยน่าจะภูมิใจกับงานชิ้นนี้ที่จะเอาไปโชว์ต่อสายตาชาวโลก ด้วยความที่เป็นงานที่ เอาวรรณคดีไทยอย่าง พระลอ นำมาสร้างใหม่ให้ดูสมจริงมากยิ่งขึ้น โชว์นี้รวมทั้งความงามของภาษาที่บรรพบุรุษถ่ายทอดมาให้ บวกกับความงามที่คนปัจจุบันมองเห็น เทคนิคปัจจุบันสามารถทำได้ อย่างการเล่นผ้า มันรวมทุกอย่างอยู่บนสเตจ ผมว่ามันมีเสน่ห์"
 
เขาแอบกระซิบแบบติดตลกมาว่า วัยเด็ก เขาชอบปีนป่ายมานานแล้ว และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการแสดงที่ต้องไต่ผ้าขึ้นไปจุดสูงสุดในวันนี้
 
"ตอนเด็กชอบปีนมาก พ่อจะตีรั้วบ้านเป็นรั้วไม้ไผ่ แล้วจะชอบขึ้นไปปีนเล่นกัน แล้วพ่อก็จะวิ่งไล่ตี สุดท้าย พ่อห้ามไม่ไหว พ่อก็เลยผูกไม้ให้แขวนใต้ต้นมะม่วง นั่นล่ะครับ ที่จุดประกายให้ผมแข็งแรงได้"

ในวันนี้ เล้ง-ราชนิกูล กลายเป็นเศรษฐีย่อมๆคนใหม่ เพราะรางวัลจากรายการนี้ รวมๆแล้ว 10 ล้านบาทเลยทีเดียว คำถามที่หลายคนอยากถาม คงไม่ต่างจากการถามนักกีฬาเหรียญรางวัลโอลิมปิกที่ได้เงินอัดฉีด
 
จะเอาเงินรางวัลไปทำอะไรบ้าง?
 
"ผมยังไม่มีแพลนเอาเงินรางวัลไปใช้จริงจัง แต่ว่าอันดับแรกที่จะทำคือ ไปใช้หนี้ให้คุณพ่อคุณแม่ก่อนครับ คุณพ่อคุณแม่เป็นเกษตรกร เคยลงทุนทำฟาร์มวัวนม แล้วขาดทุนไปเยอะมาก จนต้องขายบ้านขายรถ แล้วก็เอามาใช้หนี้ แล้วก็อยากเก็บไว้เรียนต่อเพราะอยากจะเป็นคุณครูอยากจะเปิดโรงเรียนสอนกายกรรมประเภทนี้ในประเทศไทย และลงมือสอนลูกศิษย์ที่สนใจด้วยตัวผมเอง"
 
ปลายทางสำเร็จที่เราเห็นในโชว์ไม่กี่นาทีของหนุ่มนักกายกรรมปีนผ้า อาจจะทำให้เรารู้สึกอิจฉากับรางวัลใหญ่ที่เขาได้จากรายการนี้
 
แต่หากมีเวลาเฝ้าสังเกตระหว่างทางที่เขาเดินมา ตั้งแต่อยู่จุดล่างสุดของผืนผ้า จนถึงวันที่เขาปีนไปถึงจุดสุดยอดตรงนั้น ที่ผ้าแขวนไว้...
 
นี่คือ ความสำเร็จที่ "แลกมาด้วยชีวิต" ที่เราต้องยอมรับ ในสิ่งที่เล้ง-ราชนิกร ทำให้เห็น ใช่ไหมครับ?

เล้ง-ราชนิกรเล้ง-ราชนิกร


เล้ง-ราชนิกรเล้ง-ราชนิกร


เล้ง-ราชนิกรเล้ง-ราชนิกร


เล้ง-ราชนิกรเล้ง-ราชนิกร

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์