แพนเค้กมีวันนี้ได้เพราะแม่

เป็นคู่แม่ลูกที่ตัวติดกันตลอดเวลาอีกคู่หนึ่งของวงการ
 
ถ้าเห็น แพนเค้ก-เขมนิจ จามิกรณ์ ที่ใด ก็มักจะเห็นคุณแม่หน่อย-นวลนง อยู่เคียงข้างลูกเสมอ เป็นทั้งแม่และเพื่อน รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้แพนเค้กประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้ วันนี้คุณแม่และน้องแพนเค้กนั่งคุยกับ “ดาวต่างมุม” อย่างออกรส บอกเล่าถึงเรื่องราวการเลี้ยงดูและวิธีคิดที่น่าสนใจไม่น้อย

ถามถึงความรู้สึกเมื่อตอนคุณแม่มีลูกคนแรก (แพนเค้ก)

คุณแม่ : แม่เป็นผู้หญิงที่อยากมีลูกมาก เป้าหมายในชีวิตคือแต่งงานแล้วก็มีลูก เราโชคดีที่เจอครอบครัวของพ่อซึ่งเขาเป็นครอบครัวคนจีนที่คาดหวังเรื่องการมีหลาน พอรู้ว่าท้องรู้สึกตื่นเต้นมาก ก็เตรียมทุกอย่าง ใส่ชุดคลุมท้องทันที มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เหมือนเราอยากจะมีลูกอย่างเดียวเท่านั้นแล้วในชีวิตนี้ รีบหาข้อมูลว่าเราจะดูแลเขายังไง อย่างแม่เองเป็นคนที่มีพี่เลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก แต่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว คงหาพี่เลี้ยงที่โอเคค่อนข้างยาก แล้วมันก็เป็นความกังวลด้วยเพราะว่าเป็นลูกคนแรก แต่พอคนที่สองคนที่สามก็สบายแล้ว


แพนเค้กฉายแววดาราตั้งแต่เด็กเลยหรือเปล่า?

คุณแม่ : ไม่นะ แค่ชอบเล่นของสวย ๆ งาม ๆ พ่อแม่ก็จะเลือกของเล่นที่ดูเป็นผู้หญิง เช่น ชุดเครื่องสำอาง รองเท้าส้นสูง รองเท้าแก้ว ตัวแพนได้ใช้เครื่องสำอางทุกเซตเลย แม่ทำงานที่ต้องดูแลตัวเองต้องแต่งตัวตลอดเวลา ลูกก็เลยซึมซับจากเรา เพราะตามไปด้วยตลอด สมัยนั้นแม่เอาลูกไปวิ่งอยู่ที่การบินไทย เพื่อน ๆ แม่ พวกน้า ๆ เขาเป็นนางงามทั้งนั้นเลย เขาก็จับแพนแต่งตัวกันทุกวัน เพราะเอาไปออกงานต่าง ๆ ด้วยกัน ลูกเราไปรอคุณแม่อยู่ในงานตลอด

แพนเค้กเองผูกพันกับครอบครัวขนาดไหน?

แพนเค้ก : มากเลยค่ะ เพราะตั้งแต่เล็กจนโตมาก็อยู่กับครอบครัวมาโดยตลอด ทำกิจกรรมด้วยกันตลอด ตอนช่วงวัยรุ่นเราจะติดเพื่อนอาจจะห่าง ๆ ไปบ้าง แต่พอโตแล้วได้มาทำงานก็ได้คุณพ่อคุณแม่มาคอยดูแลเราตลอดอีกครั้ง ตัวแพนเองเป็นคนที่ไม่ค่อยสังคมจ๋ามากนัก ไม่ค่อยไปเที่ยวเล่นหรือออกไปเจอใครเยอะ เราจะอยู่กับคนที่เราคุ้นเคยเท่านั้น โดยเฉพาะที่บ้าน คุณพ่อคุณแม่มักจะพากันไปทำกิจกรรมต่าง ๆ อยู่แล้ว ไม่ว่าจะไปเที่ยว หรือเล่นกีฬา ซึ่งคุณพ่อคุณแม่จะเหมือนเป็นเพื่อนของเราเลย เป็นเพื่อนกับลูก ๆ ทุกคน เราก็เลยรู้สึกว่าอยู่บ้านแล้วมีความสุขดี พอทำงานก็ยังได้อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ตลอด ไม่ได้รู้สึกอยากจะไปไหนเลย แพนแฮปปี้ชีวิตแบบนี้ บางคนถามว่านี่อยู่พร้อมหน้ากันตลอดเวลา ไม่เบื่อหรือไง แพนก็บอกเขาว่าแพนโอเคนะ ชีวิตแพนไม่ได้ต้องการออกไปเที่ยวเล่นกินข้าวที่ไหน อยู่ที่บ้านโอเคแล้ว ไปไหนกับคุณแม่หรืออยู่กับน้อง ๆ ได้ตลอดค่ะ

มีมุมดื้อบ้างไหม?

แพนเค้ก : มีค่ะ ดื้อเงียบ ๆ นิดหน่อยในบางเรื่องที่ความเห็นไม่ตรงกันบ้าง หรือแอบไม่ทำตามบ้าง (คุณแม่หัวเราะ) บางทีก็งอนกันเวลาไปทำงาน ต่างคนต่างนิ่ง พูดกันเฉพาะเรื่องงาน ไม่มองหน้ากัน (หัวเราะ) ทำหูทวนลมบ้าง


คุณแม่ต้องปรับตัวให้เป็นวัยรุ่นตามลูกด้วยไหม?

คุณแม่ : จริง ๆ เราก็ต้องปรับตามยุคสมัยเหมือนกัน เพราะถ้าเราอยากอยู่กับเขาในช่วงเวลาที่เขายังไม่มีครอบครัวนะ อย่างในยามที่ลูกมีความรัก เราก็ต้องปรับรูปแบบหนึ่ง แต่ถ้าในยามลูกยังอยู่กับเรา ใกล้เรา ไปไหนมาไหนด้วยกัน เราก็ต้องปรับความคิดตัวเองหลาย ๆ แบบ ไม่ยึดติดกับคำว่า “แม่” เพียงอย่างเดียว ไม่อย่างนั้นเราก็ต้องสอนต้องสั่งไปหมด เราไม่อยากเป็นแบบนั้น เราอยากอยู่กับลูกได้ในทุกรูปแบบ เพราะฉะนั้นก็ต้องวัยรุ่นตามลูก ไม่ทำตัวแตกต่างจากเขา

คุณแม่เป็นที่ปรึกษาในทุกเรื่องของแพนเลยใช่ไหม?


คุณแม่ : เราไม่ได้อยู่ในบทบาทแม่ตลอดเวลาไง แต่เราเป็นได้หลาย ๆ บทบาทในเวลาเดียวกัน ขณะเดียวกันในบางครั้งลูกก็ยังเป็นครูให้เราเลย เราถือว่าเราเรียนรู้อะไรมากมายจากการเลี้ยงลูกแต่ละคน เราได้มุมมองแง่คิดเยอะมาก ต้องขอขอบคุณคุณครูนะคะ (หันไปยิ้มกับแพนเค้ก)

แพนเค้ก : (หัวเราะ) มันก็ต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกันนะคะ เพราะแพนก็ได้เรียนรู้วิธีคิดจากแม่ หรือการปรับเข้าหากัน มันจะได้จูนตรงกันได้ เพราะแม่ก็เป็นคนที่ดื้อเหมือนกัน มีความคิดเป็นของตัวเอง มักทำอะไรไม่เหมือนคนอื่น คิดเร็วทำเร็วตลอด พอเราได้เห็นแม่ในมุมนี้ก็สามารถนำมาปรับใช้ในการทำงานได้ค่ะ


คุณแม่ไฟเขียวกับทุกคนที่เข้ามาจีบแพนไหม?

คุณแม่ : แม่ก็อยากให้เขาได้เรียนรู้กันนะ ให้ลองศึกษาดู ไม่ใช่ไปตัดสินแค่เพียงผิวเผิน ตั้งแต่สมัยเรียนถ้ามีใครมาชวนลูกไปดูหนัง แม่ก็บอกลูกว่าไปเลย แม่ไปส่ง ดูเสร็จแม่รอรับกลับ คือมันต้องมีมุมที่ได้ลองสัมผัสตัวตนกันจริง ๆ ไม่ใช่แค่เพียงโทรศัพท์คุยกันเท่านั้น อย่างบางคนดูหนังทานข้าวเสร็จก็ไม่ได้เจอ ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยนะ เพราะลูกจะมีความรู้สึกทันทีเลยว่ามันไม่ใช่ ลูกเราไม่ได้อยากไปไหนด้วยแล้ว แต่ไม่ใช่ผู้ชายคนนั้นไม่ดีนะ แต่อาจเป็นที่ลูกเรายังไม่พร้อมจะเป็นแฟนกับเขามากกว่า หรืออย่างมีไปทานข้าวกันสักครั้งสองครั้ง ลูกก็จะมาบอกเราว่ารู้สึกยังไง เราก็รู้แล้วว่าควรจะถอยหรือเดินหน้า แม่ไม่เคยรู้สึกว่าลูกไม่ปลอดภัย เพราะเราเองก็ต้องคอยดูอยู่ด้วย แต่นี่คือการให้โอกาสให้เขาทั้งคู่ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน แค่คุยโทรศัพท์จิ๊จ๊ะกันมันบอกไม่ได้หรอก

อย่างเป้ (อารักษ์ อมรศุภศิริ) คุณแม่ก็ให้โอกาสหรือเปล่า?

คุณแม่ : คือถ้าเป็นคนดีเราก็เปิดโอกาสให้ลองมาใกล้กัน และดูว่าเขาทั้งคู่พร้อมจะศึกษากันแค่ไหน เพราะแค่รักมันง่าย อันที่ยากคือคุณจะรักษาความรักให้ตลอดรอดฝั่งได้หรือเปล่า มันมากกว่าคำว่ารักแล้ว เพราะเราเลี้ยงลูกของเรามา เรารู้เลยว่าความรักของลูกมันคือความจริงจัง ไม่ใช่แค่หวือหวาชั่วครั้งชั่วคราว ถ้าจะมีรักแท้ ลูกต้องคิดแล้วว่ามันจะต้องยาวนาน และไม่ใช่แค่ดูฝ่ายผู้ชายไปเรื่อย ๆ ฝ่ายเราก็ต้องเปิดตัวเองด้วย ลองพัฒนากันดู

ตอนเป้มาจีบ แพนให้คุณแม่ช่วยดูบ้างไหม?

แพนเค้ก : ก็คุยกันบ้างค่ะ แต่จริง ๆ แล้วแม่แพนจะเห็นอยู่แล้วนะว่าเขาเป็นคนยังไงจากการที่เราได้ทำงานด้วยกันหรือเวลาเจอกัน แต่แพนเป็นคนที่ไม่ได้เปิดรับอะไรแบบนี้มากนัก ถ้าใครเข้ามาใกล้ตัวเราเยอะมากจนเกินไป แพนก็จะถอยทันที หรืออย่างหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมาบางคนรู้สึกว่าเขาเป็นคนดีมากเลย แต่ว่าไม่เอาอีกแล้ว หนีแทบไม่ทัน คือไม่ใช่เขาไม่ดีนะ แต่เราไม่ได้เปิดใจขนาดนั้น แม่เองยังบอกว่าใครจะอยู่กับแพนได้บ้างเนี่ย เพราะชีวิตราบเรียบมาก ไม่ได้อยากทำอะไร ไม่ได้ขวนขวายต้องออกไปนอกบ้าน ถ้าคนที่เข้ามาหาเราเขาไม่ได้มีชีวิตแบบนี้ เขาก็คงจะอยู่กับเราลำบาก และอีกอย่างแพนติดครอบครัวมาก จะให้ความสำคัญกับคนในครอบครัวทุกคนก่อน


แล้วอยู่กับครอบครัวตลอดเวลาจะมีเวลาไปสวีทกับเป้เหรอ?

แพนเค้ก : มันก็มีบ้างค่ะ ไปทานข้าวกัน แต่อย่างที่บอกว่าแพนไม่ชอบที่จะออกไปข้างนอกหรือไปทำอะไร เขาก็พยายามเรียนรู้ในแบบที่เราเป็น คงต้องค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป ตัวแพนเองก็เช่นกันคงต้องเรียนรู้อะไรอีกหลาย ๆ อย่าง แต่เราก็ยังไม่ได้เปิดมากนัก

คุณแม่ : อย่างที่แม่บอกว่าทำไมแม่ต้องคอยอยู่ใกล้ ๆ ทุกเรื่องราว เพราะแม่พยายามช่วยทุกคนนะ พยายามบอกใครก็ตามที่เข้ามาในชีวิตของลูกเราว่า วิธีที่คุณจะชนะใจแพนเนี่ย ทั้งสองคนต้องปรับยังไงบ้าง ลูกเราเรารู้ว่าจะปรับได้มากน้อยแค่ไหน แต่คนอื่นสิจะปรับตามได้หรือเปล่า เพราะธรรมชาติและนิสัยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

มีเรื่องไหนที่คุณแม่เข้มงวดเป็นพิเศษหรือคอยพร่ำสอนประจำบ้าง?


แพนเค้ก : แม่สอนให้ทำอะไรให้มีสติตลอดเวลาและรู้จักหน้าที่ของตัวเองค่ะ รวมถึงอารมณ์ในการทำงานด้วย เพราะมีบ้างที่เราทำงานเยอะ เจอคนเยอะ มันก็เหนื่อยและหงุดหงิดบ้าง แม่ก็บอกให้ใจเย็น ๆ เพราะทุกอย่างมันมีผลต่อวันต่อ ๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นงาน ชีวิตเรา หรืออะไรก็ตาม แม่ให้มองให้กว้างขึ้น สูดลมหายใจลึก ๆ แพนก็ปรับและเรียนรู้มาเรื่อย ๆ ในทุกวัน หรืออย่างบางทีเราเจอข่าวแรง ๆ เรารู้สึกว่าทำไมจะต้องมาอะไรกับเราขนาดนี้ มันเกินไปไหม แต่พอมาคิดดู มันหน้าที่เขา หน้าที่เรา พอผ่านไปทุกคนก็ลืมแล้ว ไม่มีใครมาสนใจต่อ คือถ้ามองมันเป็นเรื่องธรรมชาติ มันก็ขำ ๆ สนุก ๆ กันมากกว่า คงต้องค่อย ๆ ปรับค่ะ เพราะสิ่งที่เราเจอะเจอในทุกวัน อารมณ์มันจะต่างกันไป ต้องมีสติตลอดเวลา ทำได้บ้างไม่ได้บ้างผสมกันไป คือเราต้องเริ่มจากคิดดีก่อน  มันทำให้เรามองอะไรได้ดีมากขึ้น คนที่สบายใจมันก็คือตัวเรา ถ้าคิดไม่ดี อะไรมันก็คงลบไปหมด


งานในวงการบันเทิงบางครั้งต้องมีบทเลิฟซีนหรือเซ็กซี่บ้าง คนที่เป็นแม่ยอมรับตรงจุดนี้ยังไง?

คุณแม่ : แม่คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพียงแค่เราเซฟตัวเอง ผู้กำกับเขาก็คงมีเหตุผลของตัวเอง แม่ไม่ได้ไปถามไถ่หรือมีข้อจำกัดอะไรนัก ลูกเราก็ผ่านงานมาเยอะ ถ้าเรามีสติ มันไม่มีอะไรที่ต้องหนักใจ และแม่เองก็ไม่ได้ไปอยู่ใกล้ ๆ มันจะเหมือนไปกดดัน เลยจะดูอยู่ห่าง ๆ มากกว่า

แล้วแพนเขินไหม เพราะแม่เองก็คงแอบยืนมองอยู่?


แพนเค้ก : ไม่ได้เขินค่ะ เพราะเรารู้ว่านี่คืองาน แล้วเราก็อยากให้มันผ่านไปด้วยดีมากที่สุด อีกอย่างผู้กำกับก็จะบอกว่าฉากนี้มันมีเหตุผลรองรับยังไง ทำไมต้องมีฉากนี้ แล้วแพนก็เป็นคนที่เล่นเลิฟซีนไม่ค่อยเก่ง ถ้ามัวแต่เขินจะเล่นดีหรือไม่เล่นดี สิ่งที่ออกไปก็คงไม่ดีแน่ ๆ เพราะขาดความมั่นใจ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราคือนักแสดง ต้องทำออกไปให้ดีที่สุด แต่ต้องดูลิมิตที่ควรจะทำด้วยว่ามากน้อยแค่ไหน ซึ่งผู้กำกับหรือผู้จัดจะช่วยแนะนำว่าอยากให้เป็นแบบนั้นแบบนี้เพราะอะไร



ครอบครัวมีส่วนในความสำเร็จของแพนมากน้อยแค่ไหน?

แพนเค้ก : ครอบครัวเป็นทุกอย่างของความสำเร็จของแพนเลยค่ะ เพราะเราคงเดินมาคนเดียวไม่ได้หากขาดคุณพ่อคุณแม่หรือน้อง ๆ ที่คอยเป็นกำลังใจที่ดีเสมอ รวมทั้งคุณตาคุณยายและคนรอบข้างของเราที่ให้กำลังใจมาโดยตลอด เพราะในทุกวันเราเจออะไรเยอะแยะ มีปัญหามากมาย มันไม่ได้ราบรื่นเสมอไป คนที่ไม่ชอบเราก็มี อะไรที่คอยเป็นแรงผลักดันและแรงบันดาลใจดี ๆ สำหรับเราที่ทำให้เราผ่านไปได้ก็คงเป็นครอบครัวนี่แหละค่ะ

แล้วความรู้สึกของคนเป็นแม่ที่เห็นลูกประสบความสำเร็จขนาดนี้?


คุณแม่ : แม่ไม่เคยรู้สึกว่าแพนประสบความสำเร็จนะ แม่แค่รู้สึกว่าเขาสามารถประคับประคองตัวเองได้อย่างน่าทึ่งในช่วงอายุเพียงแค่นี้ ตัวแม่เป็นแค่คนที่คอยอยู่ข้าง ๆ เลี้ยงดูเขามา เขาก็ให้ความไว้วางใจให้เรายืนอยู่ข้างเขา แค่นี้คือความประทับใจที่สุดแล้วที่เรายังได้ทำหน้าที่อยู่ข้าง ๆ เขาตรงนี้ ไม่ใช่เขาให้เราไปดูอยู่ห่าง ๆ หรืออยู่รอบนอก เรายังได้ยืนกับลูก ได้จับมือเขาทุกวัน ได้ไปในทุก ๆ ที่ที่เขาไป เราก็รู้สึกว่าเหนือกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่คนเป็นแม่คนหนึ่งจะหาได้แล้ว แม่เชื่อว่าอย่างนั้นค่ะ

เรียกว่า เป็นคุณแม่สมัยใหม่ ที่มีวิธีสอนที่น่าทึ่ง และเข้าใจลูกทุกเรื่องจริง ๆ.


เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์