เจาะใจ...ผู้ชายลั้ลลาชาคริต แย้มนาม

 

คมชัดลึก :เรียกว่าเป็นพระเอกเบอร์ต้นๆ ของเมืองไทยเลย สำหรับ ชาคริต แย้มนาม เพราะไม่ว่าหนุ่มคนนี้จะขยับตัวทำอะไร มักเป็นที่สนใจของผู้คนอยู่เสมอ และด้วยฝีมือการแสดงที่หาตัวจับยาก ทำให้พระเอกคนนี้ได้ร่วมงานในระดับอินเตอร์มากมาย ล่าสุดกับภาพยนตร์เรื่อง "มาย เบสท์ บอดี้การ์ด" ที่ได้ร่วมถวายงานกับทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ล่าสุดเขามาออกรายการ แมงโก้ แบงโก้ หน้าบันเทิง คม ชัด ลึก จึงขอคว้าตัวมาเปิดมุมมองชีวิตของผู้ชายคนนี้แบบหมดเปลือก


ตอนนี้มีผลงานอะไรบ้าง

 ภาพยนตร์ที่ฉายอยู่ก็คือเรื่อง มาย เบสท์ บอดี้การ์ด แล้วก็มีภาพยนตร์ที่ถ่ายเสร็จแล้ว แต่อยู่ในช่วงกำลังตัดต่อยู่ อย่างเรื่อง ผู้ชายลั้นล้า ละครก็มีเรื่องคู่แค้นแสนรัก ของทางโพลีพลัส

ในเรื่อง มาย เบสท์ บอดี้การ์ด ได้ร่วมงานกับทูลกระหม่อมด้วย รู้สึกอย่างไรที่ได้มีโอกาสถวายงาน

 คุ้มมาก ถือว่าเป็นเกียรติต่อตัวผมเองและครอบครัว เพราะว่าครั้งแรกเลย ตอนที่ตอบรับใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์ในการตัดสินใจ เพราะเราก็เหวอว่าเราจะทำได้ไหม เรื่องพิธีรีตอง เรื่องคำราชาศัพท์ พอได้ปรึกษาหารือกับคุณแม่แล้ว คุณแม่เป็นคนที่ทำให้เราตัดสินใจได้ คุณแม่บอกว่าเราเป็นคนไทย ครั้งหนึ่งในชีวิต นอกจากเราจะได้ถวายงานท่านแล้ว เรายังได้ถวายงานที่ท่านและเรารัก นั่นคืองานศิลปะการแสดง ชีวิตนี้จะเอาอะไรอีก คนอื่นที่เขาอยากจะมีโอกาสตรงนี้มีตั้งเยอะตั้งแยะ พอตัดสินใจแล้ว เล่นไปได้รู้จักกับท่าน ได้ใกล้ชิด รู้สึกว่าท่านเป็นกันเองมากๆ ทำให้เราทำงานได้ง่าย กองนี้การทำงานจะเป็นการร่วมงานกับไทยและต่างประเทศที่มาผสมกันอย่างลงตัว และนักแสดงหลายๆ คน กับเอฟเฟกท์ต่างๆ ทุกอย่างคุ้มจริงๆ กับภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำให้เรารู้สึกเลยว่าเราตัดสินใจถูกที่รับเล่นเรื่องนี้



เห็นว่าต้องเป็นทั้งบอดี้การ์ดให้ทูลกระหม่อมทั้งในจอและขณะถ่ายทำด้วย

 เพราะเรื่องนี้เป็นละครบู๊ จะมีซีนอันตรายต่างๆ มีทั้งเอฟเฟกท์ทั้งอะไร เราค่อนข้างที่จะเป็นบอดี้การ์ดทั้งในเรื่องและในขณะที่ถ่ายด้วย เพราะว่าค่อนข้างอันตราย อุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา อย่างที่มีอุบัติเหตุเมื่อพระองค์ท่านทรงล้มแล้วคิ้วแตกต้องเย็บ 7 เข็ม ซึ่งในเรื่องท่านเจ็บหนักสุด ตอนนั้นใจหล่นเลย คนที่ได้ไปดูหนัง หรือเห็นภาพตามรายการต่างๆ คงช็อกเหมือนกัน เพราะว่าท่านล้มแรงมากจริงๆ เล่นจริง เจ็บจริง

เสน่ห์ของภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ที่ไหนในความคิดของ "ชาคริต"

 ผมว่าน่าจะอยู่ที่เป็นเรื่องราวความเป็นมนุษย์ สัจธรรมที่ทุกคนมีสิทธิที่จะอยู่เท่าเทียมกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร เพราะมนุษย์คือผู้สร้าง และมนุษย์คือผู้ทำลาย ถ้าเกิดเราปรองดองกัน ให้เกียรติในความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน ผมว่าโลกนี้มันน่าจะอยู่กันอย่างมีความสุขได้ นอกจากความบันเทิงแล้ว เรื่องนี้ค่อนข้างจะมีการสื่อความหมายออกมาที่ดีที่แฝงอยู่ในนั้นเรื่อยๆ

ด้วยความที่เป็นนักแสดงอิสระสามารถรับงานได้หลากหลาย มีบทไหนบ้างที่ยังไม่ได้เล่นแล้วอยากจะเล่น

 จริงๆ จะบอกว่าเล่นหมดแล้ว (หัวเราะ) ไม่มีบทไหนที่ท้าทายเลย เล่นเป็นคนบ้า เล่นเป็นคนออทิสติก ก็เล่นแล้ว คือเล่นในงานมหิดล เป็นงานวิทยานิพนธ์ของมหิดล อินเตอร์ ก็เล่น ออฟ ไมซ์ แอนด์ เมน (Of Mice and Men) บทประพันธ์ของ จอห์น สไตน์เบ็ค เป็นบทในฝัน ซึ่งก็ได้เล่นไปแล้วด้วย ผมว่าความสนุกของการแสดงคือตอนเราเริ่มการแสดงแรกๆ เราพยายามจะหนีไม่อยากเล่นบทอะไรที่ซ้ำ เป็นความท้าทาย คือเมื่อเราต้องวนมาเจออะไรที่มันเหมือนเดิมคือทำยังไงให้มันแตกต่าง เพราะถึงแม้ว่าเรื่องราวจะคล้ายกัน แต่คนเรา มันก็ต่างชีวิตกัน มันก็จะเป็นแบบว่าอารมณ์เล็กๆ ที่เราต้องค้นหาให้เจอ เพื่อจะทำให้ตัวละครนั้นมีการถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้แตกต่างที่เป็นธรรมชาติ



ด้วยความที่อยู่วงการมานานได้แสดงทั้งละครและภาพยนตร์ในบทที่ซ้ำไปซ้ำมามีความรู้สึกอิ่มตัวกับมันบ้างไหม

 ไม่นะ เพราะว่าบนโลกนี้มีตั้ง 6 หมื่น 6 แสนล้านคน มันก็ต้องมีคาแรกเตอร์อะไรที่มันน่าค้นหาไปอีกเรื่อยๆ ผมคงไม่เบื่อ เพราะว่ามันก็เหมือนกับว่าได้ฝึกฝนตัวเอง เราก็คงอยากที่จะทำให้ดีที่สุด อยากที่จะทำให้มันแตกต่างออกไปมากที่สุด แต่ด้วยความเป็นตัวเรามันอาจมีบางสิ่งบางอย่างที่มันคล้ายๆ กัน แต่ใจลึกๆ เราก็อยากที่จะทำให้มันแตกต่างมากที่สุดในแต่ละบทบาท ถึงจะได้เล่นมาหมดทุกอย่างแล้ว แต่เราก็ยังสนุกกับมัน ยังไม่เบื่อ

เรียกว่าการแสดงคือส่วนหนึ่งในชีวิตของ "ชาคริต" เลยไหม

 "ก็ทำงานทุกวัน คือมันเป็นงานทั้งวัน แต่ที่สำคัญที่สุดคือการที่เราได้กลับมาเป็นตัวของเราเอง (หัวเราะ) นั่นคือสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุด เพราะนอกเหนือจากงานแล้ว มันก็ต้องมีเวลาที่เป็นส่วนตัวบ้าง"

"ชาคริต" มองว่าตัวเองเป็นนักแสดงหรือเป็นดารา

 คือผมเองมองว่าผมเป็นนักแสดงไม่ใช่ดารา แต่ทุกอย่างมันอยู่ที่การวางตัวของเรามากกว่า ว่าเราทำตัวอย่างไรกับภาพที่ออกไป เพราะถ้าเราทำตัวเป็นสตาร์ขึ้นมา วันหนึ่งเราก็คงเป็นสตาร์ แต่เราก็ไม่รู้ว่าเรามีคุณสมบัติหรือเปล่า เพราะฉะนั้นขอเป็นนักแสดงแล้วกัน (หัวเราะ) เป็นคนทำงานที่มีอาชีพเป็นนักแสดง



นักแสดงบางคนตั้งเป้าไว้ว่าถ้าวันหนึ่งไม่ได้เป็นพระเอก ให้รับบทพ่อเขาจะไม่เล่นแล้ว สำหรับ "ชาคริต" ล่ะ

 ผมเป็นนักแสดง ผมเล่นได้ทุกบทบาท ผมเล่นได้หมด การเป็นนักแสดงมันไม่ได้มีอายุขัย แล้วมันก็ไม่ได้มีแค่บทพระเอกอย่างเดียวด้วย มันแล้วแต่ว่าอยากจะเล่นเป็นตัวอะไร แล้วเขาเห็นว่าเราเหมาะกับบทอะไร แล้วก็ไปแคสติ้ง ไปออดิชั่น ไม่ได้จำเป็นว่าต้องเป็นพระเอกตลอดไป พูดง่ายๆ เลยว่าผมเป็นเด็กโตกองถ่าย ไม่รู้ไปทำอะไรแล้วนอกเหนือจากนี้ อยู่กองถ่ายทำงานเสร็จกลับบ้าน

มีเคล็ดลับการอยู่ในวงการอย่างไร เพราะเขาว่ากันว่าวงการเข้ามาง่าย แต่จะอยู่ให้นานมันยาก

 สำหรับผม ผมก็เดินสายกลาง จากเด็กๆ ขี้น้อยใจ ขี้โมโหกับข่าว หรือว่าอะไร แต่เดี๋ยวนี้ไม่แล้ว เพราะว่ามันก็เป็นหน้าที่ มันก็เป็นส่วนหนึ่งของงานของพี่ๆ สื่อเขาต้องทำกัน แล้วถ้าตัดตรงนี้ออกไปได้ เข้าใจในตรงนี้มันก็ไม่มีอะไรแล้ว มันก็มีแต่บวกๆ

เขาบอกว่าที่ทำงานหนักขนาดนี้ เพราะว่าอยากลืมความรักครั้งเก่า

 (หัวเราะ) ไม่หรอก เพราะตอนที่มีความรักก็มีงานแบบนี้ คือตั้งแต่ก่อนมี จนมี จนไม่มี ทำงานแบบนี้มาตลอด ซึ่งถ้าเกิดจะต้องเลือก ผมว่าผมเป็นผู้ชายสิ่งที่ผมทำอยู่ก็เพื่ออนาคต ถ้าเกิดเป็นเรื่องของครอบครัวแล้ว ผมทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวได้ ถ้าวันหนึ่งผมมีภรรยามีลูกเขาต้องสบาย ไม่ใช่อยู่ดีๆ มาก็ต้องตกระกำลำบากกับเรา เพราะอันนั้นคงไม่ใช่สิ่งที่ต้องมานั่งทดสอบกัน เพราะถ้าเกิดมีอะไรเกิดขึ้นมา เขาคือคนที่จะคอยอยู่ข้างๆ เรา คอยให้กำลังใจเรา



ภาพลักษณ์ของ "ชาคริต" ดูเป็นคนเจ้าชู้ จนได้ฉายาว่าเป็น "พระเอกไม้เลื้อย" ตัวตนที่แท้จริงเจ้าชู้ไหม

 อย่างที่ผมบอกตอนแรก ว่านี่แหละคือสิ่งที่เราไม่เข้าใจกับพี่ๆ น้องๆ สื่อ จนบางครั้งอาจจะมีข่าวอะไรออกมา ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกของเรายังไม่นิ่ง ยังไม่โตพอ ใช้แต่อารมณ์อย่างเดียว เลยโมโหว่าทำไมมาว่าเรา พอมาวันนี้อาจจะมีข่าวเหมือนเดิม แต่เราเข้าใจแล้ว ว่ามันก็เป็นเรื่องของเนื้องานมากกว่า ตามความจริงผมก็ได้ใจจากนักข่าวทุกคน ทำให้ชีวิตผมมันมีแต่สิ่งดีๆ

ชีวิตตอนโสดกับตอนไม่โสดแตกต่างกันเยอะไหม

 มันก็เหงา ต้องมีอารมณ์เหงา มีอารมณ์ที่อยากมีใครสักคนบ้าง ด้วยความที่เราทำงานตรงนี้ คงไม่ได้ที่จะต้องไปคิด หรือไปไขว่คว้าตามหา ผมก็ขอให้มันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ถ้าเป็นได้ถ้าอยากเจอ เราก็คงอยากเจอคนที่มันใช่ไปเลย ไม่อยากที่จะต้องคบแล้วต้องเลิก เพราะเราเป็นคนเต็มที่กับความรักอยู่แล้ว เป็นคนที่ศรัทธาในความรัก แต่พอเต็มที่ไปแล้ว และมันไม่ใช่ขึ้นมา แน่นอนมันก็ต้องเสียใจ โชคดีที่พอเลิกรากันไป มันยังไม่ไปถึง ที่เขาเรียกกันว่าสายเกินแก้ ตัวเราเป็นผู้ชายไม่เป็นไร แต่สำหรับผู้หญิงถ้าเราไม่ใช่สำหรับเขา มันก็เป็นการปิดโอกาสเขาเหมือนกัน เราถือว่าโชคดีที่เรายังเป็นเพื่อนกันได้

ในทุกครั้งที่มีความรัก "ชาคริต" จริงจัง จริงใจทุกครั้ง พอมันไม่ประสบความสำเร็จมีเสียความรู้สึกบ้างไหม

 ไม่ ผมถือว่ามันเป็นครูมากกว่า แล้วสิ่งเหล่านี้มันก็ทำให้เราโตขึ้น มันทำให้เราเรียนรู้ว่าเราเป็นคนรักเป็น คือเราเป็นคนที่เต็มที่ มันเสียดาย แต่ไม่เสียใจเลยกับความสุขความทุกข์ที่ผ่านมา มันเป็นความทรงจำที่ดี และผมยังมองความรักเป็นสิ่งที่สวยงามอยู่



ชื่อจริง ชาคริต แย้มนาม
ชื่อเล่น คริต
เกิด 25 มิถุนายน พ.ศ.2521 
ผลงานภาพยนตร์ : คนป่วนสายฟ้า, รักออกแบบไม่ได้, กุมภาพันธ์, เยาวราช, Belly of the beast, โอปปาติก เกิดอมตะ, คริตกะจ๋า บ้าสุดสุด, Bangkok Dangerous,  ฝัน-หวาน-อาย-จูบ, A Moment in June ณ ขณะรัก, แฟนเก่า, มาย เบสท์ บอดี้การ์ด
ผลงานละคร : ทายาทคุณหญิง, เริงมายา, ชายในฝัน, บ่วงบรรจถรณ์, พินัยกรรม, จอมใจจอมแก่น, กามเทพตัวน้อย, ภูแสนดาว, สี่แผ่นดิน, เพลงผ้าฟ้าล้อมดาว, เล่ห์ร้ายอุบายรัก, คุณนายสายลับ, คดีเด็ด...เหตุแห่งรัก, ผู้พิทักษ์รักเธอ, แสงสูรย์, มาเฟียที่รัก, คุณแม่จำแลง, สะใภ้ไกลปืนเที่ยง, ดิน น้ำ ลม ไฟ, จำเลยกามเทพ, โรงแรมผี, เหนือเมฆ, ไฟอมตะ ฯลฯ
ผลงานซิทคอม : เป็นต่อ



เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์