ว่าด้วยนิสัยของเก่ง-วาโย

ผมเพิ่งจะได้มีโอกาสติดตาม The Star อย่างจริงจังเป็นครั้งแรก เหตุผลก็อย่างที่ทุกคนรู้กัน “ก็ปีนี้มีเพื่อนในคณะของผมเข้ารอบแปดคนสุดท้าย” ยังไงล่ะครับ

โดยส่วนตัวผมเป็นคนชอบชมรายการประกวดร้องเพลงหรือแข่งขันแสดงความสามารถพิเศษอะไรทำนองนี้อยู่แล้ว ไล่มาตั้งแต่ American Idol, Britain’s Got Talent, Idol Show, Hot Blood Guys และแน่นอนผมเป็นแฟนตัวยงของรายการ Academy Fantasia Season 2 and 4 และผมก็รู้ถึงกลไกการใช้สื่อเล่นกับอารมณ์คนดูของรายการเหล่านี้เช่นกัน (เรียกว่าใช้สื่อ build อารมณ์ละกัน---ขอโทษนะเก่ง กรณีนี้จำเป็นต้อง build อย่างแรงว่ะเพื่อน haha :-P)

ผมจึงอยากจะบอกใครก็ตามที่เข้ามาอ่านกระทู้ของผม กรุณาทำใจให้เป็นกลาง และอ่านด้วยใจที่ไร้ซึ่งอคติ เพราะผมจะเล่าความจริงให้ฟัง และอาจมีการวิเคราะห์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา ไม่แบ่งสี แบ่งข้าง ไม่อวยใครใดๆ ทั้งสิ้น รวมทั้งอาจจะมีคำพูดที่ไม่ค่อยสุภาพอยู่บ้าง ก็แหมพูดถึงเพื่อนนี่ครับ ก็ต้องมีความเป็นกันเองปะปนมาบ้างถูกมั้ย และนี่คือจุดยืนของผม ผมบอกพวกคุณแล้วนะครับ


ผมรู้จักกับ เก่ง-วาโย (ภัทรวิทย์) ครั้งแรกก็ตอนที่เข้ามาเรียนปี 1 ที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ความรู้สึกตอนที่คุยกันครั้งแรก บอกตรงๆ “ไม่ค่อยชอบว่ะ” รู้สึกว่าเป็นคนที่พูดมาก พูดห้วน เสียงดัง ดูกวนๆ ยังไงไม่รู้

แต่พอเวลาผ่านไปนานเข้าๆ ผมก็ได้คุยกับเก่งมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งมีโอกาสทำงานร่วมกันบ้าง ทั้งงานเกี่ยวกับวิชาการ และงานด้านสันทนาการต่างๆ ของคณะ รวมถึงงานของมหาวิทยาลัย บางครั้งก็เคยเจอกันตามงานนอกคณะก็มี และเพราะได้รู้จักกันมากขึ้นนี่ล่ะครับ จึงทำให้ผมรู้จัก “ตัวตน” ของไอ่เพื่อนพูดมากคนนี้มากขึ้น ไปๆ มาๆ ก็เริ่มชิน วันไหนที่คุยกับเก่งแล้วมันพูดน้อยเกินไปนี่สิ ผมจะรู้สึกว่า เฮ้ย วันนี้เก่งเป็นอะไรไปรึเปล่าวะ

พอมารู้ตัวอีกที ก็กลายเป็นว่า “ผมรับนิสัยของเพื่อนคนนี้ได้แล้วล่ะ ตัดคำว่าไม่ชอบออกไปได้แล้ว” และที่สำคัญ “ผมพร้อมที่จะเป็นเพื่อนกับเก่งแล้วครับ”

ช่วงปี 2 ปี 3 ผมกับเก่งก็คุยกันเรื่อยๆ ตามปกติ อาจจะมากหน่อยในช่วงใกล้สอบ เพราะช่วงนั้นพวกผมจะถูกอาจารย์เรียกไปติวด้วยกันกับเพื่อนอีกกลุ่มเสมอๆ ภาษาเด็กศิริราชเรียกว่า “จิบน้ำชา” ครับผม ทำไมต้องถูกเรียกไปติวน่ะเหรอ ช่วงปี 2 ผมไปซ้อมร้องเพลงทุกวัน ปี 3 ก็มีงานอื่นๆ ที่ต้องไปทำหลังเลิกเรียน ส่วนไอ่คุณเก่งก็ไปทำงานข้างนอกอารมณ์เดียวกันกับผม บางทีก็กลับบ้านไปอ่านหนังสือสอบรามฯ พวกเรามักจะได้เจอกันตอนกลับมาที่คณะในเวลาตี 1-ตี3 ก็แล้วแต่วัน แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่เคยก่อนเวลานี้หรอกครับ ประโยคยอดฮิตเลยคือ “เฮ้ย กลับดึกอีกแล้วเหรอวะ วันนี้ไปไหนมาเนี่ย” แล้วพวกเราต่างคนก็จะต่างเล่าว่าวันนั้นไปทำอะไรกันมาบ้าง ด้วยเหตุนี้อาจารย์จึงกังวลว่าพวกเราจะทำสอบได้ไม่ดีก็เลยให้พวกเราไป “จิบน้ำชา” โดยที่หลังจากจิบน้ำชา บางครั้งเวลาที่ผมกลับมาอ่านทวนหรือที่เรียกว่าย่อยความรู้ด้วยตัวเอง ก็มีโทรปรึกษากันบ้าง โวยวายบ้างไปตามประสาว่าทำไมเนื้อหามันเยอะอย่างนี้ล่ะเนี่ย

พอขึ้นปี 4 คงบังเอิญมั้งครับ ที่ผมกับเก่งได้อยู่ใน Rotate เดียวกัน คือเราจะขึ้นปฏิบัติงานตามวอร์ดต่างๆ ในโรงพยาบาลศิริราช โดยอยู่ในวอร์ดเดียวกัน ซึ่งแน่นอน ต้องเรียน lecture ด้วยกัน และบางวอร์ดก็ต้องอยู่เวรด้วยกันอีกด้วย ผมได้รู้จักเก่งมากขึ้นไปอีกในหลายๆ ด้าน จนมาถึงตอนนี้ผมบอกได้เลยว่าเพื่อนผมคนนี้เป็นคนดีคนหนึ่งเลยนะครับ

หยุดก่อนครับ อย่าเพิ่งคิดนะครับว่า “ก็แหงสิ เพื่อนกันนี่นา” อย่าลืมที่ผมบอกไปตั้งแต่ต้นล่ะครับว่าผมพูดไปตามที่ผมรู้สึกจริงๆ อาจจะถูกใจใครหรือไม่ถูกใจใคร ผมไม่ทราบความคิดของคนอ่านหรอกครับ แต่ถ้าอยากรู้ก็อ่านต่อไปละกัน

ออกตัวเพิ่มอีกนิดนึงว่า นิสัยของผมเป็นคนที่ใจเย็น มองโลกในแง่ดี รู้จักกาลเทศะ เก็บอารมณ์เก่ง ไม่ชอบคนที่ไม่สุภาพ ไม่ชอบคนที่พูดจาไม่ไพเราะ ไม่ชอบคนพูดมาก ไม่ชอบคนพูดไม่คิด ไม่ชอบตำหนิคนอื่นตรงๆ แต่จะหาโอกาสในการเตือนที่เหมาะสม

และที่สำคัญผมไม่เคยทนคนที่ผมไม่ชอบ ถ้ามาล้ำเส้นของผมมากเกินไป ผมก็วีนใส่ไม่ไว้หน้าเหมือนกัน ผมเป็นคนมีมาตรฐานสูงในการตัดสินคนอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ผมเรียกว่า “เพื่อน”

ทีนี้สงสัยมั้ยว่าอะไรที่ทำให้ผมยอมรับเพื่อนคนนี้ได้อย่างไม่มีข้อค้างคาใจ คำตอบมีแค่สั้นๆ ครับ

“น้ำใจและความสปอร์ตของเพื่อนที่ชื่อ เก่ง-วาโย”

แค่นี้ล่ะครับ ที่ทำให้ผมไม่มีข้อสงสัยในตัวเพื่อนคนนี้อีกเลย


เก่งไม่เคยปฏิเสธเวลาที่เพื่อนๆ ขอความช่วยเหลือในสิ่งที่เค้าช่วยได้นะครับ ไม่เคยเลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้บางเรื่องเค้าอาจจะไม่เห็นด้วย แต่ถ้าเรามีเหตุผลที่ดีเพียงพอและอธิบายให้เค้าเข้าใจ เชื่อมั้ยครับว่าไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำสองเลย เค้าตรงดิ่งไปเริ่มทำให้แล้วครับ บางครั้งยังย้อนกลับมาเร่งให้ผมทำงานเร็วขึ้นก็ยังมี เอากับเค้าสิ

นิสัยของเก่งเวลาอยู่กับเพื่อนๆ ที่คณะเป็นแบบไหน ผมก็บอกได้เลยว่าก็แบบที่เห็นในทีวีนั่นล่ะแต่บางครั้งอาจจะตรงไปตรงมามากกว่านั้นด้วยซ้ำ พวกคุณยังไม่เคยเจอกันหรอกครับ

แน่นอนว่ามีทั้งเพื่อนที่รับได้ และก็รับไม่ได้(แบบผมในตอนแรกๆ) ผมเคยคุยกับเก่งเรื่องนี้หลายครั้งแล้วครับ

รู้มั้ยครับว่าเก่งตอบผมว่าอะไร

“เราโกหกความรู้สึกตัวเองไม่เป็นว่ะ รู้สึกยังไงก็พูดออกไปอย่างนั้น ไม่เคยคิดมากหรอก ใครรับไม่ได้ก็ช่างสิ รับไม่ได้ก็ไม่ต้องคบ ไม่ต้องคุย ใครรับได้ก็คุยกันได้ เป็นเพื่อนกันได้ ไม่เห็นต้องแคร์อะไรมากเลย เราไม่เคยคิดร้ายกับใครซักหน่อย อีกอย่างแบบนี้ก็จริงใจดีออกนี่”

ซึ่งผมก็บอกเก่งไปหลายรอบว่าในสังคมไทยยังไม่ชินกับการบอกความรู้สึกไปตรงๆ แบบนั้น แต่เก่งก็จะพูดทำนองนี้กลับมาทุกครั้ง ผมจึงได้แต่ทำใจว่า เออ ไม่เป็นไร มีเพื่อนแบบนี้ก็ดีไปอีกแบบ ไม่ต้องคอยคิดว่าเพื่อนคนนี้จะรู้สึกยังไง เพราะเค้าบอกเองให้เสร็จสรรพ ในเมื่อเค้าเป็นอย่างนี้ อย่างน้อยก็มีผมและเพื่อนอีกกลุ่มนึงล่ะที่เข้าใจ คนอื่นๆ ที่เหลือเป็นยังไงผมไม่รู้ เอาเป็นว่าผมรับได้ละกัน

เคยมีคนบอกผมว่า คนที่เราควรจะแคร์คือคุณพ่อคุณแม่ ครอบครัว เพื่อนสนิท และคนที่หวังดีกับเราจริงๆ คนอื่นๆ ไม่มีความจำเป็นต้องใส่ใจมาก เพราะหากเราไปให้ความสนใจ “คนอื่น” ที่ไม่ควรค่าแก่การได้รับการเอาใจใส่ขนาดนั้น คนที่มีความสำคัญกับเราจริงๆ ก็จะถูกละเลยไป ไม่ได้รับการเอาใจใส่เท่าที่ควร ผมเคยพูดเรื่องนี้กับเก่งเหมือนกัน และเก่งเองนี่ล่ะก็เป็นคนที่ย้ำกลับมาว่าตัวเค้าก็คิดอย่างนี้เช่นเดียวกัน แต่ผมคงจะต่างกับเก่งตรงที่กับคนที่ผมไม่ชอบผมจะนิ่ง เงียบ ไม่พูด ไม่อยากเสวนาด้วย ผมเลือกที่จะหลีกเลี่ยงมากกว่า ส่วนเก่งจะว่าออกมาตรงๆ พูดให้รู้กันไปเลย นี่ล่ะครับ ตรงดีมั้ยล่ะนายเก่งเนี่ย

 
อ่านมาถึงตรงนี้หลายๆ คนน่าจะพอตอบคำถามได้แล้วนะครับว่า ที่เก่งพูดถึงเรื่องชีวิตส่วนตัว รวมทั้งมุมมองการใช้ชีวิตอะไรหลายๆ อย่าง ที่หลายๆ คนเห็นว่า “ดูพูดจาอวดๆ ยังไงก็ไม่รู้” ทีนี้พวกคุณตอบกันได้หรือยังว่าเค้าอวดจริงหรือไม่

ผิดด้วยเหรอครับ ถ้าจะเกิดมามีฐานะ และได้รับการเลี้ยงดูมาในสังคมลักษณะนั้น ทำให้สิ่งที่พูด สิ่งที่แสดงออก โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยเก็บความรู้สึกแบบเก่ง เค้าก็แสดงออกมาเป็นตัวตนของเค้าจริงๆ ที่ได้รับการหล่อหลอมมาจากสังคมรูปแบบที่เก่งเติบโตมา อธิบายง่ายๆ คนที่เกิดมาไม่เคยออกไปจากกรุงเทพฯ แม้แต่ครั้งเดียว จะมีวันทราบมั้ยล่ะครับว่าชนบทเป็นยังไง

ถ้าถามผม ผมก็พูดได้แต่เพียงว่า เก่งก็แค่เล่าให้ฟังถึงรูปแบบการดำเนินชีวิตที่เค้าคุ้นเคยมาตั้งแต่เกิด เพียงแต่มันอาจจะไม่ตรงกับวิถีชีวิตของคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยก็เท่านั้นครับ

และอีกคำถามนึงคือ เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่เก่งร้องไห้ เค้าเศร้าจริงๆ หรือไม่ ผมว่าข้อนี้คนที่ได้ดู The Star Daily ทุกวันน่าจะตอบคำถามนี้ได้ดีกว่าผมนะครับ และถ้ายังจำกันได้ที่ผมบอกไปก่อนหน้าว่าเก่งบอกผมว่าใครที่ควรจะแคร์มากที่สุด ทีนี้คงจะได้คำตอบกันนะครับว่าเพื่อนผมคนนี้ทำทุกอย่างโดยคำนึงถึงความสุขของใครมากที่สุดถ้าไม่ใช่คุณพ่อคุณแม่ หรือคุณคิดว่ายังไงครับ



เอาล่ะครับผมขอจบประเด็นที่หนึ่ง  “ว่าด้วยนิสัยของเก่ง-วาโย” ไว้เพียงเท่านี้นะครับ อ่านมาถึงตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณว่าเพื่อนผมคนนี้ “โดนใจ” ของคุณบ้างไหม

ถ้าใช่ ก็เชียร์ (โหวตด้วยก็ดีนะครับ)
ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ต้องเชียร์ เท่านั้นเองครับ


By: เจ้าชายไซเบอร์ ณ ศิริราช รุ่น 117


ขอขอบคุณกระทู้ดีดีจาก:เฉลิมไทย(พันธ์ทิพย์)



เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์