มาริโอ้ เมาเร่อ ก้าวใหม่ในเวทีใหม


กว่าจะพ้นพงหนามของชื่อเสียงและคดีความในปีนี้ดูเหมือนว่า คนรอบข้างยังเป็นแรงใจให้เขาเหมือนที่ยังมีแฟนคลับสนับสนุน...

ยังเป็นปีของ
มาริโอ้ เมาเร่อ ดาราวัยรุ่นลูกครึ่งไทย-เยอรมัน ที่ประสบความสำเร็จรวดเร็วมากคนหนึ่ง

สำหรับปี 52 ที่กำลังจะผ่านไปก็เป็นปีที่เขาต้องผจญกับพายุข่าวและคดีความกับอดีตผู้จัดการกระทั่งต้องยอมยกธงขาวให้

ถือว่ากว่าจะพ้นเรื่องร้ายก็เอาเหงื่อตก ถ้าเป็นบอลก็ต้องต่อเวลา ไปถึงจุดโทษ

สำหรับมาริโอ้ ถือว่าเป็นดาราวัยรุ่นที่เกิดจากผลงานภาพยนตร์ ก่อนที่จะกระโจนลงละครของโมเดิร์นไนน์ภายใต้สังกัดใหม่ ของ
เอ ศุภชัย ผู้จัดการดาราชื่อดัง

ว่ากันว่าบทบาทจากนี้ของเขาในปี
  2553 น่าสนใจยิ่ง

หนึ่ง ต้องแสดงศักยภาพของตัวตนออกมาให้เห็น หลังที่ได้ย้ายบ้านเปลี่ยนสังกัดใหม่ เพ่ือพิสูจน์ฝีมือที่แท้จริงออกมา
    

สอง ต้องฝ่ามรสุมข่าวและประคับประคองความรักที่ว่ากันว่ายังหวานชื่น และไม่ใช่รักโปรโมตตามที่เข้าใจ กับน้องกุ๊บกิ๊บ นักแสดงที่กำลังมีผลงานทางช่อง 3

และนี่คืองานใหม่ในบทบาทนักแสดงละคร
ที่ต้องประชันกับดาราเกาหลีชื่อดังหลายคน ที่น่าจับตามอง

มาถึงวันนี้
  มาริโอ้  คงมีเรื่องราวในใจที่อยากเล่ามากมาย


ทราบว่าไปถ่ายละครที่เกาหลีมา บรรยากาศที่เกาหลีเป็นอย่างไร
คือกับละครเรื่องนี้
ไปถ่ายที่เกาหลีเดือนกว่า หนาวมาก แต่ละคนก็ทำงานจริงจังนะ ต่างจากคนไทย แล้วคือเรื่องเครื่องแต่งกายตอนที่โอ้ไปอยู่ที่โน้นก็หนาวมาก พี่เค้าทำงานกันไปตัวแข็งเลยเพราะหนาวจริงๆ ติดลบ 5 ติดลบ 7 องศา


กับงานละครของโมเดิร์นไนท์เร่ืองแรกหรือเปล่า
เรื่องแรกเลยครับ


กับกล้องทีมงานเร่ิมจะชินหรือยัง
กับกล้องละคร กับทีมงานละคร ก็รู้สึกคล่องขึ้น และได้ทำงานที่แตกต่างไปจากเดิมที่ไม่เคยทำมาก่อนก็รู้สึกสนุก
และได้เรียนรู้ ได้เจออะไรใหม่ๆ


กับน้องพลอย (ความสุขของกะทิ) เป็นอย่างไร
ก็ดีนะครับ น้องเขาน่ารัก อย่างฉากที่ไปถ่ายในสวนรถไฟเป็นฉากที่ต้องมาขอโทษน้องพลอย คือเหมือนว่าโอ้เป็นคนท่ี่เก็บความแค้นไว้เยอะก็ไประบายไม่ได้ ไม่ได้เป็นคนกระทำกับน้องโดยตรง แต่อาศัยน้องเป็นเครื่องมือ ประมาณนั้น ดราม่านะครับ





นี่เป็นจำเลยรักภาคเกาหลีหรือเปล่่า
อย่าเรียกอย่างนั้นดีกว่าโอ้ว่าไม่เหมือนกัน
  เพราะว่าคนละเรื่องและพล็อตเรื่องก็ไม่เหมือนกันแต่อาจจะมีส่วนคล้ายกันอยู่บ้างอยากให้แฟนๆละครช่วยติดตามกันด้วย โอ้ทำเต็มที่ครับ ถ้ามีอะไรบกพร่องก็ติชมกันได้ครับ


การเข้าฉากกับนักแสดงเกาหลี
ก็เแปลกครับเพราะว่าไม่เคยทำงานกับชาวต่างชาติ ภาษาก็ยากแล้วเราใช้ภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาหลักของเรา
เค้าก็ใช้ภาษาเกาหลีจึงต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร คุยกันไม่ยากครับเพราะพวกเค้าก็เก่งภาษาอังกฤษกัน โอ้ก็ได้ใช้ภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็กแล้ว พี่ๆทีมงานเค้าก็เก่งภาษาอังกฤษ ก็คุยภาษาอังกฤษกันได้ การทำงานต้องปรับกันบ้าง แต่ก็ผ่านไปด้วยดีครับ


ตอนนีี้ละครถ่ายไปกี่เปอร์เซ็นต์แล้ว
ประมาณ 80-90 %แล้วประมาณต้นปีจะได้ชมแน่นอน และตอนนี้ก็มีหนังอยู่ประมาณ 3 เรื่องที่รับแล้วถ่ายอยู่
  ทำงานอย่างเดียวเรื่องเรียนตอนนี้ก็ยังไม่ได้เข้าไปเรียนเยอะ ตอนไปถ่ายละครที่เกาหลีก็ไม่ได้กลับมาเรียนเลย ถ่ายละครอย่างเดียวเลย


ไปถ่ายละครท่ีเกาหลี ไม่ได้รับงานอีเว้นท์ขาดรายได้ไปเยอะหรือเปล่า
ไม่ขาดครับ ก็ตั้งใจทำงาน รายได้ก็เป็นส่วนหน่ึ่งแต่เราตั้งใจทำงาน ได้เล่นละคร ได้ทำงานใหม่ๆ ได้เจอทีมงานใหม่ๆ ก็ตื่นเต้น ได้ประสบการณ์ที่มากขึ้น ได้ไปทำงานต่างประเทศ ไม่เคยไปทำงานต่างประเทศ ไม่เคยแอ๊คชั่นไปมือสั่นไป ได้เพื่อนใหม่ๆด้วยและก็ได้เรียนรู้อะไรอีกเยอะ


อากาศที่เกาหลีหนาวขนาดไหน
มันหนาวจนใส่เสื้อประมาณ 4 ชั้นก็ยังหนาวอยู่เลย
อยู่บ้านเราเจอแดด เราหลบแดด แต่อยู่ที่โน้นเราวิ่งเข้าไปหาแดดไม่กลัวดำ อุ่นดี  


4 ธันวาคมที่ผ่านมาเป็นวันเกิด ข่าวว่างานใหญ่
ก็ขับรถพาแม่ไปทำบุญ โอ้ทำงานต่างประเทศไม่ค่อยได้เจอคุณแม่ คิดถึงแม่ ไม่รู้จะไปไหนก็ขับรถพาคุณแม่ไปทำบุญ
ไปหาคุณตา ตอนเย็นก็มีปาร์ตี้ มีเซอร์ไพรส์ใหญ่ มีคนมารวมกันเยอะมากเป็น 100 คน


เห็นว่าพี่พลอยเป็นคนจัดงานวันเกิดให้เรา ใครเป็นแม่งาน
รวมๆกันครับ
ท้ังกุ๊บกิ๊บ ทั้งพี่พลอย ของขวัญก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่งานอลังการมาก รู้สึกดีใจมาก ไม่ใช่แค่เพื่อนๆ ยังมีผู้ใหญ่ในวงการคนที่เราเคยทำงานด้วย ทั้งพี่ต้อม-ยุทธเลิศ  พี่ผิงผู้กำกับละคร  ทีมงานละครก็เป็นกำลังใจที่ดีมากเลย ดีใ



เห็นว่าพี่พลอยขโมยซีนด้วยการพา ต้าร์ มา
ไม่ได้มาขโมยซีนหรอกครับ ก็มาช่วยกัน มากันหมดเลย เหมือนทุกคนช่วยทำเพื่อโอ้ ซึ้งมากๆ อึ้งไปเลยทำทางให้เดินเข้าเป็นลูกโป่ง แต่โอ้ไม่เดินไม่รู้จะเดินเข้ายังไง ตอนแรกก็บอกว่าประมาณ 50 คนแต่พอจริงๆมากันเป็นร้อยคนเลย เพื่อนที่เรียนที่เซนต์ดอมินิกด้วยกันก็มากันหมดเลย 30-40 คน (มีไฮโลท์)ก็ตอนที่โอ้เหวอ ก็รู้สึกพูดไม่ถูก อึ้ง ฟรีตลอดงาน เหมือนเป็นอะไรที่อยู่ในใจจะไม่ลืมเลย


นอกจากจัดงานแล้วกุ๊บกิ๊บให้อะไรหรือเปล่า
ก็มีบ้าง เป็นกระเป๋า และก็เพื่อนๆ พี่เป้ก็มา มาแป๊บหนึ่งเอาเสื้อมาให้ พี่เป้น่ารักมากเลย ของขวัญที่ให้โอ้ พี่เอก็มีของขวัญให้ เพื่อนๆก็ซื้อของขวัญให้ รู้สึกว่าจะเป็นพวงกุญแจ ถูกใจทุกชิ้นเลยเพราะว่าทุกคนมาด้วยใจจริงๆ รู้สึกดีใจมาก  


มีข่าวว่าเราแผ่วๆไปผู้ใหญ่จะนำ เก้า มาแทนที่
โอ้ว่ามันเป็นเรื่องปกติ ทุกคนมีหน้าที่ มีงานที่แตกต่างกันไป มีบทบาทมีอะไรหลายๆอย่างโอ้ก็ทำงานกับน้องเค้า เกิดจากเรื่อง รักแห่งสยาม เรื่องแรกด้วย  ก็รู้สึกว่าน้องเค้าเป็นคนน่่ารัก น่าให้การสนับสนุน ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร พี่น้องกัน คนในวงการด้วยกัน คนไทยด้วยกัน ไม่รู้จะเครียดไปทำไม สนับสนุนดีกว่า


เรารู้ตัวว่าเราดังเมื่อไหร่
คำว่าดังของโอ้คือ มีคนสนใจแล้ว เหมือนมีคนมาจับตามองเรา สนใจในตัวเรา ก็ตั้งแต่ตอนเล่นหนัง "รักแห่งสยาม" ตอนที่มีนักข่าวมาสัมภาษณ์เรา


พอมีความรู้สึกว่าดังแล้วเรารู้สึกว่าเราจะต้องทำอย่างไร
ก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องทำตัวยังไง ทำเหมือนเดิม ตอนแรกๆเราก็เป็นแบบที่ตัวเราเป็น คือไม่ได้อยากที่จะเป็นเหมือนใคร
แต่เราเป็นแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่งที่ได้เล่นหนังดีๆเรื่องหนึ่ง ดีมากๆ เลยด้วย เราก็ไม่ได้คิดว่าเราจะเป็นใคร เราก็เป็นตัวเราแบบว่านิ่งๆพูดน้อย บางคนก็คิดว่าเราหยิ่ง


เราผ่านเวลาช่วงคดีได้อย่างไร วุ่นวายไหม
วุ่นวายครับ
สำหรับเด็กอายุเท่าโอ้ ขึ้นศาล โอ้ว่าคงมีไม่เยอะหรอกครับ คงมีส่วนน้อย  


มีใครให้กำลังใจบ้าง
เยอะครับ ทุกคนเลยที่รักโอ้จริงๆ เวลาเรามีปัญหาจะเป็นช่วงที่เรารู้ว่ามีใครรักเราจริงๆ มีอีกแค่ไหน ถึงพ่อจะไม่อยู่แล้วแต่ผมก็เล่าให้พ่อผมฟังว่ามันเกิดเรื่องขึ้น แม่ก็ให้กำลังใจตลอด และแม่ก็เป็นคนที่ปวดหัวมากกว่าผมอีก ก็อย่างที่เค้าบอกว่าถ้าเราเจ็บปวดหรือทรมาน แม่จะเป็นคนที่เจ็บปวดกว่าเรา





ตอนนั้นคิดว่าทางออกจะเป็นอย่างไร
ไม่รู้เลย ผมคิดอย่างเดียวผมถามผู้ใหญ่ทุกคนเค้าก็บอกว่ามันต้องใช้เวลา เรื่องอย่างนี้มันไม่ใช่จะเห็นผลกันในวันสองวัน เดือนสองเดือน บางทีมันใช้เวลาเป็นปี เพื่อจะพิสูจน์ตัวเองออกมา เวลาเราเจอปัญหาอะไรก็อย่าไปมองมันด้านเดียว ถ้ามองด้านเดียวเราล้มเหลว เราคิดว่าเราแย่ เรามัวแต่ดูถูกตัวเอง ไม่ให้กำลังใจตัวเอง เป็นคนคิดแต่แง่ลบ สรุปก็โดดตึกตาย ถ้าคิดแบบน้ันมันก็ไม่มีอะไรดี แต่ผู้ใหญ่ก็บอกโอ้ว่า คิดมันในแง่ดี บอกว่าเราต้องผ่านมันไปให้ได้ มองให้มันเป็นเรื่องเล็กๆ และก็พยายามเข้าใจเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ค่อยๆดูกันไป ตอนแรกก็เครียดมากครับ ปวดหัว พอผ่านไปได้ก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก


ยังสามารถที่จะเจอคู่กรณีได้อีกหรือเปล่า
เจอได้ คุยได้ครับ เพราะว่าตอนจบก็จับมือกัน มันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิด จบได้ก็ดีครับ จะได้ไม่มีอะไรที่ติดค้าง โกรธไม่มีครับ มันผ่านไปแล้วก็วางไว้ตรงนั้น ไม่กลับเอามาคิด


น้อยใจไหมที่สื่อจะมองโอ้ที่ความหล่อ เรื่องกุ๊บกิ๊บ ทั้งที่เรามีความสามารถเรื่องอื่น
ผมคิดว่าไม่อยากให้มีคนมองผมแค่หล่อครับ เพราะว่าหล่อก็กินไม่ได้ ความหล่อเป็นแค่เปลือกภายนอก ถ้าคนเราเป็นคนดีต้องมาจากภายใน  ไม่ใช่วันๆคุณจะให้คนมองว่าเป็นคนดี เพราะว่าตั้งใจจะมาเสแสร้งให้ทำดี ความดีงาม ความคิดที่ดีๆ ต้องมาจากข้างในลึกๆของหัวใจ แล้วมันก็จะเปล่งออกมาทางหน้าตาของเรา บางคนไม่จำเป็นต้องหน้าตาดี แต่เค้าเป็นคนดีเราก็รู้ เค้าก็หน้าตาดีขึ้นมาได้ ตอนนี้สังคมไกลกว่านั้นไม่ได้มองคนที่หน้าตาอย่างเดียว แต่มองคนที่ความสามารถด้วย โอ้คิดว่าโอ้ไม่มานั่งดูถูกตัวเองว่ามีดีแต่ที่หน้าตา โอ้คิดว่าต้องพัฒนาหลายๆด้าน


อยากให้สื่อสนใจด้านไหนของเรา
ความเป็นนักแสดง ผมรักการแสดง และเติบโตมาจากวงการนี้ เร่ิมมาจากการแสดง ก็พยายามฝึกฝีมือ
พยายามเรียนรู้อยู่ตลอด กีฬาก็ชอบสเก็ตบอร์ด โตมากับมัน ทำให้ผมมีวันนี้ด้วย


ที่บอกว่ามีหนังสามเรื่อง มีเรื่องอะไรบ้าง
ของ พี่อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์ สาระแนสิบล้อ แล้วก็ของพี่ติ๋มผู้กำกับ ของพี่เสนาเพชร


คาดหวังอย่างไรกับหนังที่จะเข้าฉายในปีหน้า
ตั้งใจ ไม่ค่อยกลัวคิดว่าจะถึง 100 ล้าน บางทีหนังดีมากๆ คนก็ไม่ค่อยเข้าไปดูได้แต่รางวัล แต่ยอดขายก็ไม่ได้เพ่ิมขึ้น มันมีหลายๆอย่างครับ โอ้ได้อยู่ในวงการหนังมานิดๆหน่อยๆ ก็ได้รู้บ้างว่าไม่ใช่ว่าทำหนังดีคนต้องชอบทุกคน โอ้ถามเพื่อน 10 คนที่ไปดูหนังด้วยกัน 10 คนก็ 10 ความคิดเห็นบางคนบอกดี บางคนบอกไม่ชอบ แล้วแต่มุมมอง โอ้คิดว่าถ้าจะให้ดี 100 % มันก็แล้วแต่มุมมอง บางทีการเมืองบ้านเมืองเราก็เกี่ยวกับหนังด้วย บางทีมีเหตุการณ์เกิดขึ้นที่เราไม่ได้คาดหวังยอดขายก็ไม่ดี


มีฉายาที่สื่อพูดว่า มาริโอ้  เมาเหล้า รู้สึกยังไง
ไม่ชอบครับ เพราะว่ามันเป็นนามสกุลพ่อผม ผมไม่ชอบเค้าล้อนามสกุลมากกว่า ถ้าเป็นตอนเด็กๆใครมาพูดแบบนี้ผมก็มองหน้า (ทำมือจะชก) ผมไม่ชกหรอกครับเพราะว่าผมไม่ใช่นักเลง แต่จะมองหน้าแล้วจะถามว่า ถ้าผมล้อนามสกุลคุณบ้าง ล้อนามสกุลที่พ่อแม่คุณ นามสกุลไม่ใช่ที่จะมาล้อกันเล่น ชื่อพ่อชื่อแม่ยังมาล้อยังดีกว่ามาล้อนามสกุล ตอนนี้ผมก็ปล่อยไป คิดว่าม้นไม่ได้มากระทบกับผม เล็กน้อย



ปีหน้าจะได้เห็นมาริโอ้ในแบบไหน เปลี่ยนบทบาทหรือเปล่า
ใช่ครับ 3 เรื่องก็สามแนวแล้ว อย่างสาระแนก็หัวเราะขนาดเข้าซีนแล้วตั้งใจจะไม่หัวเราะยังไม่ได้เลย เป็นหนังที่ทุกคนดูแล้วต้องหัวเราะกลับบ้าน  เป็นหนังที่ผู้ใหญ่ดูได้ เด็กดูดี ของพี่อ๊อฟยังไม่ได้ถ่ายน่าจะตลก เป็นหนังรัก อีกเรื่องเป็นของพี่ติ๋มเป็นหนังรักเลยวัยรุ่นใสๆ


หล่อๆแบบนี้ กุ๊บกิ๊บ ขี้หึงบ้างหรือเปล่า
เราคบกันแบบเพื่อนมากกว่าครับ เรารู็จักมานาน ไม่ได้มานั่งสวีต เป็นเหมือนเพื่อนมากกว่า เรื่องหึงหวงไม่มีครับ เพราะว่าเราต่างคนต่างทำงาน
  เรามีจุดมุ่งหมายในชีวิตของเราจะทำอะไรให้พ่อแม่ จะคุยกันเรื่องงานมากกว่า คุยเล่นก็มีบ้าง มีเพื่อนกลุ่มเดียวกัน และก็รู้จักเพื่อนที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก เหมือนเราเจอเพื่อนสมัยมัธยมก็คุยกันถูกคอ คุยกันรู้เรื่อง


ละครของกุ๊บกิ๊บไปถึงไหนแล้ว พาไปหาพี่จิ๋มหรือเปล่า
ก็ไปพอสมควรแล้ว อาจิ๋มก็เคยเจอ ก็เคยไปเยี่ยมบ้าง
 


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์