ปอ ผู้ชายอบอุ่น น่าค้นหา

ทั้งๆ ที่ในชีวิตไม่เคยคิดเป็นนักแสดง


แต่ดูเหมือนว่า "ปอ"ทฤษฎี สหวงษ์ กลับเป็นพระเอกดาวรุ่งที่พุ่งแรงในบรรดาเพื่อนๆ กลุ่มพาวเวอร์ทรี ช่อง 3 ด้วยกัน

เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนั้น ลองไปสัมผัสชีวิตของเขาดูกัน


เกิดที่ไหนครับ?


ปอ - "ผมเกิดอ.เมือง จ.บุรีรัมย์ เกิดที่นั่นและโตที่นั่น เรียนจนจบม.6 ก็มาเรียนต่อมหาวิทยาลัยในกรุงเทพ คุณพ่อคุณแม่รับราชการ เป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ผมมีพี่น้อง 3 คน ผมคนโตและมีน้องชายอีก 2 คน"


ชีวิตในวัยเด็กเป็นอย่างไรบ้าง?


ปอ - "ก็เป็นเด็กต่างจังหวัดที่ซนๆ คนหนึ่ง ยอมรับว่าไม่ใช่เด็กดี ไม่ใช่คนเรียนเก่ง และในกลุ่มพวกผมค่อนข้างแสบ โดยเฉพาะช่วงเรียนมัธยม ด้วยความที่เป็นวัยรุ่นก็จะมีบ้างที่ไปมีเรื่องกับกลุ่มอื่นหรือห้องอื่น มีชกต่อย มีตีกัน และผมก็ยังเป็นประเภทมาโรงเรียนตามหน้าที่แต่ไม่เข้าเรียนหนังสือ โดดเรียน ที่ทำแบบนั้นรู้สึกว่ามันสนุก เรียนไปก็ไม่รู้เรื่อง"


ตอนนั้นคิดอะไรอยู่ถึงทำแบบนั้น?


ปอ - "คิดแต่เพียงว่าไปหาเพื่อนสนุกกว่าไปเรียนหนังสือ เพื่อนผมตอนนั้นจะมีกันเกือบ 30 คน ซึ่งก็จะมีรุ่นพี่รุ่นน้องผสมกัน เรียกว่าค่อนข้างเกเร แต่ก็เรียนจบได้ในแบบเส้นยาแดงผ่าแปด พอเรียนจบก็มาเรียนต่อที่ม.ราชภัฏจันทรเกษม เข้ามาเรียนแบบไม่อยากมา เพราะเพื่อนๆ ผมส่วนใหญ่อยู่ที่บุรีรัมย์ ผมไม่อยากมากรุงเทพฯ เพราะอยู่ที่บุรีรัมย์สบาย มีเรื่องอะไรก็มีคนเคลียร์ให้หมด"


มีวีรกรรมอะไรบ้าง?


ปอ - "เยอะมากเลย แต่มีอันหนึ่งที่เล่าเมื่อไหร่ก็ขำ มีอยู่ปีนึงก่อนจะถึงวันปีใหม่เดือนกว่าๆ เราเตรียมงานฉลองกัน แต่เงินไม่ค่อยมี พอดีว่าพ่อเพื่อนในกลุ่มมีฟาร์มเลี้ยงไก่ เราเลยไปขโมยไก่มากินกัน ก็นั่งรถปิคอัพไปที่ฟาร์มในตอนกลางคืน ไปกันหลายคนมาก จากนั้นก็แอบลอดรั้วสังกะสีเข้าไป ต่างคนต่างรีบจับไก่และรีบขึ้นรถกระบะ


นำไก่ที่จับได้ไปฝากบ้านเพื่อนที่อยู่นอกเมือง แต่พอไปถึงและนับจำนวนไก่ที่ขโมยมาปรากฏได้ถึง 80 ตัว มันเป็นอภิมหาการขโมย และพอเอาไปขังไว้มันก็ออกไข่ทุกวัน จนแม่เพื่อนเอาไข่ไปขาย ซึ่งแม่เพื่อนก็ไม่รู้ว่าเป็นไข่ที่ขโมยมา เพราะเราบอกว่าเราไปซื้อมา"


เกเรอย่างนี้ พ่อแม่ว่าอย่างไร?


ปอ - "พ่อกับแม่จะไม่เคยบังคับว่าลูกจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ได้มากะเกณฑ์หรือตีกรอบ แต่เขาอยากให้เราเป็นคนดีและใช้ชีวิตได้ เลี้ยงตัวเองให้รอด"


อะไรทำให้ตัดใจเข้ามาเรียนในกรุงเทพ?


ปอ - "ไม่รู้สิ มันโตขึ้นแล้วมั้ง ผมอยากมาเรียนเองด้วย โดยเข้ามาอยู่กับญาติที่กรุงเทพ พอเรียนไปได้เทอมนึงมันมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม พ่อแม่ยังมีน้องอีก 2 คนที่ต้องดูแล ผมพูดกับตัวเองว่าผมจะตั้งใจเรียนให้จบถึงจะกลับไปได้ จึงได้ตั้งใจเรียนตั้งแต่ตอนนั้น และพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปอีกอย่างคือ ความเกเรลดน้อยลงเพราะไม่ใช่ถิ่นเรา แต่ยอมรับว่าชีวิตใหม่สนุกมาก วันที่สอบวันสุดท้าย รู้สึกใจหายว่าเราจบแล้วเหรอ ไม่ได้มีความดีใจว่าเรียนจบแล้ว แต่ใจหายเพราะว่าชีวิตช่วงนั้นสนุกมาก"


เรียนจบแล้วทำอะไร?


ปอ - "ตอนแรกไปทำงานกับเพื่อนกับญาติ ต่อมาทำงานธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาอโศก ในตำแหน่งจัดซื้อ ช่วงนั้นมีความสุขมาก เพราะรู้สึกว่าเราโตแล้ว ได้เงินเดือน ไม่ต้องขอเงินแม่ ทำงานอยู่ 2 ปีกว่าๆ ก็เริ่มรู้สึกว่างานมันเริ่มนิ่ง ไม่มีอะไรตื่นเต้น"


แล้วเริ่มเข้าวงการบันทิงตั้งแต่เมื่อไหร่?


ปอ - "ทำตั้งแต่เรียนที่จันทรเกษมแล้ว คือคุณอาน้ำอ้อย(ผู้จัดการ)ซึ่งเป็นอาแท้ๆ ของผมนี่แหละ เขาพยายามดึงผมเข้าวงการให้ได้ ทั้งๆ ที่ในหัวผมไม่เคยมีความคิดเลยว่าอยากจะเข้าวงการ คิดว่าอาน้ำอ้อยอยู่บ้านเฉยๆ เขาคงเหงาก็เลยหาอะไรทำ เห็นหลานพอได้ ก็เลยอยากจะส่งเสริมมั้ง(หัวเราะ)"


เห็นแววจากอะไร?


ปอ - "ผมก็ไม่รู้ ปกติผมเป็นคนขี้อาย ถ้าให้ไปแสดงผมทำไม่ได้แน่ๆ ไม่มั่นใจตัวเองเลย เพราะมันไม่ใช่ตัวเรา พยายามหลบแกตลอด แต่ก็หลบไม่พ้น แกก็ลากไป ซึ่งผมก็ต้องจำยอม งานแรกคือเดินแบบที่เอ็มโพเรี่ยม ตื่นเต้นมาก ก้าวขาแทบไม่ออก พอมีงานแรกก็เริ่มมีงานต่อมา อาหามาให้หมด เพราะเขาอยู่ในวงการมาก่อน ตอนนั้นเริ่มสนุก ได้เจอคนหลากหลาย


ตอนที่มาทำงานที่ไทยพาณิชย์ ผมก็ได้รับการโหวตจากหนังสือคลีโอให้เป็นสุดยอดหนุ่มโสดแห่งปี 2004 ซึ่งเป็นอะไรที่เกินคาดและมาแบบไม่รู้ตัว จากนั้นชีวิตก็เปลี่ยน คือผมอยากเปลี่ยนงาน เพราะเกิดเบื่อขึ้นมาเฉยๆ พอสิ้นปีก็เลยลาออกทั้งๆ ที่ไม่ได้มีงานอื่นรอ แต่ก็คิดไปทำเต็นท์รถกับเพื่อน พอดีช่วงนั้นช่อง 3 เรียกหนุ่มคลีโอเข้ามาลองแคสติ้งเพื่อเอาไปเป็นนักเรียนการแสดงของช่อง ซึ่งผมก็ทำไปงั้นๆ เพราะใจคิดแต่จะไปทำเต็นท์รถ


แต่ปรากฏแคสต์ผ่าน ซึ่งใจไม่ได้คาดคิดอะไรแบบนี้เลยแต่ก็เข้ามาเรียน พอมาเรียนก็เริ่มสนุก ได้เจอเพื่อน ได้แสดงเป็นนั่นเป็นนี่ จากนั้นก็ถูกคัดเลือกให้อยู่ในกลุ่มพาวเวอร์ทรี รุ่นแรก เริ่มเล่นละครเรื่อง "ลิขสิทธิ์หัวใจ" วันแรกที่เล่นตื่นเต้นมาก ทุกอย่างใหม่หมด เป็นอะไรที่หนักหนามาก เพราะผมต้องเป็นตัวนำ และผมเองไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นพระเอก"


ตอนนั้นชอบงานแสดงหรือยัง?


ปอ - "ชอบแล้ว แต่กลัว ที่กลัวเพราะกลัวความคาดหวังของคน ทำให้ผมรู้สึกเครียด กลัวจะทำไม่ดี เล่นไม่ได้ สับสนไปหมด คืนก่อนวันจะไปถ่ายผมนอนไม่หลับเลย เครียดมาก อ้วกแตกเลย ถ่ายซีนแรกที่สนามบินดอนเมือง คนเยอะมาก ซีนแรก ละครเรื่องแรก กับเด็กบุรีรัมย์ต่างจังหวัดอย่างผม ตื่นเต้นมากๆ ทั้งๆ ที่ถ่ายวันนั้นถ่ายนิดเดียวเอง


เข้าฉากกับพี่โอ๋-ภัคจีรา เขาเล่นเป็นแฟนผมซึ่งก่อนหน้านี้ผมชื่นชอบเขามากๆ เป็นสุดยอดเซ็กซี่ ก็ยิ่งเพิ่มความตื่นเต้นเข้าไปอีก ก็ผ่านไปได้แบบงงๆ ตอนนั้นแม้จะเครียดแต่ใจก็คิดว่ายังไงก็สู้ ต่อจากนั้นการแสดงก็เริ่มดีขึ้นจากที่เข้าฉากบ่อยๆ ได้รู้จักคนในกองถ่าย พี่ตากล้อง พี่ช่างไฟ นักแสดง หรือใครต่อใคร พอเริ่มคุ้นก็เริ่มผ่อนคลาย และคนก็รู้จักมากขึ้น เพราะละครเรื่องแรกก็ดันมาดัง โครงการที่คิดจะไปทำอย่างอื่นก็ไม่ได้ทำแล้ว พับโครงการไปเลย เพราะไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นเลย


จากนั้นก็มีละครต่อมา คือ บาปรักทะเลฝัน, เจ้าสาวบ้านไร่ และที่ออกอากาศอยู่คือ "เหยื่อมาร" ส่วนที่กำลังถ่ายทำคือ "เทใจรักนักวางแผน" ซึ่งความรู้สึกที่ได้มาเป็นดารายอมรับว่าเขิน จนทุกวันนี้ผมก็ยังเขินไม่หายเวลาที่ถูกมอง"


มาเล่นละครตอนที่ทำงานแล้ว รู้สึกค่อนข้างช้ามั้ย?


ปอ - "ผมเข้าวงการตอนอายุ 26 ปี คิดว่าไม่ช้าครับ เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ไปทำงานแบงก์อย่างผม แต่ก็เข้าใจว่าผมไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะมาเป็นดารา แต่ทุกวันนี้ก็ถือว่าแฮปปี้มากเพราะได้ทำอะไรที่เแปลกใหม่ โดยบทที่ได้รับจะเป็นอะไรก็ได้ผมไม่ซีเรียสเพราะผมถือว่าผมคือนักแสดง ให้บทอะไรมาไม่ว่าจะเป็นพ่อ เป็นพี่ ผมเล่นได้หมด


คือเราทำงานตามหน้าที่

ผมถือว่าเป็นพี่ใหญ่สุดในกลุ่มพาวเวอร์ทรี เพราะผมอายุมากสุด ซึ่งมีอะไรน้องๆ ก็จะคุยจะปรึกษา เรามีมีตติ้งกันบ่อย ซึ่งน้องๆ ทุกคนโอเค ตั้งใจทำงาน เพราะเราถูกสอนให้ตั้งใจทำหน้าที่ และทุกคนยังเหมือนเดิม เราถูกสอนให้เป็นนักแสดงไม่ใช่มาเป็นดารา"




อนาคตอยากทำอะไร?


ปอ - "อยากมีกิจการของตัวเอง อยากทำฟาร์มวัว ซึ่งก็มองๆ ไว้แล้วหลายๆ ที่ ทั้งขอนแก่น โคราช ราชบุรี กำลังดูอยู่ เพราะว่าไม่นานพ่อจะเกษียณแล้ว เขาจะได้มีอะไรทำ


ส่วนงานวงการบันเทิง

มันเป็นสิ่งที่เราจะต้องศึกษาอีกเยอะมาก ซึ่งถ้าหากผมไม่ใช่นักแสดงผมก็ไม่รู้ว่าจะได้ทำหรือเปล่า ได้มีประสบการณ์จากตัวแสดงที่ผมเล่น ได้รู้ผลดีผลร้ายที่จะตามมา แต่ก็ไม่ได้วางไว้ว่าจะอยู่นานขนาดไหนก็ทำไปเรื่อยๆ"











แหล่งที่มา:


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์