บทสัมภาษณ์หนุ่มอารมณ์ดี ?อุดม แต้พานิช?


อัพเดทชีวิตล่าสุดของผู้ชายจมูกโตในวัย 38 ฤดูฝนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนพอดี พร้อมล้วงลึก หนังเรื่องล่าสุดที่เจ้าตัว โคตรชอบ พร้อมแนะนำนางเอกใหม่(ไฮโซแต่โคตรติดดิน)ที่กลายมาเป็น เมีย ของอุดม แต้พานิช(เฉพาะในหนัง)

พร้อมยืนยันกับเหล่ามิตรรักแฟนโน้สว่าปีนี้ยังไงก็ไม่มี เดี่ยวอย่างแน่นอน แต่ถ้ารักกันจริงอย่าลืมชวนกันมาดู โคตรรักเอ็งเลย ผลงานการกำกับของผู้กำกับที่เป็นทั้งพี่และเพื่อนอย่าง พิง ลำพระเพลิง

หายหน้าหายตาไปนานพอสมควร จนหลายคนสงสัยว่าชีวิตตอนนี้ของอุดม แต้พานิชเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหม และกำลังทำอะไรอยู่

ชีวิตตอนนี้ต้องขอบอกว่า ชีวิตเรียบง่าย เสถียรแล้วครับ ใช้คำว่าเสถียร คือ ไม่มีอะไรหวือหวา จริงๆนะ(หัวเราะ ยิ้ม ๆ กลัวไม่เชื่อ) เหมือนชายเกษียณผู้หนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าหลังจากนี้ไป อาจจะกลับมาเผชิญกับวงจร วุ่นวาย ๆอีกครั้ง ทราบมาว่ากำลังปลุกปั้นกับงานแสดงนิทรรศการศิลปะครั้งล่าสุดของอุดม แต้พานิชขึ้นจริงๆ แล้วหลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่างานศิลปะได้ทำมานานแล้ว ตั้งแต่หลังจบเดี่ยวฯเมื่อปี 46 ก็ทำต่อเนื่องมาตลอดเลย คือถามตัวเองว่า แล้วต่อจากนี้เราอยากทำอะไรนะ มีอะไรที่ยังไม่ได้ทำบ้าง ก็มาทำนี่แหละ ทำแล้วมีความสุข ก็เลยไปอยู่เชียงใหม่ ทำงานศิลปะไป บ้า ๆบอๆ ทำขยะเต็มบ้าน




แสดงว่าที่ผ่านมาชีวิตของโน้สอุดมคลุกอยู่กับงานศิลปะตลอด ซึ่งหลายคนอาจนึกภาพไม่ออก เพราะเวลานึกถึงอุดม แต้พานิช คนมันนึกถึงงานแสดงเดี่ยวไมโครโฟนมากกว่า

จริง ๆแล้วเป็นเพราะว่าคนรู้จักอุดมส่วนใหญ่ในฐานะของ นักแสดง

อะไรหล่อหลอมให้ตัวเราชอบงานศิลปะและกลายเป็นอุดม แต้พานิชอย่างที่เป็นอยู่

อะไรหล่อหลอม(หน้าตาครุ่นคิด)โอโห้ยากๆตอบไม่ได้

ศิลปะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตและส่งผลต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่อุดม แต้พานิชทำ คนอาจจะเห็นเราเพียงมุมที่เป็นนักแสดง แต่จริงๆ แล้วยังมีอีกหลากหลายหลืบมุมที่หลายคนอาจไม่เห็น เพราะไม่ได้ลุกขึ้นมาป่าวประกาศ เหมือนงานศิลปะที่กำลังจะจัดขึ้น หลายคนอาจไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว อุดม แต้พานิชมีงานแสดงด้านศิลปะมาหลายครั้งแล้ว

ช่าย แสดงมา 7 ครั้งแล้วแสดงทั้งในและต่างประเทศ แต่ว่ามันเป็นเหมือนชีวิตเบื้องหลังที่ไม่ได้ประกาศออกไป เข้าใจ เข้าใจชีวิตที่คนรู้จักเราแค่นักแสดง เวลาเราวาดรูป วาดอะไร มันอาจจะเป็นของขบขันสำหรับเขา เพราะว่ารูปที่ผมวาดดันเป็นรูปแนวแอปสแตร็ก มันไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมาสนใจ




พื้นที่หรือเวทีมันไม่ค่อยมีหรืออย่างไร

เอา เอาดัชนีวัดละกันว่า ศิลปะของเรา เอาอย่างนี้ดีกว่า สมมติอังกฤษมีรถไฟใต้ดินมาแล้ว 100 กว่าปีแล้วนะครับ ประเทศไทยเพิ่งมามีรถไฟใต้ดินมาเมื่อปีที่แล้ว แสดงว่าบ้านเราล้าหลังเทคโนโลยีตรงนี้มาแล้ว 100 กว่าปี ชาติอื่นๆ มีหอศิลป์ประจำชาติกันกี่ร้อยปีมาแล้วก็ไม่รู้ แต่ประเทศเราเนี่ยะหอศิลป์ยังไม่ได้เปิดเลย หอศิลป์ที่เราเรียกร้องเนี่ยะหอศิลปะร่วมสมัยเนี่ยะ

แสดงว่าขนาดพื้นที่เวที ไม่ค่อยมี แต่อุดม แต้พานิชก็ยังกระเตงทำงานศิลปะไปเรื่อย

ครับ ผมว่าเราชอบอะไร เราก็ทำอันนั้นไปนะ ทำไปเรื่อยๆทำที่ชอบที่ชอบ

ย้อนกลับไปถ้าอุดม แต้พานิชไม่ได้เรียนเพาะช่าง มันจะเกิดอะไรขึ้น แล้วการที่เรียนศิลปะตรงนี้ส่งผลอะไรต่อชีวิตของเราบ้าง

ต้องบอกก่อนว่าที่เราเรียนศิลปะ เป็นเพราะว่าเรารัก มันเป็นอย่างนี้มาไม่ได้ดัดจริต มันชอบวาดอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ผมเมื่อวานเพิ่งไปคุ้ยงานๆใน สตูดิโอ ก้นๆลึกๆ งานเปเปอร์มาเช่ผมทำมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2532 ซึ่งอันนั้นผมทำขายแล้ว ทำขายเพื่อนๆ มันเป็นรูปหน้าผม ทำขาย ตอนนั้นเรายังไม่มีเงินใช่มั้ย เราก็ทำก้อนอันเนี่ยะ ทำขายโน่น ขายนี่ให้เขา เรามานั่งนึก โอ้โห เราบ้าคลั่งทำไอ้พวกเนี่ยะ ตั้งแต่ปีอะไรก็ไม่รู้เฮ้ย ตั้ง 17 ปีมาแล้ว แล้วยังมีก่อนหน้านั้นมาอีกนะ ก็ชอบทางนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร ซึ่งย้อนกลับไปคิด มันก็เคยน้อยใจบ้างเหมือนกันนะ ตอนวาดไปไม่มีใครเข้าใจเรา บ้าๆกองอยู่เต็มบ้าน มั้นไม่น่าเป็นร้อยชิ้น ผมคิดว่าเป็น พันๆ ชิ้น สำหรับงานศิลปะเหล่านี้ที่ทำโน้สอุดมมองว่าเป็นอย่างไร ทำไมถึงทำเป็นการระบายอะไรรึเปล่าใช่ๆเป็นการระบาย เมืองนอกเขามีศิลปะบำบัด art theraphy ผมมองว่าเป็นการบำบัดตัวผมเอง ผมไม่ได้ทำอาร์ทเพื่อต้องการเปลี่ยนแปลงโลก บางคนอาจจะทำอาร์ทแบบต้องอธิบายเยอะๆ นะเคยเห็นใช่มั้ย ทำเพื่อจิตวิญญาณ สรวงสวรรค์ของเขา บางคนทำอาร์ทเพื่อสะท้อนการเมืองการปกครอง ก็แล้วแต่ว่าใครถนัดแบบไหน ผมเนี่ยะทำเพื่อบำบัดตัวเองเท่านั้นเลย นั่นแหละ




ที่บอกว่าไปทำที่เชียงใหม่ มีบ้านอยู่ที่เชียงใหม่ โน้สอุดมไปทำอะไรที่เชียงใหม่

ครับ ก็เชียงใหม่ ไม่มีอาชีพ ตื่นเช้ามาก็อยู่ในสตูดิโอ วาดรูป ไปหล่อเรซินตัวแบบนี้บ้าง(ยกตัวอย่างงานปั้นเรซินให้ดู) ไปทำภาพพิมพ์ อย่างที่เชียงใหม่ถือว่าเป็นเมืองศิลปินอยู่แล้ว จอมยุทธ์อยู่ที่นั้นเยอะ เราก็อยู่ใกล้ๆกับวิจิตรศิลป์มช.(มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) พวกอาจารย์เยอะ ผมก็ไปขอความช่วยเหลือจากเขา ผมอยากรู้เรื่องภาพพิมพ์ก็ไปขอเรียนกับเขา ภาพพิมพ์โมโนปริ้นท์ ภาพพิมพ์พิมพ์ครั้งเดียว เขาไปเรียนรู้ใช้เครื่องพิมพ์ของเขา มีจอมยุทธ์แกะไม้ ผมก็ไป มีรูปทรงอยู่ในหัวก็ไปให้เขาแกะออกมา มีพวกนักศึกษาที่เรียนหล่อเรซินมา ผมก็ไปหล่อเรซินกับเขา มีไปเจอช่างอ็อกเหล็ก ก็ใกล้ๆ บ้าน อ็อก ๆกัน ก็เรียนๆกันอยู่ที่นั้นแหละ

นานรึยังที่คิดได้เพราะก่อนหน้าดูเหมือนว่างานแสดงเดี่ยว งานเขียนหนังสือถือว่าเป็นงานหลักประจำของโน้สอุดม แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าตอนนี้งานหลักๆคือเลือกใช้ชีวิตผ่านงานศิลปะแทน

ก็หลังเดี่ยวปี 46 นั่นแหละ แล้วก็ทำอย่างนี้มา 4 ปีมาแล้ว

กลายเป็นว่าเหล่าแฟนๆ ชมรมคนรักโน้สซึ่งมีตั้งแต่เด็ก นักศึกษา คนทำงานไปจนถึงเหล่าสมาคมแม่บ้านทหารบก ฯลฯ ก็แทบไม่มีโอกาสสัมผัสไอดอลจมูกโตของเขาเลย นอกจากบรรดาข่าวสารบันเทิง ซุบซิบแอบถ่าย ต่างๆ นานาๆ หรือจริงๆแล้ว เอาศิลปะมาเป็นข้ออ้างในการกลบเกลือนรึเปล่า หรือจริงๆแล้วอุดม แต้พานิชได้มีการไปแอบคลอดลูก ทำศัลยกรรม แปลงเพศที่ต่างประเทศรึเปล่า




คือต้องบอกว่า ไม่ได้หายไปไหนเลยจริ๊ง จริง ก็ไม่อยู่กรุงเทพ ก็อยู่เชียงใหม่ งานส่วนใหญ่ก็จะทำอยู่ที่บ้าน (บ.พอดีพานิช) ก็มีน้องๆ นุ่งๆ เกือบสิบชีวิตหมุนเวียน อยู่แต่ในบ้าน และงานการส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในบ้าน ไม่ได้มีโอกาสโผล่หน้าออกไปไหนเลย อย่างก่อนหน้าก็จะมีหนังสือรายสะดวกอย่าง อะดม ก็ทำอยู่ในบ้าน ไม่มีเลย ไม่ได้ไปไหนเลย ก็จะมีที่กำลังจะโผล่หน้ามาอีกทีก็นี่แหละหนังเรื่องโคตรรักเอ็งที่กำลังจะเข้าฉายนี่แหละ

นอกจากงานศิลปะแล้ว ชื่อของอุดม แต้พานิชก็ได้ไปป้วนเปี้ยนอยู่ในโปรเจ็คต์หนังต่าง ๆรวมทั้งงานของต้อมยุทธเลิศด้วย หรือจริงๆ แล้วโน้สอุดมกำลังจะมาเอาดีในวงการภาพยนตร์

ไม่ถึงขนาดนั้นครับ ช่วยเพื่อนครับ ว่างๆอยู่เค้าให้ไปช่วยอะไรก็ไปช่วย

แล้วเป็นไงมาไงถึงได้มาลงเอยที่ภาพยนตร์เรื่อง โคตรรักเอ็งเลย

ก็เริ่มมาจากที่พี่พิงเอาบทมาให้อ่าน เขาบอกว่าอยากให้เล่น ผมก็ไม่มีปัญหาหลังจากที่อ่านบทแล้ว ตอบทันทีครับ เขาบอกว่าทำไมตอบง่ายจังวะ ผมก็บอกพี่พิงเขาไปว่าบทมันดีนะเนี่ยะ

พูดได้ว่าเป็นการกลับมาเล่นหนังครั้งแรกในรอบ 10 ปี ครั้งแรกที่ได้อ่านบทแล้วรู้สึกอย่างไร ทำไมถึงตัดสินใจเล่นหนังเรื่อง โคตรรักเอ็งเลย




จริง ๆไม่มีอะไรหรอกครับ ผมมองว่าเป็นเพราะจังหวะบทหนังเรื่องนี้มาได้ถูกช่วงจังหวะเวลามากกว่า แล้วเผอิญมันเป็นเรื่องที่มีเค้าโครงมาจากเรื่องจริงนะครับ แล้วผมก็ดันรู้จักตัวละครในเรื่องนั้น ก็เลยรู้สึกได้ และคิดว่า เราน่าจะถ่ายทอดให้เขาได้นะ เหมือนเป็นร่างทรงให้เขาได้ มันพอนึกบรรยากาศ นึกถึงตัวละครเหล่านั้น ความรักของเขาเป็นอย่างไร เพราะเราเคยอยู่ในเหตุการณ์เหล่านั้น มันก็เลยรู้สึกว่าเราน่าจะทำได้นะ

คนไม่หล่อ มักมีเสน่ห์ และคนไม่หล่อมักจะมีแฟนสวย นี่ถือว่าเป็นความสมดุลของโลกไหม

ถูกต้องแล้วครับ แล้วคนที่หล่อมากๆ มักจะไปเป็นเกย์ ผู้หญิงที่สวยมากๆก็จะไปชอบทอม อันนี้ถือว่าเป็นความสมดุลของโลก

โดยเฉพาะผู้ชายอย่างโน้สอุดม ที่ว่ากันว่ามีสายตาที่ดีถึงขนาดผกก.อย่างพิง ลำพระเพลิงให้เลือกนางเอกที่จะมาแสดงเป็นเมียด้วยตัวเอง

ก็อันนี้ตัวผมเองก็ไม่ได้อยากไปก้าวก่ายหรอกนะคร้า...บบ เพียงแต่ว่าคุณภูพิงค์ เนี่ยะ เขาจะเปิดกล้องอยู่แล้ว แต่ยังหานางเอกไม่ได้สัก เขาก็เลยมาบอกผมว่าช่วยหานางเอกให้หน่อย ผมก็เลยถามเขาว่าไหนอยากได้ต้องการอะไร แบบไหน บอกมาซิ เขาก็เลยบอกผมว่าต้องการแบบไม่สวยจัดมาก ไม่ส่วยจัดไป แต่ดูแล้วให้มีเสน่ห์ อยากได้แบบไม่ต้อง เคยแสดงอะไรมาเลย ความต้องการของเขา เขาอยากจะลองโม(โมดิฟายด์)ขึ้นมาใหม่ในความรู้สึกเขา แต่ว่าก็ต้องดูแล้วรู้สึกใช่ด้วยนะ ไม่ใช่แบบ ไม่ใช่ เผอิญเป็นจังหวะเหมาะพอดีที่ผมไปกินข้าวแถวทองหล่อ แล้วน้องเข้ามาทักทาย ปรากฏว่าเป็นน้องสาวของเพื่อน ก็เลยโยงกันเข้ามา ก็เลยให้พี่พิงกับไหมไปโทรคุยกันเอง แล้วเขาเจอกันนัดคุยกันเอง พี่พิงเขาก็ขอบคุณมากอุดม ตัวพี่พิงเองทีแรกเขาไม่ชอบนะ แต่พอคุยกันไปหลายประโยค เฮ้ย ใช่เลย ๆ อุดมใช่เลย เพราะไหมมีอะไรที่คล้ายกับภรรยาพี่พิงอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือเขามี ปธิภาณโต้ตอบ ไม่ใช่มานั่งหงิมๆ เป็นลูกผู้ดีมีสกุล ยิงอะไรไปน้องมันก็ทิ่มแทงกลับมา แล้วเขาก็สมหวังดังใจได้นางเอกไป




โดยที่พี่พิงได้มีวิธีเก๋ๆแอบแคสท์ติ้งน้องไหม (วิสา สารสาส)นางเอกของพี่โน้ตโดยไม่รู้ตัวด้วย เป็นอย่างไรครับ

อา ผมอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย ตัวผมเองก็รู้แล้วว่าพี่พิงเขาแอบลองแคสท์น้องอยู่ คือเขาชวนผมกับไหมไปเจอ แล้วก็ลองนั่งคุยกัน ลองให้ไหมสมมติว่าเป็นแฟนกัน ลองดูว่ากล้าจับตัวกันไหม ลองให้พูดคุยกันเป็นประโยคผัวเมีย อะไรอย่างเนี่ยะ พอไม่ลองไปตั้งกล้องแบบแคสติ้งที่เขาทำกัน ไหมก็จะเป็นธรรมชาติ เขาก็จะเขินๆตอนแรกไม่กล้ากอด ไม่กล้าโดนตัวกันทีแรก ซึ่งก็เป็นวิธีที่ดีนะครับ คือเราจะได้ความเป็นธรรมชาติ ซึ่งต้องขอบอกว่าตัวน้องไหมเขาเองก็ใช่เวลานานพอดูเหมือนกันที่จะโดนตัวผมได้ ซึ่งผมกับไหมเองก็ไม่ได้มีการเตี๊ยมกันมาก่อนด้วยซ้ำนะ มาถึงก็เอาเลย มานั่งนึกกลับกันถ้าเราเป็นผู้หญิงแล้วไม่รู้จักกัน และเคยเล่นหนังมาก่อนจู่ ๆมาเจอกัน จะให้มากอด หอมผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ไม่รู้จัก ซึ่ง น้องเขาบอกว่าถ้าเป็นปีเตอร์ก็จะไม่ลังเลเลย (หัวเราะกันครืน) คงทำใจยากเหมือนกัน แล้วพี่พิงเองก็ถาม ก็ซักเหมือนผมกับน้องเขาเป็นผัวเมียกันจริงๆ แต่ที่นี้มีอยู่อันหนึ่งซึ่งผมมารู้ทีหลังว่าสาเหตุที่พี่พิงเขาเลือกไหม มาจากตอนนี้ คือมีอยู่ช่วงหนึ่งที่นั่งคุยกันแล้วจู่ ๆไหมเขาก็ลุกขอตัวไปห้องน้ำ คือหลังจากที่พี่พิงจับเราสองคน สมมติมาคุยอารมณ์ความเป็นผัวเมียกันซิ เอาไหนลองคุยเรื่องลูกกันซิ ก็คุยกันเรื่อย มาจนพักหนึ่ง ซึ่งอยู่ในมวลของความเป็นผัวเมีย ตัวผมเองก็ด่ำดิ่งลงไปแล้ว นี่เมียผมไง เมียผมโน่น เมียผมนี่ ไหมเขาก็ลุกขึ้นไปจะไปห้องน้ำ ซึ่งสมมติถ้าเป็นเมียผม อ้าวจะลุกไปไหนระหว่างที่นั่งคุยกันอยู่เนี่ยะ ผมก็เลยตีตูดอย่างเนี่ยะ ซึ่งไหมเองก็ยังอยู่กับความรู้สึกนี่เหมือนกัน เป็นเหมือนการโชว์ว่าเขาด่ำดิ่งไปกับเรา คือไม่หลุด หันมาค้อนเคิ้นกับเราน่ารักมาก

ปรัชญา ปิ่นแก้วในฐานะโปรดิวเซอร์ให้คำนิยามหนังเรื่องนี้ว่าเป็นหนังสับขาหลอก ประมาณว่า ตัวหนังจะนำคนดูไปหนึ่งก้าวเสมอ และพอคนดูตามทันปั๊บ ก็จะมีการสับขาหนีไปอีกทางหนึ่ง คือคาดเดาไม่ได้ ส่วนผกก.พิง ลำพระเพลิงบอกว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังรักธรรมดา แล้วพระเอกของเรื่องอย่างอุดม แต้พานิช มองหนังเรื่องนี้อย่างไร

คือเป็นหนังรักที่มีชั้นเชิงและวิธีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจครับ มีการเล่าสองฝั่งทั้งฝั่งผู้ชายและผู้หญิง มีการขมวดจบที่น่าสนใจครับ มีชั้นเชิง ถ้าเปรียบเป็นมวยผมให้เป็นมวยแบบสามารถ พยัคฆ์อรุณ ในทำนองนั้นนะครับคือไม่ใช่แรมบ้า แรมบ๊อง ที่มา เอื้ออ่า ๆ ตุบตับ ๆ เลิก อย่างต้มยำกุ้ง องค์บากผมถือว่าเป็นมวยแบบแรมบ้า ดูสนุกไหม ดูสนุก ตุ๊บตั๊บ ตุ๊บตั๊บ สนุก เฮ้ชนะ ชูมือชนะไปเลย แต่ของพี่พิงเป็นมวยสามารถถีบ ยัน ยัน มีผ่อนยกนี้ ทำเหมือนไม่ต่อย เก็บแรงเอาไว้ต่อยยกหน้า มีลูกเล่น แล้วยกสุดท้ายค่อย ต่อย ปึ๊กปั๊กๆ ศอกเข้าหน้า ปุ้งทีเดียว เออ น่าจดจำ น่าจดจำ




โคตรรักเอ็งเลย เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร

เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักของคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งที่อยู่กันมา 7 ปีแล้ว มันเหมือนกับเป็นธรรมดาของชีวิตคู่คือพอ7ปีแล้วมันจะไปถึงจุดหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดที่ทำอะไรก็ไม่ทำ เคยจำอะไรแล้วก็ไม่จำ มันกลายเป็นความชาชิน แล้วไอ้จุดๆเนี่ยะ มันเหมือนจะเป็นปัญหาของทุกคู่เลยที่มันเกิดขึ้นนะ มันทำให้ความชาชินเปิดโอกาสให้สิ่งใหม่ๆ คนใหม่ๆ เข้ามา นั่นแหละจะเป็นตัวจุดชนวนของเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์เรื่องนี้ จนเกิดเป็นคำถามที่ว่าจริงไหมที่ความรักเป็นเรื่องของการยอมไม่ใช่เรื่องของเหตุผล ถ้าจำเป็นต้องเลือกคุณจะให้คนที่คุณรักนอกกายหรือนอกใจ หรือจริงๆแล้วคู่รักทุกคู่ควรจะต้องปิดตาข้างหนึ่งไหม

งั้นไหนช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าในเรื่องโคตรรักเอ็งเลย อุดม แต้พานิชเล่นเป็นตัวอะไร

เล่นเป็นรงค์ครับ ซึ่งเป็นนักเขียนบทละครตลกที่กำลังอยู่ในช่วงชีวิตขาลง ทั้งหน้าที่การงานและคนรัก ไม่ชอบให้ใครมาบอกว่าตัวเองไม่ตลก ซึ่งนอกจากจะเป็นคนที่หมกหมุ่นกับงาน หมกหมุ่นกับตัวเองจนดูเหมือนว่าลืมคนรักที่อยู่ข้าง ๆ ในขณะเดียวกันฝ่ายเมียเองจู่ๆก็เห็นเราเป็นตัวประหลาด เคยนอนกับเรา ก็ไม่นอน ก็ดันมาขอเว้นวรรคทาง...... ซะอย่างนั้น เพราะคบกันมา7ปีอยู่ๆเมียของเราตื่นขึ้นมาเกิดมีคำถามจากความรู้สึกที่ว่านี่หรือผู้ชายที่ฉันรัก เทพบุตรขี่ม้าขาวของฉันหายไปไหน ถึงได้กลายเป็นผู้ชายซกมก พุงพลุ้ย กรน เรอ ตด แปรงฟัน จนยาสีฟันกระจายเลอะเต็มกระจก ถอดกางกางในวางทิ้งไม่เป็นระเบียบ ขณะที่ตัวผัวเองก็มีมุมมองความคิดของผู้ชายทั่วไปที่ว่าอยู่กินกันมา 7ปีแล้วยังจะต้องให้มีการแสดงออกอีกเหรอก็น่าจะรู้ว่ารักนะยังต้องให้บอกอีกหรืออย่างไร

แล้วถ้าให้คำจำกัดความหนังรักแบบ โคตรรักเอ็งเลยอุดม แต้พานิชจะให้คำจำกัดความหนังเรื่องว่าอย่างไร

เป็นหนังรักโคตร ๆครับ คือเป็นหนังรักที่มีภาพสวย เนื้อเรื่องดี มีน้ำตา

ทำงานกับผู้กำกับที่รู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้วอย่างพิง ลำพระเพลิงเป็นอย่างไรบ้าง พูดถึงการทำงานของผู้กำกับคนนี้ให้ฟังหน่อย

พี่พิงเป็นผกก.ที่น่ารัก ตรงที่ว่าให้เกียรติเรานะครับ เวลาที่ทำงานกับเขาเราจะได้ความรู้สึกอย่างหนึ่งคือในฐานะผู้ร่วมงาน ไม่ใช่ว่าคนรับจ้าง ผู้มาร่วมงานในที่นี้หมายถึง ในแต่ละฉากแต่ละซีนที่เราเล่นมีการปรึกษาหารือ ถกเถียง และทดลองทำออกมาเมื่อมีใครเห็นดีว่าทำอย่างนี้ดีกว่า ก็ทดลองทำกันออกมาให้ดีที่สุดนะครับ มันเลยทำให้ตัวนักแสดงเราเกิดความภูมิใจในงานชิ้นนี้ด้วย มันเหมือนช่วยๆกันทำ ช่วยๆกันก่อ ช่วยๆ กันปั้นขึ้นมา ตรงนี้มันก็เลยสนุกครับ อีกอย่างคือถือว่าเป็นผู้กำกับรุ่นใหม่ พี่พิงเขาเป็นผกก.ที่ใจเย็นมาก แทบจะไม่เคยเห็นตวาดอะไรคนทำงานเลยนะครับ แต่ถ้าเครียดก็มีบ้าง เป็นธรรมดาของคนทำหนังที่ต้องรับผิดชอบหลายชีวิต มันก็เลยเป็นการทำงานที่สนุกมากครับ และที่สำคัญพี่พิงเป็นตัวอย่างของผู้กำกับที่ว่าจะให้นักแสดงรู้สึกกับตัวละคร ผู้กำกับจะอินก่อนเป็นคนแรกและส่งผลไปยังนักแสดงไปจนถึงตากล้องช่างไฟ คนตีเสลด ฯลฯ ยกตัวอย่างการทำงานในฉากที่เป็นซีนอารมณ์ที่ต้องร้องห่มร้องไห้ พี่พิงเขาจะกำกับไปร้องไห้ไป เห็นๆ เลย รู้กันทั้งกอง เขาอินไปกับบทที่เขาเขียน มันก็เลยเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้นักแสดงได้รู้สึกว่ามันจริง และอยากจะถ่ายทอดความรู้สึกนั้นของเขาออกมาให้คนอื่นได้รับรู้ ตัวเขานั่งอยู่หลังมอนิเตอร์ไง มันไม่มีใครรับรู้ แต่ว่าผมแค่มองผู้กำกับแล้วแบบว่า อื้อหือ กำกับไปตาแดงก่ำไป ร้องไห้ ฉากเมียบอกเลิก หรืออะไรอย่างเนี่ยะ มันจริงจนเรารู้สึกได้ว่ามันจริง ก็เลยอยากถ่ายทอดให้มันจริง ไม่ใช่วิธีการกำกับแบบว่าไปตวาดให้นักแสดงร้องไห้ ด่ากันเข้าไป คือไอ้อย่างนั้นมันร้องไห้ก็ร้องให้ได้ แต่ว่าแต่ในใจลึกๆเราอาจไม่ได้รู้สึกไปกับตัวละครจริงๆ




พิง ลำพระเพลิงบอกว่าการเขียนบทละครหรือคืองานเลี้ยงชีพ แต่ทำหนังคืองานเลี้ยงจิตวิญญาณ และคงไม่สามารถทำหนังเรื่องไหนได้ดีเท่าหนังเรื่องนี้อีกแล้ว

ผมก็คิดว่าอย่างนั้นนะ เพราะว่าการทำอะไรด้วยวิญญาณแล้วมันจะทำได้ดีเนาะ จริงไหม

พูดถึงนางเอกที่เป็นเมียของอุดม แต้พานิชในหนังเรื่องโคตรรักเอ็งเลยหน่อยว่า น้องไหมเขาเป็นใครมาจากไหน และเป็นไงมาไงถึงเลือกเอาน้องเขามาเล่นหนังได้

ผมก็ไม่รู้เรื่องของเขามากนักนะครับ รู้แต่ว่าเป็นบุตรีของผู้ดีมีตระกูลท่านหนึ่ง ก็แค่นั้นเองไม่เคยเห็นผลงานน้องไหมมาก่อนเลยครับ จนพอมาทำงานด้วยกันก็เลยเริ่มรู้รายละเอียดมากขึ้นกว่าเดิมจากแต่แรกรู้ว่าเป็นน้องของกลุ่มก้านคอคลับ แล้วก็เรียนด้านนี้มานี่หนา อ๋อ พ่อชื่อไข่นี่ แม่ได้ยินเสียงทางโทรศัพท์โทรมาฝากฝังลูกว่าช่วยดูแลให้หน่อย แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ไม่เคยเห็นหน้า

เสน่ห์ของน้องไหมในสายตาพี่อย่างอุดม แต้พานิชอยู่ที่ไหน

ก็แบ่งเป็นก่อนและหลังร่วมงานนะครับ ก่อนร่วมงานก็คงเป็นเสน่ห์ภายนอกนะครับเป็นแบบผู้หญิงมีรูปเป็นทรัพย์ แต่ภายในแล้วพอมีโอกาสได้ร่วมงาน กลับค้นพบว่าเสน่ห์ของน้องคนนี้อยู่ที่เขาไม่มีฟอร์มอะไรหรอกครับ ถึงว่าเขาจะดูเป็นสาวไฮโซอะไรอย่างเนี่ยะ แต่เขาไม่มีฟอร์มนะ เป็นคนที่มีอารมณ์ขันครับ ปล้ำๆเป๋อๆดีครับ เป็นคนที่มีอัธยาศัยน่ารัก มีไลฟ์สไตล์ที่น่าสนใจมากๆ เที่ยวก็เที่ยวสุดเหวี่ยง ปาร์ตี้ก็ปาร์ตี้สุดเหวี่ยง แล้วอยู่ๆวันรุ่งขึ้นก็บินไปปฏิบัติธรรมอยู่บนเขา 1 สัปดาห์ อะไรอย่างเนี่ยะ งงหนะ ลงมาก็ไปเที่ยวเล่น เป็นคนที่รักการทำบุญมาก ทำบุญทำกุศล แปลกๆดีครับ ผมให้คำนิยามน้องคนนี้ว่าเป็นเด็กซิ่งอิงธรรมะครับ (หัวเราะ)เป็นสโลแกนประจำตัวเขาได้เลยเด็กซิ่งอิงธรรมะ

จนถึงตรงนี้บอกได้ไหมว่าทำไมถึงเลือกน้องไหม ถูกใจอะไร หน่วยก้านของน้องโดนใจอะไรอุดม แต้พานิช

จริงๆผู้เลือกคือพี่พิงครับ ผมเป็นเพียงแค่คนที่นัดให้เขาทั้งคู่มาเจอกัน blind date ไง

แล้วไปชักชวนโน้มน้าวน้องเขาอีท่าไหน น้องเขาถึงตกปากรับคำมาเล่นหนังเป็นนางเอกมาคู่กับพระเอกอย่างโน้สอุดมได้

อ๋อ ผมไปบอกก่อนครับว่าพี่พิงกำกับ ซึ่งต้องขอบอกก่อนว่าจริงๆ แล้วน้องเขาไม่รู้จักหรอกครับว่าพี่พิงเขาเป็นใครมาจากไหน ทำหนังได้รึเปล่าก็ไม่รู้ อ่านบทแล้วเขาก็เฉยๆ ผมนี่เองครับที่ไปบอกน้องเขาว่าพี่พิงทำอะไรมา ซึ่งตัวน้องไหมเองกับผมก็จะค่อนข้างสนิทกัน มีอะไรหลอกอะไรไปน้องเขาก็จะหลงเชื่อ

พอทำงานด้วยกันแล้วเป็นอย่างไรบ้าง

ก็ลื่นไหลดีครับ

ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการอาบน้ำร้อนมาก่อน พบกับช่วงพี่โน้ตสอนน้องๆในเรื่องการใช้ชีวิตคู่หน่อย

(หัวเราะ) แหะ ๆๆ น้องครับขนาดตัวพี่ยังเอาตัวไม่รอดเลยครับน้อง ตัวใครตัวมันครับน้องจริงๆเลย

ผมไม่มีปัญญาไปสอนใครคร้า.....บ แต่มีอันหนึ่งในหนังเรื่องนี้ที่พี่พิงเขาตั้งใจจะบอกก็คือ จริงๆแล้วชีวิตคู่มันคือเรื่องของการยอม ไม่ใช่เรื่องของเหตุผล มีคนเขาบอกมาว่าความรักทำให้คนตาบอด การแต่งงานทำให้คนตาสว่าง เมื่อตาสว่างแล้วเราก็ควรทำตาด้วยการปิดตาสักข้างหนึ่ง มันจะได้ไม่ทำให้เราแสบตามากเกินไป เพราะฉะนั้นเวลามีชีวิตคู่เนี่ยะก็ต้องปิดตาสักข้างหนึ่งแน่ๆ ต้องเลย ถ้ามาทำตาสว่างโพล่งก็คงอยู่ได้ไม่นาน เพราะว่ามันแสบตา เป็นอย่างนี้จริงๆ




คิดว่าใช้ชีวิตคุ้มแล้วหรือยัง

ใช้ชีวิตคุ้....ม มาตั้งนานแล้วครับ คุ้มแล้วครับ

10ปีจากนี้นี่ตั้งเป้าอะไรไว้ไหม

อยากเห็นตัวเองอยู่ที่เชียงใหม่ แล้วก็มีสตูดิโอ แล้วก็วาดรูปแบบว่า ด้วยความสุขโดยไม่ไปเป็นหนี้เป็นสินใคร

ไม่คิดว่าตัวเองต้องการอะไร หรือขาดอะไรไป

ตอนนี้ชีวิตผมค่อนข้างเสถียรครับ ผมพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้มาก ผมพอใจกับการที่ไม่เจ็บไม่ป่วย มีทีมงาน 5 ชีวิตของบ.พอดีพานิช ทำการค้าพานิชอย่างพอดี ซึ่งงานบ.ก็ไม่ได้มีอะไรมากมายหรอกครับ นอกจากเราก็ทำหนังสืออะดมของเรา รายปี (หัวเราะ) ทำไปแล้วก็ทำ....ทำอะไรบางเนี่ยะก็ไม่เห็นทำอะไร ก็อยู่เป็นเพื่อนกันไป ช่วยกันกินเงินเดือน(หัวเราะ) ที่รักใคร่เราเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน ผมก็มีความสุขจริงๆ นะ มันก็ไม่ได้สุขล้นอย่างที่ผมพูดหรอกนะ ผมพอใจกับมัน พอรู้สึกพอใจกับมันขนาดนี้กำลังดี เราก็อย่าไปทะเยอทะยานอะไรที่เป็นหนี้เป็นสิ้น อย่าไปผ่อนโน่นผ่อนนี้ แต่พอผมเริ่มรู้สึกไม่พอเท่าไหร่ อยากได้โน่น อยากได้นี่ อยากได้รถใหม่ บ้านใหญ่กว่านี้ เพราะบ้านก็มีหลังเล็กๆอยู่แล้ว นั่นแหละผมก็จะเริ่มไม่สุขแล้วหละ อยู่อย่างพอใจซึ่งมันไม่เหมือนกับวัยหนุ่มที่เราอยากพิสูจน์ตัวเองเหลือเกิน ด้วยความพลุ่งพล่าน เราอยากทำโน่นนี่ออกมา มันผ่านช่วงนั่นไปแล้ว แล้วเราก็รู้สึกพอใจที่มันเป็นอย่างนี้ ซึ่งวันหนึ่งถ้ามันจะได้ไปทำอะไร ตอนนี้ทีมงานก็กดดันให้เราช่วยไปหารายได้เข้าบริษัทหน่อย ไปทำเดี่ยว ไปทำอะไรซะบ้าง อย่ามาทำอะไรอาร์ทเอิร์ท เงินทั้งนั้น เปลืองตังค์ มันไม่ได้เป็นตัวทำรายได้ และถ้ามันจะทำเดี่ยว

ตอนนั้นเดี่ยวมันก็จะออกมาเองด้วยความไม่ต้องกดดันแบบ..ต้องหิวเงินอะไรอย่างเนี่ยะ ผมก็ได้แต่บอกทีมงานว่าอดทนไปก่อนน้อง ขอทำขยะ(หัวเราะ)ให้มันแบบว่าดูซิ ให้มันไป ขอบ้ากับมันสักตั้งซิมันจะเป็นอย่างไร

หนังสือก็เขียนมาแล้ว นักร้องก็เป็นมาแล้ว งานโชว์บนเวทีก็มีมาแล้ว พิธีกรก็ทำมาแล้ว รู้สึกว่างานศิลปะกับภาพยนตร์สำหรับโน้ตอุดมกำลังจะมา

คือตอนนี้สำหรับผมรู้สึกว่าการแสดงหนังสนุกดีนะ พอได้ไปทำงานกับกองถ่ายที่ดีๆบรรยากาศกองถ่ายมีเสน่ห์ชวนหลงใหลจริงๆ การได้มีเพื่อนร่วมงาน การได้ไปเจอเพื่อนร่วมงานสนุกๆพูดคุยกันแลกเปลี่ยนทัศนคติ และการได้ยืนต่อหน้ากล้อง ได้แสดงอะไรหลังเสียงตีเสลดเนี่ยะท่ามกลางความกดดันและต้องแสดงออกมาให้ได้ ผมคิดว่าช่างเป็นเรื่องที่ท้าทายมากๆสำหรับตัวเรา มันเครียดนะเว้ย คน20-30 คนรอคุณอยู่ ต้องยืนไม่ผิดไปจากมาร์กตรงนั้น แต่ต้องแสดงอารมณ์นั้นออกมาให้ได้ ผมมองว่าเป็นเรื่องที่สนุกจังเลย (แววตาและการเล่าเต็มไปด้วยรอยยิ้มมาก ๆ)




คิดที่จะเขยิบตัวเองไปทำงานผู้กำกับบ้างไหม

ยัง ยัง ตอนนี้ยัง เห็นเขาทำงานกันแล้ว รู้สึกว่าหนักมาก งานผู้กำกับเป็นงานที่หนักมาก ๆ ตอนนี้ถ้าให้ผมเลือกทำผม...จะพูดอย่างไรดี อย่างนี้ดีกว่า งานหนังเป็นการเล่าเรื่องเหมือนกับเป็นงานเดี่ยวไมโครโฟน หละครับ จริงๆ แล้วมันคือการเล่าเรื่องเหมือนกัน แต่งานหนังคือการเอาคน 50คนไปเล่าเรื่อง แต่งานเดี่ยวคืองานคนหนึ่งคนไปเล่า 50 เรื่อง มันกลับกันนะ เราไม่ต้องไปจัดฟงจัดไฟ ตัดต่อ มีช่างกล้องช่างอะไร มีข้าวกงข้าวกอง เอ็กซตร้า ช่างแต่งหน้า โอ้โห้... แต่สำหรับเดี่ยวคือการรวมเอาพวกนี้ทุกอย่างไปรวมอยู่ในไมค์อันเดี่ยว เราเราก็ตัดต่อ เราเล่าเรื่องของเราเอง กำหนดได้ด้วยตัวของเราเอง เราไม่ต้องไปประสานกับคนเยอะ คนเยอะเรื่องแยะ ถ้าเลือกได้ตอนนี้ก็ขอเลือกทำอะไรที่เราถนัดก่อน ถึงแม้นว่ามีเรื่องที่อยากจะเล่าเหมือนกันที่มันเป็นภาพหนะ แต่ถามตัวเองว่า รักลุ่มหลงมันขนาดนั้นเลยรึเปล่า ก็ยัง คือถ้าจะเป็นผู้กำกับหนังก็คงจะไม่ได้เป็นเพราะอยากนั่งเก้าอี้ตัวที่มันเป็นผ้าใบ ที่มีสกรีนคำว่า โน้ตอุดม ไดเรคเตอร์อะไรอย่างเนี่ยะ หรือพูดจา ได้สั่ง ได้ด่าพ่อล่อแม่ใคร อะไรอย่างเนี่ยะ ไปกำกับหนังเพราะว่ามีมวลมีเรื่องที่เราอยากจะเล่าตรงนี้จริงๆ สะเทือนใจไปกับเราจริงๆ ซึ่งพี่พิงตอนเนี่ยะเขาควรจะต้องลุกขึ้นมาทำ เพราะเขามีมวลนี้จริงๆ ผมเนี่ยะไม่เป็นไร เรื่องที่ผมอยากจะเล่า ก็เอามาเล่าเป็นเดี่ยวก็ได้

พูดอย่างนี้แสดงว่า อุดม แต้พานิชกำลังมีแนวโน้มหรือโครงการที่จะลุกขึ้นมาเดี่ยวอีกครั้งในระยะเวลาอันใกล้ไหม

ไม่มีหละ ไม่มี ไม่มี ดูหนังอย่างเดียวก่อนละกัน หลังจากนั้นค่อยคิดอีกทีครับว่าอยากทำอะไร

ถามจริงอายุจะ40 แล้ว อยู่ตัวคนเดียวอย่างนี้ ไม่รู้สึกเหงาเหรอ

เหงาครับ เหงา แบบว่าเมื่อเวลาที่คุณมีอายุเยอะ ๆแล้วนะครับ ต้องพยายามที่จะอยู่กับตัวเองให้ได้ เรา ผมเองละกันไม่ต้องเราหละ ผมเอง.............(นึกนานมากท่ามกลางความเงียบงัน) ผมไม่เคยคิดว่าการไปเดินห้างคือวิธีการคลายเหงา ไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย ไปเดินห้างฆ่าเวลา ไม่มี เราทำไม่เป็น โอ้โหเวลามันไม่มีประโยชน์อย่างนั้นเลยเหรอ กินเหล้าแก้เหงาอย่างเนี้ยะหรือคุยโทรศัพท์กับใครแก้เหงา เราทำไม่ได้ เราทำไม่เป็นจริงๆ ถ้าเหงาเราก็วาดรูปฟังเพลง โน่นนี่ทำไป แต่ถ้าถามว่าเหงาไหม เหงาครับ แต่ก็หาอะไรทำไปแล้วก็เรียนรู้ว่าชีวิตทุกคนก็เป็นอย่างเนี่ยะ ไม่ใช่แค่เราคนเดียว มนุษย์ทุกคนก็เป็นอย่างเนี่ยะ เพราะความ เหงา(เน้น) ทั้งนั้นหละครับ มันเป็นสิ่งที่คนเกิดมาแล้วให้คู่มาด้วยเลย เพราะจะได้ให้เราทรมาน จะได้ไม่มีความสุขมาก จำได้ว่าตอนที่ได้ยินเพลงเหงา(พีซเมกเกอร์) ครั้งแรกที่เชียงใหม่ ผมแม่งน้ำตาไหลเลย แล้วผมก็เลยมานั่งวิเคราะห์เพลงที่ฮิตในโลกทุกวันเนี่ยะ ที่โดนทุกวันเนี่ยะ ล้วนเป็นเพลงที่เล่าเรื่องความเหงา แล้วไม่มีใครเอาทั้งนั้นเลย เช่น จะไม่มีใคร ใครรัก....... คนเดียวที่มันธรรมดา ----นี่คือเหงาคนเดียว , พงษ์สิทธ์ เคยเหงากันบ้างไหม นี่ก็โดน ส่วนโมเดิร์นด็อคอะไรนะ คนที่เหงาคนหนึ่ง ใช่มั้ย เพลงที่ปักเข้ามาในใจเราไปนอนนึก นั่นคือความเหงาแล้วไม่มีใครเอา เพลงของน้องหอยอย่างเนี่ยะ ใช่ไหม มันแล้วเวลาโดนนี่โดนกันทุกคนนะ ผมก็เลยบอกว่าเป็นโรคประจำของมนุษย์ไง เป็นโรคประจำตัวเหมือนกับภูมิแพ้ เนี่ยะ เราก็เป็นอย่างเนี่ยะ แล้วก็ต้องอยู่กับมัน เพราะโรคภูมิแพ้ ปรึกษาหมอแล้ว ถ้าแพ้ก็ไม่มีทางชนะครับ




ให้คำนิยาม โคตรรรักเอ็งเลยในแบบอุดม แต้พานิช

รักแต่ต้องแสดงออก รัก ไม่รัก แต่ต้องแสดงออก(พึมพำคนเดียว) รักแล้วต้องแสดงออก คนเรามันจะรักแต่ไม่ค่อยแสดงออก แต่ไม่รักเสือกแสดงออก เอานะเอานะ คนเรานะรักแต่ไม่ชอบแสดงออก(เสียงดังชัดเจนมาก) แต่พอไม่รักแล้วจะแสดงให้เขารู้ เพราะฉะนั้นต้องกลับกันคือถ้ารักมากต้องแสดงออกมาก ผมขอเล่าย่อๆละกันผมมีเพื่อนคนหนึ่งมันมาสอนผมเกี่ยวกับวิธีจีบผู้หญิงในช่วงที่ผมไม่มีใครเลย เป็นสูตรสำเร็จเลยนะ คุณเลื่อนเก้าอี้ให้เขานั่ง ตักข้าวให้กินอะไรเนี่ยะ ดอกม้งดอกไม้ไง ไปชวนกันจัดดอกไม้ ชวนไปดูไร่กุหลาบอะไรอย่างเนี่ยะ คือเขาจะมีสูตรของเขาในวิธีที่จะได้ผู้หญิงมา ผมฟังแล้วเชื่อไหมว่านัยน์ตาผมว่างเปล่า ปล่อยเบลอเลย เชื่อไหมว่า ผมว่าเรื่องพวกเนี่ยะมันไร้สาระมาก ๆเลยนะ ผมเบื่อหน่ายเลยนะครับไอ้พวกความรักแบบช่วงโปรโมชั่น พวกคุณๆอะไรเหรอที่คุณทำกับเขาไปรับไปส่ง ทำเป็นจำเบอร์รองท้งรองเท้า เบอร์รองเท้าแม่ตัวเองจำไม่ได้ แต่ไปจำของเขาได้จำสีอะไรกินอะไร ชอบที่ไหน ทำอะไร พอได้เขาไปเป็นแฟน มึงก็หมดช่วงโปรโมชั่นกับเขาซะอย่างนั้น อยู่ๆก็หมดเลย ทำสัญญาณขาดหายอีกต่างหาก คือทุกวันนี้มันมีแต่อย่างนี้ไง ไม่รักแต่เสือกแสดงออกว่ารักขนาดโน่นนะ แต่ทำหลอกๆ เขาไป แต่ที่รักจริงๆ มันจะไม่ค่อยแสดงออกมันจะลึกๆเข้าไปข้างไหน ผมว่าเสมอต้นเสมอปลายกำลังมาในยุคนี้ แต่ส่วนมากพวกเสมอต้นเสมอปลาย เขาจะไม่รู้ครับยุคนี้ ไม่มีช่วงโปรโมชั่นเลย ราคาเดิมตลอด ไม่ได้รับความนิยม เพราะฉะนั้นนิยามความรักของภาพยนตร์เรื่อง โคตรรักเอ็งเลย สำหรับผมคือ รักนะแต่ต้องแสดงออก

ในชีวิตนี้ อุดม แต้พานิช เคยโคตรรักใครเลยไหม

คนที่ผมรักมากสุดๆก็คือแม่ของผมเองครับ

หนังสือดีคือหนังสือที่เราชอบอ่าน หนังดีคือหนังที่เราชอบดู โน้สอุดมยังคิดอย่างนี้ไหมครับ

คิดครับ คิดครับยังคิดอย่างนี้อยู่ครับ เหมือนกับหนังเรื่องโคตรรักเอ็งเลย ก็เป็นหนังที่ผมชอบครับ เพราะฉะนั้น ผมคิดว่า ลองมาดูนะครับ ลองมาดูนะครับ ผมคิดว่าน่าจะชอบกันนะ หนังเรื่องนี้ไม่ฝืนนะครับ คือมาดูแล้วจะชอบไปเนียนๆ อยู่จะชอบขึ้นมาเลยครับ งง ๆ ไม่มีหน้าหนังหลอกครับ หนังเรื่องนี้ไม่ได้หลอกที่หน้าหนัง แต่ไปหลอกในหนัง (หัวเราะ)




วันนั้น วันนี้ วันไหน บันทึกความทรงจำของอุดม แต้พานิช ที่มีต่อผู้กำกับที่เป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่อย่างพิง ลำพระเพลิง

เท่าที่ผมจำได้นะครับผู้ชายคนหนึ่งนั่งดูหนังเรื่องฉลุย ที่มีพี่อังเคิลกำกับ แล้วเดินออกมากอดคอกันผู้ชายอีกคนหนึ่งซึ่งคือผมนั่นเอง เดินกันออกมาจากโรงหนังเฉลิมกรุง เดินผ่านสนามหลวงไปเดินตึกตึก ตึก ไปเรื่อย ไม่รู้ว่าเดินไปทำไหม จนไปถึงบันไดหน้าศิลปากร ผู้ชายคนนี้แหละหันมาบอกกับผมว่า มึงเอ้ย ถ้าวันหนึ่งได้ดังอย่างเขานะมึง อะไรอย่างเนี่ยะ เป็นคำพูดที่ดูไร้สาระมาก วันนั้นผู้ชาย2 คนคุยเรื่องอะไรกันก็ไม่รู้ดูไร้สาระมาก มันแทบจะไม่มีมูลเลย แล้ววันหนึ่งก็ได้เห็นพี่พิงมาถึงที่เขาต้องการ

เขาเป็นคนที่ เราได้ยินกันบ่อยไอ้คำที่ว่า ฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึงเนี่ยะ เขาเป็นตัวอย่างทีดีของข้อความข้อความนี้ ทำฝันให้เป็นจริง ถึงแม้จะใช้เวลากี่สิบปีก็ไม่รู้นะ ถ้าคนเราเดินต่อไปแบบไม่ยอมหยุดนะ จริงๆ นะ กูจะเอานะ ขาดอะไรกูก็ไปเติม อยากทำหนังมาตั้งนานแล้ว แกพูดเรื่องทำหนังตั้งแต่สมัยโน้นแล้ว เขียนสตอรี่บอร์ดเนี่ยะ ก็เขียนก็เขียน ซึ่งตัวพี่พิงเองเขาไม่ได้เป็นคนที่เรียนเขียนบทมา ไม่มีหลักการอะไรเลย ทำดุ่ยๆเลย อาศัยเรียนรู้จากความผิดพลาด ทำมา ทำบ่อยๆ จนดูซิ ตั้งแต่ออกพ็อคเก็คบุคส์มากี่เล่มก็ไม่รู้ แล้วก็มาเขียนบทละคร ๆมาเขียนบทหนัง มากำกับเนี่ยะ โอ้โห้เป็น 14-15ปี เป็นอย่างน้อยเลยนะ คิดดูซิถ้าเราไม่ชื่นชมคนแบบนี้เราจะไปชื่นชมใคร จุดเด่นที่สังเกตได้เวลาที่พี่พิงทำอะไรอย่าเรียกว่าอินเลย เรียกว่าโถมไปทั้งตัวเลยดีกว่า คนที่ไม่มีอะไรจะเสียครับ เวลาเขาทำงานเขามองแบบนี้เขาคิดอย่างนี้เพราะฉะนั้นเวลาเขาทำอะไร เขาตั้งใจจริงโถมไปทั้งตัว หมดหน้าตัก ย้อนกลับไปถ้าคุณเคยได้สัมภาษณ์เขา ย้อนเวลากลับไปเขาเคยไปอยู่บ.พี่จิก ประภาส ชลศรานนท์เป็นคนเชียร์ปรบมือเกมโชว์ เวลาอัดรายการ คิดดูซิคุณ ขนาดนั้นเลย ผมกับเขาเคยทำงานกับเขาเมื่อก่อนที่ผมจะเข้ายุทธการขยับเหงือก โอ้โหกี่ปีแล้วเนี่ยะ คือหลังจากที่ทำด้วยกันที่ไปยาลใหญ่ แล้วก็มาเป็นปรัศนีย์รายการชิงร้อยชิงล้านใส่แว่นดำใส่ชุดสูทตัวใหญ่ๆใส่หมวกอ้วนผอม เล่นเป็นละครใบ้ด้วยกัน2คน หม่ำเท่งโหน่งยังไม่มีเลย เป็นปรัศนีย์ 2 คนเล็กๆ ออกไม่กี่วิ นั่นมั้งเป็นการร่วมงานกันครั้งแรก ถ้าใช่นะคือผมเป็นคนความจำไม่ค่อยดี ตอนโน้นเลย แล้วพี่พิงเขาก็ไปเมืองนอก แล้วผมก็มาทำเดี่ยว แล้วก็วนมาเจอกันอีกครั้งก่อนที่จะมาทำหนังเรื่องนี้ด้วยกัน

ตอนที่พี่พิงจำทำเดี่ยว เขาเคยมาหาผมกับเมียเขา มาบอกผมว่าจะทำสแตนอัพคอมิดี้ ซึ่งเขาไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้ คือไม่ต้องมาบอกผมก็ได้ เขาก็มาบอกผม ผมก็บอกเขาไปว่าเฮ้ยพี่ ทำไปเลย มาบอกผมทำไม ผมไม่ได้เป็นเจ้าของ พี่ทำไปเลย ผมจะรอดู

ย้อนกลับไป เรา 2 คนมีอะไรหลายๆอย่างคล้ายๆ กันตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอตอนที่พี่พิงเขาเป็นรุ่นพี่ ผมเป็นรุ่นน้องแล้วไปรับน้องกันเรียนศิลปะเหมือนกัน เขียนหนังสือเหมือนกัน เล่นละครใบ้ เป็นชอบคิดชอบเขียนเหมือนกัน จนกระทั่งการได้กลับมาทำงานร่วมกันในหนังของพี่พิง ซึ่งผมคิดว่าการที่เรา 2 คนกลับมาทำงานด้วยกันถือว่าเป็นสิ่งดีนะเหมือนเป็นการเอาจุดเด่นจุดด้อยมาช่วยส่งเสริมสนับสนุนกัน



แหล่งข้อมูล : มีเดียไทย


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์