เบลล์ ฝ่ามรสุมชีวิต ครอบครัวคือมิตรแท้

จัดเป็นนักร้องที่มีลีลาการเต้นที่หาตัวจับยากสร้างความสุขให้กับคนฟังเพลงมาแล้วมากมาย แต่ในวันนี้ เบลล์-สุภัชญา ลัทธิโสภณกุล กลับต้องเจอกับปัญหาชีวิตที่ถาโถมเข้ามาหลายด้าน

ทั้งธุรกิจล้มเหลว เพื่อนที่สนิทหลอกเอาบัตรเครดิตไปใช้ จนเป็นหนี้แบบไม่รู้ตัว เสียทั้งเพื่อนเสียทั้งเงิน รวมถึงมีเรื่องฟ้องร้องมากมายหลายคดี วันนี้ “เบลล์” เปิดใจกับ “ดาวต่างมุม” ถึงปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตของเธอ ที่ต้องเรียกว่าเป็นมรสุมลูกใหญ่จริง ๆ




ที่ผ่านมาโดนมรสุมชีวิตเยอะเลย?

ถ้าทุกคนเห็นตามข่าวก็ตั้งแต่ต้นปีมาเลยนะคะ คงไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องคดีความอะไรแบบนี้หรอก ก็ถือว่าหนักสุดในชีวิตเบลล์ เหมือนทุกเรื่องมันถาโถมมาพร้อมกัน เรื่องที่เรารู้สึกแย่มันไม่ใช่เรื่องของหนี้สิน แต่เป็นเรื่องของความรู้สึก เรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมากกว่า อย่างเรื่องทำธุรกิจก็จะได้บทเรียนในแง่ที่ว่าที่ผ่านมาเราอาจจะปรึกษาผู้ใหญ่น้อยเกินไปโดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ ปัญหาเรื่องธุรกิจเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเจออยู่แล้ว แต่เราเรียนรู้จากความผิดพลาดดีกว่าว่าเราพลาดตรงไหน อย่างที่ผ่านมาจะพลาดเรื่องของเอกสาร ทนายความเขาก็สอนเราให้คิดในแง่ดีว่าตอนนี้เสียไม่กี่ล้านก็ยังดี และก็สอนอีกว่าส่วนใหญ่แล้วคดีความมักจะเกิดกับคนใกล้ชิดทั้งนั้น ถ้าคนไม่สนิทกันก็จะไม่มีปัญหาหรอก เพราะเราไม่ไว้ใจ แต่พอเราไว้ใจคนที่สนิทกัน มันก็เลยเป็นปัญหา เพราะปัญหาเกิดจากความไว้ใจทำให้เราไม่รัดกุมในเรื่องเอกสาร

ต่อไปนี้ต้องระวังคนใกล้ชิดเป็นพิเศษรึเปล่า?


ไม่ใช่ระวัง เบลล์มองว่าความสัมพันธ์อะไรที่คนหยิบยื่นให้ เราก็ยังรับไว้มองทุกคนในแง่ดีเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าเวลาเราทำธุรกิจ เราต้องใส่หมวกธุรกิจ แต่พอเวลาเราเป็นเพื่อนกัน เราก็จะเป็นความสัมพันธ์อีกแบบหนึ่ง คือเบลล์ก็ได้เรียนรู้จากตรงนั้นค่อนข้างเยอะ จริง ๆ เราควรจะปรึกษาผู้ใหญ่ เราไม่ควรจะไปคิดเองเออเองตั้งแต่แรก ซึ่งตอนนั้นเรายอมรับว่าเราขาดประสบการณ์ด้วย เรื่องที่เสียใจคือ แต่ก่อนเบลล์ไม่ค่อยกลับบ้าน จะออกมาอยู่ข้างนอกกับเพื่อนสนิทที่ทำธุรกิจด้วยกัน ตอนนั้นพ่อแม่ก็อยากให้เราอยู่บ้านเยอะกว่านี้ แล้วช่วงนั้นที่เบลล์ทำเทป มันก็ยังไม่มีปัญหาอะไร แต่พอได้ทำธุรกิจของตัวเอง คุณพ่อคุณแม่ก็ไว้ใจเราในระดับหนึ่งว่า เราเรียนจบปริญญาโทแล้ว เราควรจะมีความคิดความอ่าน ความรอบคอบในการทำธุรกิจ แต่เขาก็ไม่คิดว่าเบลล์จะไว้ใจคนอื่นมากเสียจนเลินเล่อเรื่องเอกสารไป

แล้วตอน นี้เบลล์มีธุรกิจอะไรอยู่บ้าง?

ตอนนี้เบลล์มีบริษัทที่ทำอีเว้นท์อยู่ และเบลล์เพิ่งจบปริญญาโทด้านธุรกิจประชาสัมพันธ์ ก็จะเริ่มจัดทำแผนประชาสัมพันธ์ด้วยต้องติดต่อกับงานสื่อ แต่งานด้านเต้นก็ยังคงสอนอยู่ ก็จะมีลูกค้าเก่าที่ยังอยากเรียนกับเรา เราก็ยังสอนอยู่เป็นพาร์ทไทม์ไป เพียงแต่ไม่ได้สอนที่เดิม ต้องไปเช่าห้องซ้อม อย่าง ครูอู๋-เปรมจิตต์ หรือเพื่อน ๆ ในวงการที่มีสตูดิโอสอนทุกคนก็เต็มใจช่วย ต้องขอบคุณมาก ๆ เพราะวันที่เรามีปัญหา เพื่อน ๆ ที่มีธุรกิจที่เป็นคู่แข่งกับเรา เขาก็ให้ความช่วยเหลือเรา คือมิตรภาพจะให้ได้ในวันที่เราลำบากจริง ๆ เพื่อนที่เฮฮาปาร์ตี้กันไม่มีช่วยเลย เพื่อนกินก็คือเพื่อนกินจริง ๆ แต่เพื่อนที่เราไม่เจอกันนาน ๆ ทุกคนมาช่วยเหลือ บางคนถึงขั้นถามว่าเรามีเงินใช้เปล่า ก็จะเห็นได้เลยว่า ปัญหายิ่งใหญ่ก็จริง แต่ความสัมพันธ์กับครอบครัวกับเพื่อน ๆ ยังดีอยู่


ตอนนี้กลับไปอยู่บ้านหรือยัง?

กลับไปอยู่บ้านแล้ว นับตั้งแต่วันที่มีปัญหา คือจริง ๆ เราก็กลับบ้านตลอด แต่น้อยไปหน่อย อย่างตอนงานมีปัญหา เบลล์กลัวว่าที่บ้านจะกลุ้มใจ เขาจะเป็นห่วงเรา เราเลยคิดจะแก้ปัญหาด้วยตัวเอง แล้วเดี๋ยวพอแก้เสร็จค่อยเล่าให้เขาฟัง แต่ปรากฏว่าปัญหายิ่งหนักข้อขึ้นทุกวัน เราก็เดินทางผิดไปเรื่อย ๆ สุดท้ายแล้วก็ต้องแบกกลับมาที่บ้านมาบอกพ่อแม่ เพราะสุดท้ายคนที่อยู่เคียงข้างเรา ก็คือครอบครัวของเรานั่นเอง ชีวิตมันไม่ท้อแท้ตรงที่ว่า เรามีคุณพ่อคุณแม่ มีญาติพี่น้อง เพื่อนที่ดีที่อยู่รอบตัว ที่เป็นกำลังใจให้เราอยู่ แต่มันท้อตรงที่ว่าเราทำงานเก็บเงินมา แทนที่เราจะได้ให้คุณพ่อคุณแม่ แต่กลายเป็นท่านกลับต้องมาแก้ปัญหาให้กับเราอีก วันแรกที่เบลล์เอาปัญหามา เบลล์ก็ร้องไห้และไปกราบท่านขอโทษที่ไม่ได้อยู่ฟังคำปรึกษาจากท่าน คุณพ่อคุณแม่ก็บอกว่า “เห็นไหมว่าไม่มีใครหวังดีเท่าพ่อแม่ของเรานะ” จริง ๆ ถ้าเริ่มบอกตั้งแต่วันที่ปัญหายังเล็ก ๆ อย่างน้อยมันก็คงจะไม่ใหญ่ขนาดนี้ แต่นี่เราลากมาจนสุดทางแล้ว

ทุกวันนี้ปัญหาเริ่มคลี่คลายไปขนาดไหนแล้ว สบายใจขึ้นหรือยัง?

ถามว่าสบายใจขึ้นไหม ต้องแยกแยะค่ะ จะบอกว่า สบายใจ 100% ในเรื่องคดีความก็ไม่ใช่ เพราะมันต้องใช้เวลาและก็มีหลายคดีด้วย เราต้องค่อย ๆ แก้ไปทีละเรื่อง ชีวิตที่อยู่ทุกวันนี้ก็ต้องแยกแยะ อยู่ด้วยการทำสมาธิ ทำบุญ แต่ไม่ได้หวังให้บุญมาช่วยเราหรอก แต่มันทำให้เราสบายใจ สิ่งที่ดีที่สุดคือ การประกอบกรรมดี ไม่ทำร้ายผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น ประพฤติตนอยู่ในศีลห้า ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีสติ คือถ้าเรามัวแต่ร้องไห้ฟูมฟาย คิดจะฆ่าตัวตาย ทำร้ายตัวเอง มันไม่มีประโยชน์เลย ถ้าเบลล์ไม่มีคุณพ่อคุณแม่เบลล์ก็คงตายไปแล้ว เราคิดจะหนีปัญหา แต่คุณพ่อคุณแม่จะปกป้องเราจากคนที่จะมาทำร้ายเราตลอด แล้วเราจะทำร้ายตัวเองมันก็ไม่แฟร์ คนที่รักเรามีตั้งเยอะแยะ

ตอนนั้นทำไมถึงคิดสั้น?

คือเรื่องที่เกิดขึ้นมันแย่ เรานอนไม่หลับ เราก็เลยทานยานอนหลับ เพราะเราคิดอะไรไม่ออก ตอนนั้นเราอยากหายไปเลย เพราะเราเสียความรู้สึกว่า เราจริงใจกับสิ่งรอบด้าน แม้วันที่เราโทรฯ ไปเจรจากับแบงก์เพื่อขอใช้หนี้ที่เราไม่ได้ก่อ แปลว่าเราแสดงความจริงใจแล้ว เบลล์ไม่หนีไปไหน แต่การที่ทุกคนเห็นเบลล์มีชื่อเสียง ทุกคนเลยกลับมาฟ้องเบลล์ เอาเงินจากเบลล์ คือเบลล์ขอให้เรื่องคดีความคลี่คลายก่อนให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จะได้มาประนีประนอมกัน ก็เข้าใจว่าแบงก์เขาต้องทำตามกระบวนการ แต่ในเรื่องของความเป็นเพื่อนมนุษย์ เบลล์อยากจะขอร้องขอความเห็นใจด้วย



เราทำงานบันเทิง แต่ในใจเราทุกข์ เราจะทำงานยังไง?

ตอนแรกที่เรายังจัดการกับปัญหาชีวิตไม่ได้ จิตมันไม่อยู่กับตัวเลย อย่างเวลาคิดท่าเต้นนี่ เราก็คิดไม่ออก หัวสมองมันตื้อไปหมด เราก็เลยรู้ตัวว่า มันไม่ได้แล้วนะ ตอนนี้เรากำลังปล่อยให้ปัญหามาทำให้ฝีมือตก เราก็ทำงานต่อไปไม่ได้ แล้วเราจะหาเงินเข้ามาแก้ปัญหาที่เรามีอยู่ได้ยังไง เราต้องปัดปัญหาไปก่อน ถึงบอกว่าที่ทำสมาธิ สวดมนต์ พยายามรักษาศีล มานั่งคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นมันพลาดตรงไหน เพื่อไม่ให้ผิดพลาดซ้ำสอง เบลล์ก็เลยได้เรียนรู้ว่า งานที่พลาดเกิดจากความโลภอยากได้เงินก้อนใหญ่ ซึ่งตรงนี้เราก็ได้เรียนรู้ในคำที่พระพุทธเจ้าสอน “รัก โลภ โกรธ หลง” เราไปหลงวนเวียนอยู่ตรงนั้น ตอนนี้เราต้องถอนตัวเองออกมา เวลาทำงานอย่าไปคิดถึงเงิน คิดว่าทำออกมาให้ดี มีเงินใช้แต่พอเพียงพอแล้ว อย่างที่พระเจ้าอยู่หัวได้สอนไว้นั่นเป็นความสุขที่สุดแล้ว คือ การอยู่อย่างพอเพียง

ทำธุรกิจแล้วเกิดปัญหาแต่ก็ยังอยากทำ?

วันหนึ่งที่เราเรียนจบโตขึ้น เราก็อยากจะทำอะไรที่เป็นของตัวเอง เพราะงานบันเทิงเป็นงานอดิเรกมาแต่เด็กแล้ว งานด้านเต้นและด้านร้องเป็นสิ่งที่เบลล์ชอบ พอวันที่เข้ามาทำงานในวงการบันเทิง เบลล์เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย มันเลยเหมือนงานอดิเรก ไม่ได้คิดจะประกอบเป็นอาชีพหลัก แต่อย่างโรงเรียนสอนเต้น มันเป็นความฝันของเบลล์ว่า วันหนึ่งจะเปิดโรงเรียนสอนเต้น ซึ่งก็ได้ทำตามฝันของตัวเอง มันก็คือเป็นธุรกิจของตัวเองอย่างหนึ่ง ส่วนเรื่องของบริษัทที่มาเปิดทำอีเว้นท์เราได้ทำสำเร็จไปในครั้งแรก แต่ดันมีปัญหาตอนทำงานในครั้งที่สอง

โรงเรียนสอนเต้นมีโอกาสที่จะทำอีกไหม?

เบลล์กับญิ๋ง (ญาญ่าญิ๋ง-รฐา โพธิ์งาม) เรายังอยากทำด้วยกันต่อ และเรายังมีนักเรียนที่ยังอยากจะเรียนกับเรามาก ๆ และก็ไม่ได้เป็นปัญหาของวิกฤติเศรษฐกิจด้วย เพราะจริง ๆ แล้วโรงเรียนดำเนินไปได้ด้วยดี แต่เพราะเกิดปัญหาภายใน ถ้าตอนนี้เบลล์ไม่เจอหนี้สินเยอะขนาดนี้ เบลล์คงจะไปเปิดโรงเรียนที่อื่นแล้ว แต่ตอนนี้หนักจริง ๆ เงินทุนที่จะทำก็ยังไม่มี ถ้าทุกอย่างพร้อมและมีการวางแผนงานที่ดีคิดว่าทำแน่นอน


การเต้นเป็นความสุขที่สุดหรือเปล่า?

สุขที่สุดค่ะ ถ้าเราได้ทำงานที่เรารัก เราจะมีความสุขและทำได้ไกล ก้าวหน้า ที่เบลล์มีทุกวันนี้ เบลล์มองว่า เบลล์ประสบความสำเร็จในจุดหนึ่ง ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเงิน แต่ความสำเร็จของเราคือเราได้ทำในสิ่งที่เรารัก และได้ทำอย่างเต็มที่ ซึ่งต้องขอบคุณคุณแม่มาก ๆ เพราะคุณแม่ได้ผลักดันเบลล์แต่เด็ก เขามองเห็นว่าเบลล์ชอบ ก็ส่งเบลล์เรียน พอมีโอกาสได้เข้ามาทำงานในวงการบันเทิง แล้วก็ได้พัฒนาฝีมือตนเองในงานด้านนี้มาเรื่อย ๆ จนสามารถเปิดโรงเรียนได้ คือ ถ้าเราทำงานที่เรารัก เรามีความสุข เวลามีปัญหาเข้ามา เราก็จะสามารถแก้ไขปัญหาให้มันผ่านไปได้

พอวันหนึ่งได้มาเป็นครูสอนเต้นรู้สึกอย่างไรบ้าง?

วันที่มาเป็นครู เบลล์รู้สึกเข้าใจอาจารย์ทุกท่านเลยว่า ถ้าจะเป็นครูได้ต้องอดทน เพราะเราต้องเจอลูกศิษย์หลากหลายรูปแบบ แล้วเราก็ได้ย้อนคิดไปถึงสมัยตอนเราเรียนที่เรากวนประสาทอาจารย์ ดื้อ ไม่ทำการบ้าน ไม่ฝึกซ้อม ว่ามันเป็นยังไง เพราะสปิริตของความเป็นครูย่อมอยากเห็นลูกศิษย์ของตนเก่งและได้ดี คุณครูก็คือคนที่มีพระคุณเหมือนพ่อแม่คนที่สอง เพราะเรามีวันนี้ได้ก็เพราะท่าน คุณพ่อคุณแม่ให้กำเนิดเรามา สอนเราจนประสบความสำเร็จ ส่วนคุณครูก็คือคนที่ทำให้เรามีอาชีพ ลูกศิษย์เบลล์มีหลายรูปแบบ มีทั้งเด็กที่มีใจรัก ฝึกซ้อมทั้งที่เขายังเด็ก พอเห็นเด็กมีความพัฒนา เราก็จะรู้สึกดีใจ สุขใจขึ้นมา บางคนก็จะมีเกเรนิดหน่อย เราก็จะต้องเคี่ยวเป็นพิเศษ แต่เขาก็ยังมีความรักที่จะเรียนอยู่ รู้สึกปลื้มมากเวลาที่เด็กเรียก “ครูเบลล์”

คิดว่าจะอยู่ในวงการอีกนานแค่ไหน?

จริง ๆ ตอนแรก เบลล์ไม่ได้คิดว่าจะมาอยู่เบื้องหน้าขนาดนี้ เบลล์ชอบการเต้นการร้องเพลง เดิมทีคิดแค่ว่า อยากอยู่เบื้องหลัง ก่อนที่จะมาเป็นนักร้อง เบลล์เป็นแดนเซอร์ก่อน ตอนนั้นดีใจภูมิใจมาก แต่พอเรามีโอกาสได้เข้าไปเป็นนักร้อง ก็ถือว่ามีโอกาสดีเราก็ไม่ควรทิ้งไป คือเบลล์มองอาชีพนี้เป็นงานอดิเรกเสมอ ไม่ได้ยึดอาชีพการร้องเพลงเป็นหลัก ไม่ได้คิดจะเป็นดาราตลอดไป เพราะไม่ใช่คนสวยหรือหุ่นดี เรามาด้วยใจรัก ด้วยความสามารถที่เรามีล้วน ๆ ซึ่งพูดตรง ๆ ว่า งานในวงการบันเทิงนี้มีความกดดันยิ่งกว่างานด้านอื่น ๆ อย่างวันนี้เบลล์ก็ได้เรียนรู้ว่าคนมีชื่อเสียงมันเป็นดาบสองคม เมื่อคุณมีชื่อเสียงคุณจะไปไหนหรือทำอะไรได้ง่ายขึ้น มีคนรู้จักคุณเยอะ แต่วันที่คุณมีปัญหา ทุกคนก็จ้องที่จะทำร้ายคุณ เพราะคุณอยู่ในที่แจ้ง อย่างวันนี้เบลล์มีปัญหา ทุกสิ่งจะถาโถมมาที่เบลล์ เราต้องกล้ำกลืนฝืนทนโดยที่ออกมาต่อสู้กับเขาไม่ได้ เพราะถ้าเราตอบโต้ก็จะมีแต่เสียกับเสีย เราก็ได้แต่อยู่นิ่ง ๆ เท่านั้น ตอนแรกเบลล์ไม่ได้ต้องการเข้ามาอยู่เบื้องหน้า แต่ เพราะโชคชะตาเราจึงมาถึงจุดนี้ แต่สุดท้ายสิ่งที่เบลล์รักและอยากทำเป็นอาชีพจริง ๆ ก็คือโรงเรียนสอนเต้น


อึดอัดกับความมีชื่อเสียงไหม?

แต่ก่อนไม่เคยอึดอัดเลย แต่มาวันนี้อึดอัดมาก อึดอัดในเรื่องของเทคโนโลยีด้วย คืออินเทอร์เน็ตเนี่ย แรงมาก บางเรื่องเบลล์ไม่อยากอ่านเลย ญิ๋งเคยผ่านเรื่องตรงนี้มาก่อน เบลล์ก็ปรึกษาญิ๋งว่าจะทำยังไงดี ญิ๋งเป็นเพื่อนที่ดีมาก คอยพูดคอยสอนเล่าประสบการณ์กับสิ่งที่ตัวเองเจอ จนทำให้เบลล์แข็งแรงได้ทุกวันนี้ เขาบอกเบลล์ว่า อย่าไปเก็บมาใส่ใจเลย เรารู้ตัวเราเองว่าอะไรคือเรื่องจริง เราเป็นคนที่มีชื่อเสียงมันก็ต้องโดนนินทามากกว่าสองเท่าอยู่แล้ว เราจึงไม่ควรเอามาใส่ใจ ถ้าจิตใจแย่ทุกอย่างรอบตัวก็ตกหมด คำพูดตรงนี้แหละ ที่เบลล์รู้สึกว่า เออ..จริง ภายในไม่ดี ทุกอย่างรอบตัวไม่ดี งานที่เราจะทำก็จะไม่ดี เราจะบั่นทอนทำร้ายตัวเองไปทำไม เพราะฉะนั้นเราก็อย่าไปใส่ใจกับสิ่งรอบข้างเรา ข่าวลือที่มันไม่จริงไม่ต้องไปสนใจ เราแค่ทำงานของเราต่อไป เรื่องจริงหรือไม่จริง คนอ่านเขาก็ต้องมีวิจารณ ญาณ

แล้วเรื่องความรักมีหนุ่มมาเป็นกำลังใจให้เราไหม?

ตอนนี้เรื่องความรักพักไว้ก่อนค่ะ เป็นเพื่อนกันหมด แต่จะพูดว่าไม่มีใครเข้ามาก็จีบ มันก็ไม่ใช่ ก็คงไม่ขนาดนั้น เบลล์ก็ไม่ได้ปิดตัวเอง แต่ทุกคนที่เข้ามา ก็ให้เป็นเพื่อนไปก่อน ณ วันนี้เราอ่อนแอ เราขอแข็งแรงก่อน ขอยืนได้ด้วยตัวเองก่อนแล้วค่อยว่ากันในเรื่องความสัมพันธ์ เพราะความรักมันเป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว มันจะเกิดยังไง มันก็เป็นเรื่องของอนาคต ที่ผ่านมาเบลล์ก็ได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดของตัวเองในด้านความอ่อนแอในความรู้สึก ด้วยความที่เบลล์เป็นคนที่อ่อนไหว ใครที่เข้ามาทำดีด้วย ทำให้เบลล์รู้สึกดี เราก็จะเชื่อเขาไปหมด เขาพูดอะไรเราก็จะเห็นดีเห็นงามไปด้วย ซึ่งในโลกความเป็นจริง ถ้าไม่ใช่คุณพ่อคุณแม่เรา เราไม่รู้หรอกว่าเขาจะมาดีหรือมาร้าย เพราะฉะนั้นยิ่งเราเป็นคนมีชื่อเสียง เราก็ยิ่งไม่รู้ว่าเขาจะมารูปแบบไหน ไม่ได้หมายความว่า เราจะมองโลกในแง่ร้ายนะคะ แต่ว่าเราต้องระมัดระวังตัวเองมากขึ้นค่ะ

มีอะไรอยากจะฝากถึงแฟน ๆ ไหม?

ต้องขอบคุณแฟนคลับของเบลล์ ไม่ว่าเขาจะได้ยินได้ฟังอะไรมา เขาก็เป็นกำลังใจให้เรา ไม่เคยทอดทิ้ง เขาจะอยู่ข้างเบลล์เสมอ และฝากบอกเป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกคนที่ใช้ชีวิต อยากให้ประพฤติอยู่ในศีลห้า อย่าไปหลงมัวเมาใน รัก โลภ โกรธ หลง ในแง่ของความรักก็ให้รักอย่างมีสติ ไม่มีใครมาเป็นเจ้าของชีวิตใครได้ เราต้องรักตัวเราเองเป็นก่อน เราถึงจะไปรักคนอื่นได้ ส่วนในเรื่องของการทำธุรกิจ อย่าโลภมาก ทำในสิ่งที่ตัวเราทำได้ ทำไหว คิดใหญ่ไปปัญหามันก็เกิดใหญ่ การทำงานทุกอย่างมันต้องเจอปัญหาหมด ในเรื่องส่วนตัวก็ขอให้ดำเนินชีวิตอย่างมีสติ อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ โดยเฉพาะเด็ก ๆ ทำอะไรต้องปรึกษาท่านให้มาก เพราะท่านคือคนที่รักเรามากที่สุดแล้ว

ปัญหาทุกอย่าง ย่อมมีทางแก้ไข หากคิดดี ทำดี เชื่อว่า “เบลล์” สามารถผ่านมันไปได้แน่ ๆ สู้ ๆ !.



เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์