แรงกดดัน ก้อย-รัชวิน คือสิ่งผลักดันชีวิต

จัดว่าเป็นดาวที่เจิดจรัสแสงมากอีกคน สำหรับ ก้อย-รัชวิน วงศ์วิริยะ สาวน้อยตากลมโตอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งกลายเป็นนักแสดงมาแรง ที่สามารถคว้ารางวัลสุพรรณหงส์ ครั้งที่ 18 ไปแบบเกินความคาดหมาย จากผลงานเรื่อง “รัก/สาม/เศร้า” จาก ค่ายจีทีเอช แน่นอนว่าความโดดเด่นของสาวคนนี้มาเตะตา “ดาวต่างมุม” เข้าเต็ม ๆ จนต้องคว้าตัวเธอมานั่งพูดคุยในวันนี้


ก่อนอื่นต้องถามสาวก้อยว่าตอนนี้มีผลงานอะไรอยู่?

 
“ตอนนี้ก็มีผลงานภาพยนตร์เรื่อง “อนึ่งคิดถึงเป็นอย่างยิ่ง” ค่ะ เพิ่งเข้าฉายไป และมีละคร “ดิน น้ำ ลม ไฟ” ที่กำลังจะออนแอร์ช่วงเดือนเมษายนนี้ ทางช่อง 3 ค่ะ และก็เป็นดีเจ คลื่น 104.5 แฟต เรดิโอ ค่ะ”



ยังมีเวลาให้เป็นดีเจอยู่เหรอ?
 
ยังมีเวลาบ้างค่ะ ยังไง ๆ งานดีเจก็เป็นงานที่รักอยู่ อีกอย่างก้อยไม่ได้จัดรายการคนเดียว จัดร่วมกัน 3 คน แต่ละคนจะมีงานส่วนตัวของตัวเองด้วย ก็สลับเวรกันมาจัดรายการ เลยโชคดีหน่อยที่มีเพื่อนร่วมงานที่ดี แล้วทางคลื่นนี้ก็เป็นคลื่นที่น่ารัก แล้วเข้าใจเรา ก้อยเองก็พยายามจะขอเวลามาจัด ว่างปุ๊บมาเลยค่ะ งานดีเจเป็นงานที่เรารัก อย่างน้อยถ้าเรายังมีแรงเหลืออยู่ ก็ไม่อยากจะทิ้งตรงนี้ไป งานดีเจเป็นเหมือนบ้านหลังแรกของก้อยค่ะ ที่ แฟต เรดิโอ เองเหมือนครอบครัวของก้อยอีกครอบครัวหนึ่งด้วย”


นับตั้งแต่เข้าวงการอยู่มากี่ปีแล้ว?

 
“ถ้าไม่นับช่วงแรก ๆ ที่ก้อยรับงานเป็นเสมือนงานอดิเรกนะ คือ เหมือนกับว่าเด็กวัยรุ่นอ่ะ สนุก ทำแล้วได้เงินก้อนหนึ่งมา ไม่ต้องขอค่าขนมคุณพ่อคุณแม่ แบ่งเบาภาระท่านอะไรอย่างงี้ แค่นี้เราก็แฮปปี้แล้ว เป็นงานที่เราชอบ แต่ไม่คิดว่าตัวเองจะมาอยู่ตรงนี้อย่างเต็มตัวจริง ๆ แต่ถ้านับจริง ๆ ตั้งแต่ตอนเป็นดีเจถึงตอนนี้ก็ 6 ปีแล้วค่ะ”


 แปลว่าตอนที่เข้าวงการมาใหม่ ไม่คิดว่าจะเข้ามาอยู่ตรงนี้เต็มตัวเหรอ?

  
“ใช่ค่ะ คิดว่างานดีเจเป็นงานหลักของเรา แล้วก้อยก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะมาเข้าวงการในฐานะอาชีพของนักแสดงเต็มตัว ถึงตัวเองจะเรียนทางด้านการแสดงมาก็จริง เพราะเรียนนิเทศ จุฬาฯ ก้อยพยายามเรียนทุกอย่างที่เราสนใจ ทั้งการแสดง หนัง และวิทยุ-โทรทัศน์ ค่ะ ก้อยเริ่มชอบการแสดงตั้งแต่เรียนปี 1 ได้เล่นละครเวทีของคณะ แล้วก็ซึมซับมาเรื่อย ๆ จนมีโอกาสได้เรียนการแสดงจริง ๆ เข้าเวิร์กช็อป แล้วรู้สึกว่าชอบการแสดง แต่ก็ไม่คิดว่าเราจะมีโอกาสได้มายึดอาชีพนี้เป็นอาชีพหลักนะคะ ณ ตอนนี้มันกลายเป็นความสุข ความรักในหน้าที่การงานของตัวเอง รู้สึกว่าน้อยคนนะที่โชคดีที่ได้ทำอะไรที่ตัวเองรัก ก้อยเป็นคนที่มีจุดมุ่งหมาย ฝันอะไรแล้วก็อยากจะทำให้ได้อย่างที่เราใฝ่ฝันไว้ อยากเป็นดีเจ ก็มุ่งมั่นที่จะเป็นดีเจ พอได้ก้าวเข้ามาสู่อาชีพนักแสดง ก็อยากเป็นนักแสดงที่ดี เป็นนักแสดงที่มีคุณภาพค่ะ”



ผลงานภาพยนตร์ทำให้ดังเปรี้ยงปร้างขึ้นมาใช่มั้ย?
  
“มันเป็นจังหวะของชีวิตคนเรามากกว่า คือ อาจจะเป็นที่พอเรามาเล่นหนังเรื่องนี้เนี่ย ค่อนข้างพลิกคาแรกเตอร์จากที่คนอื่นเคยเห็นเรา เมื่อก่อนคนเห็นภาพเราผมยาว หวาน แต่มาตัดผมสั้นในเรื่อง “รัก/สาม/เศร้า” มันพลิกกว่าที่เคยเป็น ตัวละครมีมิติหลายด้าน มันมีอะไรให้เราได้เล่นกับมันเยอะ เรื่องนี้เนี่ยก้อยค่อนข้างทุ่มเทกับมันเยอะ มันเป็นหนังเรื่องแรกที่ก้อยมารับบทนักแสดงนำ แล้วรู้สึกว่าด้วยตัวหนังของมันเอง เป็นเนื้อเรื่องที่น่าสนใจ แล้วเราก็เป็นนักแสดงใหม่ต้องเต็มที่ ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด การทำเบื้องหลังกับการมาอยู่เบื้องหน้ามันไม่เหมือนกันนะ ก้อยรู้สึกเหมือนกับว่าเราต้องขยันเพิ่มเป็น 2 เท่าค่ะ”


หลังจากคว้ารางวัลมาแล้ว รู้สึกกดดันบ้างมั้ย?


“ก้อยไม่กดดันเลย วินาทีแรกที่ก้อยรู้ว่าได้รับรางวัล ก้อยงง! ไม่คิดไม่ฝันว่าเราจะได้รับรางวัลอันทรงเกียรติอย่างนี้ แล้วเราก็รู้สึกว่ามันเป็นไปได้เหรอ ใช่จริง ๆ เหรอ เรายังเด็กอยู่ ยังใหม่อยู่ ประสบการณ์ยังน้อยเมื่อเทียบกับคน  อื่น ๆ ที่เล่นหนังมา คนอื่นที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิง ยังมีคนที่เก่งกว่าเรา ก้อยรู้ว่าตัวเองประสบการณ์ยังน้อยอยู่ ไม่ได้ดูถูกตัวเองนะว่าเราไม่ดีพอ แต่กลับรู้สึกว่ามีคนมองเห็นความตั้งใจของเราในผลงานชิ้นนี้ ตอนนี้เลยกลายเป็นแรงผลักดันให้   ก้อยอยากพิสูจน์ตัวเองค่ะ ก้อยเชื่อว่าตอนที่รับรางวัล อาจจะมีคนคิดว่าเด็กคนนี้เป็นใคร เค้าเป็นดาราที่ใหม่มาก  บางคนอาจจะยังไม่ได้ดู “รัก/สาม/เศร้า” หรือบางคนดูแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ก้อยมองว่ามันเป็นความคิดของแต่ละบุคคล แล้วแต่ใครจะมองอย่างไร ถ้าเกิดว่าใครจะมองว่าหนูยังเด็กไปสำหรับรางวัล อันนี้ก้อยก็ยอมรับแต่โดยดี และไม่โกรธ แต่เชื่อเถอะว่าก้อยจะพิสูจน์ให้เค้าเห็นเองว่าเราจะแสดงให้ดีและมีคุณภาพให้ได้”


 รู้สึกเสียใจมั้ยที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ออกมา?


“ไม่เสียใจ เข้าใจมากกว่า ถ้าก้อยมองก็คงคิดเหมือนกันว่า คนนี้ใหม่ เค้าได้รางวัลในขณะที่มีผู้เข้าชิงที่มีความสามารถ แล้วก็มีประสบการณ์มากกว่า แต่ว่าอย่างไรก็ตามก้อยต้องขอบพระคุณคณะกรรมการที่เค้าเห็นความสามารถก้อย ไม่ว่าด้านไหนก็ตาม มันก็ต้องมีคนคิดบ้างล่ะ ขนาดเราเองเป็นเด็ก เรายังคิดเราก็ยังรู้สึกเลยว่าได้จริง ๆ เหรอ ถ้ามัวแต่มานั่งเสียใจ มานั่งกดดัน มัวแต่มาท้อว่าตัวเองเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมกับรางวัล แทนที่จะเอาความกดดันนั้นมาผลักดันให้เป็นแรงกล้าที่จะพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่าเราตั้งใจ อีกอย่างก้อยอยากเป็นนักแสดงที่มีศักยภาพ มาคิดแบบนั้นไม่ดีกว่าเหรอ”



มาถึงจุดนี้ ได้กำลังใจจากใคร?


 “มาจากครอบครัวคุณพ่อคุณแม่ แล้วก็คนใกล้ตัวทุกคน ไม่ว่าจะเป็น เป้ (อารักษ์ อมรศุภศิริ) หรือเพื่อน พี่ น้อง ในวงการบันเทิง เราไม่สามารถตัดสินตัวเองได้หรอกว่าเราเล่นดีหรือไม่ดี ต้องให้คนอื่นดู แต่ว่าทุก ๆ คนรอบข้างรวมไปถึงพี่ ๆ สื่อหลายคน ผู้ใหญ่หลาย ๆ คน การที่เค้าเลือกเราให้มาเล่น เค้าก็มีความเชื่อในตัวเราจุดหนึ่ง แล้วรางวัลนี้มันทำให้ทุกคนเชื่อว่าเราทำได้ เราก็ควรมั่นใจในตัวเอง ว่าทำได้นะ แต่ว่ามันไม่ได้หมายความว่าที่เราได้รางวัลไปแล้ว ก้อยจะประสบความสำเร็จในอาชีพนักแสดง มันเหมือนเป็นบันไดก้าวแรกของก้อย สำหรับคนอื่นเค้าจะคิดว่านี่ล่ะจุดสูงสุดของฉันในการเป็นนักแสดง สำหรับก้อยแล้ว มันคือก้าวแรก และต้องเดินก้าวต่อไปอีก ต้องโตขึ้น ก็ไม่รู้ว่าอนาคตเราจะอยู่ในวงการนี้ได้อีกนานแค่ไหน แต่ว่าก้อยจะทำให้ทุกคนเห็นว่ารางวัลนี้ เราอาจจะได้มันตอนอายุยังน้อย และประสบการณ์ยังไม่เพียงพอ แต่สักวันหนึ่งเมื่อเรามองกลับมาถึงเวลานั้นเราให้คนตัดสินว่าก้อยเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ตอนนี้อย่าเพิ่งมาตัดสินก้อยเลย”


แล้วจะยึดอาชีพนักแสดงต่อไปมั้ย?

 
“ก้อยมาขนาดนี้แล้ว เราเองไม่ได้เป็นคนเลือกหรอก ผู้ใหญ่เป็นคนให้โอกาส หนังต่าง ๆ ที่ติดต่อเข้ามา ก้อยโชคดีที่ได้รับความอนุเคราะห์จากผู้ใหญ่ ความเอ็นดูต่าง ๆ ให้ได้มีงานทำต่อเนื่อง ซึ่งก็ต้องเต็มที่กับมันค่ะ”


 หลังจากได้รางวัลมางานแสดงเยอะขึ้นมากเลยสิ?


“เยอะขึ้นมากค่ะ แต่ก้อยคงดูศักยภาพของตัวเองก่อน ว่าตัวเองมีความสามารถพอที่จะทำได้หรือเปล่า ส่วนใหญ่แล้วเนี่ย ถ้าเป็นบทที่ดีปุ๊บ แม้ว่ามันยาก แต่เรามองว่าเราท้าทาย ก็รับนะคะ ก้อยมีครูทางการแสดงท่านหนึ่ง ถือว่าเป็นอาจารย์ของก้อย คือ หม่อมน้อย (ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล) เค้าบอกกับก้อยในวันที่ได้รับรางวัลว่า ต้องไม่หลงไปกับเกียรติยศและชื่อเสียง อย่าทำให้มันเป็นตัวที่ทำให้มันเป็นจุดสูงสุดของเรา ซึ่งก้อยเชื่ออย่างนั้นจริง ๆ จากนี้ไปก็มีเตรียมเปิดกล้องในเดือนเมษายนนี้ และมีละครที่จะเปิดกล้องในช่วงเวลานั้นด้วยค่ะ”


ช่วงนี้คิวฮอต ทำงาน 7 วันเลยเหรอ?


“ใช่ค่ะ เหนื่อยแต่ก็สนุก ก้อยคิดว่าเราโชคดีที่เราได้มาทำงานที่เรารัก แล้วก็มีความสุขไปกับมัน เพราะให้ก้อยไปทำงานที่มันไม่ใช่ตัวเองอย่างงี้ ก็คงไม่แฮปปี้ ถึงจะทำงานไม่เป็นเวลา ทำงานเช้าเลิกดึกมาก แต่เราก็รู้ว่ามันเป็นงานที่เรารัก”



งานเยอะขนาดนี้ มีเวลาให้หวานใจเหรอ แล้วกลัวจะมีปัญหารึเปล่า?


“ไม่มีเลยค่ะ ต่างคนต่างยุ่งแค่ไหน ก็ต้องหาเวลามาเจอกัน เรายังมีเวลายังเจอกันเหมือนเดิม มันอาจจะน้อยลงบ้าง แต่ว่าเราก็ติดต่อกันอยู่ตลอด ถ้าไม่เจอกัน ก็โทรศัพท์คุยกัน ตอน  นี้เป้เองก็งานเยอะ ทำงาน 7 วันเหมือนกัน แต่เราเคยคิดว่าเรางานเยอะอย่างงี้ ต้องเจอกันน้อยลง พอถึงเวลาเข้าจริง ๆ ก็ยังหาเวลามาเจอกันได้นะคะ”


คบกันมากี่ปีแล้ว?
 
“2 ปีแล้วค่ะ ถึงงานจะยุ่งแค่ไหน ก้อยกับเป้ไม่เคยห่างกันเกิน 2 วัน ยกเว้นไปงานที่ต่างจังหวัดหรือไปต่างประเทศค่ะ เราเข้าใจกันมากกว่า ต่อให้ไม่เจอกัน เรายังคุยกันอัพเดทชีวิตของกันและกัน วันนี้ทำอะไร ยังไงบ้าง”


เคยมีทะเลาะกันบ้างมั้ย?


 “มีหลายอย่าง คนคบกันก็ต้องมีบ้างที่ความคิดเห็นมันไม่ตรงกัน แต่ว่าเราค่อย ๆ เรียนรู้กัน ค่อย ๆ พัฒนาความสัมพันธ์ไปเรื่อย ๆ เราคบกันในอายุที่ยังเด็ก แล้วเราก็มาเจอกันในระยะเวลาที่หลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างเข้ามา เราคบกันตั้งแต่ก้อยยังเป็นดีเจอยู่ แล้วเป้ยังไม่ได้เข้ามาอยู่วงสเลอ ตอนนี้ต่างมีงานมีหน้าที่ที่เราต้องรับผิดชอบ มันเลยเหมือนทำให้เราโตขึ้น มีวุฒิภาวะมากขึ้น ความสัมพันธ์ของเราก็ต้องโตขึ้นไปตามลำดับ เหมือนกับเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้าหากันไปเรื่อย ๆ ค่ะ”


เป้ขี้หึงรึเปล่า?

 
“คงเรื่องทั่วไปน่ะ อย่างเรื่องของผู้หญิง เค้าก็ห่วงเรื่องการแต่งตัว บางทีไปทำงานแล้ว แบบว่าเจอใครมาจีบหรือเปล่า ก็มีบ้าง แต่ว่าไม่มีอะไร ต่างคนต่างเข้าใจซึ่งกันและกันนะ”


แล้วก้อยหวงเป้บ้างมั้ย?


“เป้ค่อนข้างทำให้ก้อยมั่นใจ อีกอย่างก้อยไม่ใช่คนที่แบบว่าจิก ๆ หรืออะไรเยอะแยะอยู่แล้ว เพราะเราเลือกที่จะเชื่อใจเค้า ก็ไม่อยากให้เรื่องเล็ก ๆ   น้อย ๆ มันมาบั่นทอนความรู้สึก เพราะว่ามันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เป็นศิลปินก็ต้องมีสาว ๆ มาตามกรี๊ดเป็นธรรมดา ก้อยก็ดีใจนะ เวลาไปทำงานมีคนมาชื่นชมแฟนเรา เค้าก็น่ารักกับทุกคนค่ะ”


เป็นคนชอบนิสัยแบบไหน?

 
“ก้อยเป็นคนชอบคนมีความคิด ชอบผู้ชายฉลาด มีความสามารถ แล้วจิตใจดี มีความอ่อนโยนนะ คนที่เราจะฝากชีวิตได้เนี่ย ต้องเข้าใจเรา พร้อมที่จะดูแลเรา อยู่ด้วยกันทั้งตอนที่ทุกข์และสุขได้ คนเราจะมองเห็นธาตุแท้ของอีกฝ่ายหนึ่งก็ต่อเมื่อเราประสบพบเจอความทุกข์หรือความยากลำบากด้วยกัน ถึงเวลานั้นถ้าเค้าอยู่ข้างเรา ให้กำลังใจเรา นี่แหละคือคนที่เราสามารถฝากชีวิตไว้ได้ ที่สำคัญเค้าต้องรักเราด้วย อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดของก้อย คือ ครอบครัว ทุกวันนี้ที่ทำงานก็ทำเพื่อครอบครัว ยังไม่ถึงเวลาที่ก้อยจะต้องเก็บเงินเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัวของตัวเอง ที่ก้อยทำตอนนี้เพื่อคุณพ่อคุณแม่ ดูแลคนที่บ้านดีกว่า ความรักก็เหมือนเป็นแรงผลักดันในชีวิต เป็นพลังในการดำเนินชีวิตน่ะค่ะ”


ได้ยินแบบนี้แล้วแฟน ๆ คงเข้าใจความเป็นตัวตนของสาวร่างเล็กตา กลมโตคนนี้มากขึ้นแน่นอน...



เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์