แดน-วรเวช ผู้ชายล่าฝัน

แดน-วรเวช ดานุวงศ์ ถ้าเราเอ่ยชื่อนี้เชื่อได้ว่าน้อยคนที่จะไม่รู้จักเขา เพราะเขาคือหนึ่งในตำนานบอยแบนด์เมืองไทยที่ชื่อว่า ดีทูบี ถึงวันนี้จะปิดตำนานไปแล้ว แต่เส้นทางชีวิตของทั้งสองคนที่เหลืออยู่ก็ต้องเดินกันต่อไป และในวันนี้เราได้รับเกียรติจากหนุ่มเนื้อหอมคนนี้  มาเปิดใจถึงสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตและสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในชีวิตของเขา เพราะฉะนั้นอย่าช้า เราไปคุยกับเด็กผู้ชายเลือดสุพรรณที่ชื่อ แดน วรเวช กันเลยดีกว่า

ตอนเด็ก แดน มีความฝันหรือเปล่า ?

“ผมเป็นคนเชื่อในความฝันตลอด ฝันอะไรผมก็เชื่อในเรื่องนั้น ก็ดีนะถ้าเราศรัทธาในความฝันของเรา เคยฝันว่าอยากจะทำเพลง อยากเป็นนักร้อง ทำอัลบั้มของตัวเอง แล้ววันนี้มันก็มากกว่าที่เราคิด อยากมีบ้านสักหลังหนึ่ง ที่ไม่ใช่เป็นบ้านเช่า มันก็มากกว่าที่เราคิด อยากจะมีรถดี ๆ สักคันไว้ให้พ่อกับแม่ขับ ให้เราขับอยู่ด้วยกันที่ไม่ใช่รถเก่า ๆ มันก็มากกว่าที่ผมคิดทุกอย่าง ถึงวันนี้ผมก็ยังฝันต่อไป เพราะผมเชื่อว่าถ้าผมฝันแล้วเชื่อและศรัทธากับมันจะทำได้หมดทุกอย่าง เหมือนกับ  ที่เขาว่าฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง แต่ผมไปถึงแล้วมันเลยที่ผมฝันไว้หมดทุกอย่าง แล้วผมคิดว่าฝันผมไม่ได้ทำร้าย   ใครด้วย”

แล้ว แดน เอาแรงขับเคลื่อนมาจากไหน ในการเดินไปสู่ฝัน?

“ผมว่าพ่อ แม่ เป็นส่วนสำคัญมากครับ  อย่างผมมาเป็นนักร้อง มันไม่ใช่ฝันผมอย่างเดียว บางทีเราอยากให้พ่อ แม่ ได้ดูว่าลูกที่พ่อ แม่ เลี้ยงดูมาด้วยความลำบาก วันนี้เราทำอะไรดี ๆ ได้ เราไม่ได้เป็นเด็กที่เกเร ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เราสามารถหาเงินทำงานได้เองแล้ว พ่อ แม่ก็ได้สบายใจ ในทุก ๆ อย่าง มีบ้านพ่อแม่ก็ได้สบาย ใช้หนี้ให้หมด ซื้อรถดี ๆ ให้พ่อได้ขับไปทำงาน ผมถือว่าทั้งหมดคือแรงขับของผมนะ”
 


กับแฟนคลับละคะ เพราะเห็นแดนมีแฟนคลับเยอะมาก ที่คอยเป็นห่วงและตามเชียร์?

“กับแฟนเพลงเนี่ย เป็นในเรื่องของการทำตัว ผมไม่อยากทำให้พวกเขาเสียใจ ไม่อยากให้เขาผิดหวังในตัวเรา ในเรื่องของยาเสพติดเราไม่ยุ่ง เรื่องของการเรียนหนังสือ คือ พ่อ แม่ แดนรับราชการก็จริง แต่เขาไม่  ซีเรียสเรื่องเรียนเท่าไร เพราะเราเชื่อว่าชีวิตของเราคือการเรียนรู้ตลอดชีวิตอยู่แล้ว ถึงไม่ได้เข้าเรียนหนังสือ แต่แค่ผมมาทำงาน ก็ถือว่าผมได้เรียนรู้คนแล้ว ในสายงาน   ต่าง ๆ ที่ตัวเองไปอยู่ ณ ตรงนั้น อันนี้คือเฉพาะความคิดของพ่อแม่ของแดนนะครับ ไม่ได้ซีเรียส แต่อยากจะเรียนวันนี้ เพื่อน้อง ๆ ที่เรียนหนังสืออยู่ ได้รู้ว่าพี่แดนไม่ทิ้งการเรียนนะ ช่วงที่แดนไม่เรียนคือช่วงที่แดนต้องทำงานนะ  พ่อ แม่ ของน้อง ๆ เขาจะได้รู้สึกดี เห็นน้อง ๆ เรียนตามแต่ก็ยากนะครับ ที่เราจะต้องเป็นต้นแบบให้น้อง ๆ ผมเลยพยายามที่จะบอกตามสื่อต่าง ๆ ตลอดว่า สิ่งไหนที่ดี ๆ ทำตามเลยในตัวเรา แต่สิ่งไหนที่ไม่ดีก็พิจารณาแล้วกัน เราก็จะบอกว่าไม่ดี เพราะเราคือคนปกติคนหนึ่งเหมือนกัน”

เป็นแดน ดีทูบี ยากเหมือนกันนะ?

“ไม่ยากครับ ผมก็ทำตัวปกติ ผมพยายามไม่คิดอะไรมากครับ ก็พยายามให้คนเข้าใจเราที่เราเป็นแบบนี้มากกว่า ชีวิตตัวเองมันจะมีความสุขหน่อย ถ้าเรามัวไปนั่งสร้างให้คนเห็นแบบอีกคนหนึ่ง ถ้าอันไหนที่เรารู้สึกว่ามันแย่จริง ๆ เราก็ปรับตัวไป เหมือนเราเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีคนมาบอกว่าเราทำตัวไม่ดี เราก็ต้องปรับปรุงตัวเองไป”

การมีชื่อเสียง ทำให้แดน มีกรอบของชีวิตไหม?

“มีกรอบก็มีอยู่แล้วครับ มันก็เหมือนเราทำอะไรไม่เต็มที่เหมือนกัน อย่างเรานั่งกินข้าว ก็มีคนมาจ้อง มาคอยดูว่าเรายกมือยังไงเคี้ยวยังไง ก็ยอมรับว่ามีอึดอัดเล็กน้อย แต่เราก็มีวิธีแก้ อย่างพอมีเวลาว่างก็ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อน ไปทำอะไรเงียบ ๆ”
 


จำบรรยากาศและความรู้สึก ตอนขึ้นเวทีคอนเสิร์ตครั้งแรกในชีวิตได้ไหม ?

“จำได้ครับ เป็นมีตติ้งคอนเสิร์ต ขึ้นไปร้องเพลงเดียว ตื่นเต้นมากเลยวันนั้นผมตัวชาไปหมดเลย  วันนั้นร้องเพลง “ต่อหน้าฉัน” ระยะเวลาในการร้องเพลงแค่ 3 นาทีกว่า แต่ผมจำอะไรไม่ได้เลย วันนั้นเป็นคอนเสิร์ตที่ใหญ่มาก มีศิลปิน ดัง ๆ ของอาร์เอสมากันเยอะมาก แต่ผมสามคนขึ้นไปแค่เพลงเดียว ตื่นมากจริง ๆ จำอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าทำอะไรไปบ้าง แต่พวกเราดีทูบี จะเป็นแบบว่าก่อนขึ้นเวที จะแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง ถ้าเกิดคนที่ไม่รู้อะไร ที่เขาบอกว่าผมกับพี่บีมดูไม่ถูกกัน ไม่คุยกัน ไม่ใช่หรอก คือเราต่างคนต่างทำสมาธิ”

แต่ตอนนี้กลายเป็น ตำนานบอยแบนด์เมืองไทยไปแล้ว?

“กับคำว่าตำนาน ก็รู้สึกดีนะครับ รู้สึกเราถ้าเรามีตำนาน เราก็ประสบความสำเร็จ บางทีเราเขินกับคำพวกนี้นะ แต่ก็รู้สึกดี ๆ มากครับ และขอบคุณทุก ๆ แรงใจครับที่ให้กำลังใจกันมาตลอดจากวันนั้นจนถึงวันนี้”

เส้นทางที่จะเดินต่อไปของแดน ในอนาคตเป็นยังไงคะ?

“เส้นทางต่อไปนี้ แดนก็ยังจะยึดความฝันของตัวเองต่อไป แต่เป็นฝันอีกสเต็ปหนึ่ง มันอาจจะยากสำหรับความคิดของคนทั่วไปบางคน แต่เราก็ต้องลองทำดู นั่นคือความฝันที่จะเดินต่อไปนะ ส่วนงานที่ใกล้ ๆ อยู่แล้ว ก็คงจะเป็นเรื่องของการทำงานเบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็น   โปรดิวเซอร์เพลง กำกับเอ็มวี ทำทั่วไปเกี่ยวกับวงการบันเทิงทั้งหมดที่อยากทำ ผมคงไม่ไปเป็นพนักงานประจำที่ไหน ผมคงทำแบบนั้นไม่ได้
 
ส่วนงานเพลง ก็อยากให้รอดูกันต่อไป  เรื่อย ๆ ครับ เราเองยังสนุกกับชีวิตตัวเองเลย ผมเชื่อว่าแฟนเพลงของแดน หรือว่าน้อง ๆ แฟนคลับ ผมเชื่อว่าเขาก็สนุกตามชีวิตของผมมาตลอด เพราะผมไม่เคยหยุดนิ่งอยู่แล้วครับ”
 


ขอถามเรื่องส่วนตั๊วส่วนตัวนิดหนึ่งนะคะ ที่เขาบอกว่า แดน เป็นคนมีเสน่ห์ มัดใจสาวละ?

“อันนี้ผมไม่รู้นะ เอาจริง ๆ เลย แดนเป็นคนจีบผู้หญิงไม่เป็น ผมไม่รู้ว่ายังไงคือการจีบ ถ้าเกิดการจีบในความคิดของแดนคือการเอาจดหมายไปยัดไว้ใต้โต๊ะ แต่ไม่รู้ว่าเราคุยกันตามปกติเนี่ย เขาเรียกว่าการจีบหรือเปล่า”

แดนเป็นคนเจ้าชู้หรือเปล่า?

“เจ้าชู้หรือเปล่า คือตอนนี้ผมยังไม่ได้คิดที่จะอยู่กับใครง่ะครับ เพราะฉะนั้นทุกคนก็คุยได้เป็นเพื่อนกันได้หมดมันก็อาจจะดูเป็นคนเจ้าชู้มั้ง แต่ผมก็ไม่เคยทำร้ายใคร ไม่เคยดูถูกผู้หญิงอยู่แล้วด้วย แดนไม่ชอบ  มาก ๆ กับคนที่หยาบคายกับผู้หญิง หรือว่าทำร้ายผู้หญิง ผมว่าไม่ยุติธรรมสำหรับผู้หญิงนะ”

แล้วที่เขาบอกว่า แดน ขี้เก๊ก คิดยังไง?

“ครับผมยอมรับว่าผมเก๊ก ก็ผมอยากหล่อนี่ครับ เลยต้องเก๊กครับ (หัวเราะ)”

คำถามสุดท้าย คิดว่าตัวเองเป็นหนุ่มเนื้อหอมหรือเปล่า?

 
“ไม่รู้เหมือนกันครับ ว่าตัวเองเนื้อหอมหรือเปล่า (หัวเราะ)”
 
ถึงแม้เส้นทางข้างหน้า จะยังไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไรบ้าง แต่เราเชื่อแน่นอนอย่างที่ แดน วรเวช บอกไว้ว่า เราต้องศรัทธาในความฝัน ส่วนฝันของเขาจะออกดอกออกผลอย่างไรนั้น ก็ต้องคอยให้กำลังใจและติดตามผลงานของเขากันต่อไปนะจ๊ะ.


เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์