จ๋า สาวเพอร์เฟกต์ สวย เก่ง มีความคิด

เข้าวงการบันเทิงมาก็หลายปีแล้ว แต่ชื่อของวีเจสาวเจ้าเสน่ห์แห่ง “แชแนล วี” จ๋า-ณัฐฐาวีรนุช ทองมี ก็ยังได้รับความสนใจจากสื่อเป็นอย่างดี เพราะนอกจากเธอเป็นสาวมากความสามารถแล้ว เธอก็มักจะตกเป็นข่าวกับหนุ่ม ๆ อยู่เรื่อย ๆ เรียกว่าหัวใจของเธอแทบจะไม่เคยว่างเว้นกันเลยทีเดียว วันนี้ “ดาวต่างมุม” จึงชักชวนเธอมาพูดคุยทั้งเรื่องงานและความรักว่าตอนนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง

ช่วงนี้ทำอะไรบ้าง

ก็วุ่น ๆ อยู่ เพราะนอกจากจะทำงานประจำเป็นวีเจ “แชแนล วี” แล้ว จ๋ายังมีงานพิธีกรรายการ “ห้า สี่ สาม สอง โชว์ สไมล์แลนด์” ทางช่อง 7 และงานโชว์ตัวต่าง ๆ แถมยังมีเรียนปริญญาเอกด้วย แต่บังเอิญว่าช่วงนี้มีงานหนัง “คริตกับจ๋า...บ้าสุดสุด” ด้วย โดยจะเข้าฉาย วันที่ 14 ก.พ.นี้  ก็เลยยุ่ง ๆ เพราะต้องไปโปรโมตตามรายการต่าง ๆ

คิวงานแน่นขนาดนี้แบ่งเวลาอย่างไร

มันจะเป็นคิวอยู่แล้ว  อย่าง “แชลแนล วี” ก็จะล็อกไว้อยู่แล้วว่าไปอัดเทปวันไหนและจัดรายการสดวันไหน ทางทีมงานล็อกให้เลยว่าถ้าวันไหนเรา มาอัดเทปก็จะให้อัดรายการสดเลย เพื่อความสะดวกของทุกฝ่าย แล้วงานโชว์ตัวก็จะรับเป็นคิวก็ต้องดูว่าเราว่างช่วงไหนบ้างหรือถ้าถ่ายรายการเขาก็จะล็อกคิวเป็นเดือน ๆ อยู่แล้ว



แต่จ๋าก็ยังมีงานหนังด้วย

ใช่ งานหนังทำให้เราได้เล่นเป็นคนอื่น มันก็สนุกไปอีกแบบหนึ่ง สิ่งที่ชอบในงานหนังก็คือชอบที่ได้เห็นมันในจอ ได้เห็นตอนที่มันเป็นเรื่องราวแล้ว ประกอบกับโดยส่วนตัวแล้วเราเป็นคนที่ชอบดูหนังมาก พอมีโอกาสได้อยู่ในหนัง  ก็เลยชอบ ที่ผ่านมาก็เล่นหนังมา 4 เรื่องแล้ว คู่แท้ปาฏิหาริย์, ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ, แสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้า และ คริตกับจ๋า...บ้าสุดสุด

ดูจ๋าก็เป็นนางเอกที่ป๊อปปูล่าร์ในวงการหนังนะ

ก็ดีใจ แต่จ๋าคิดว่าเขาคงเห็นภาพหนังชัดมากกว่า เพราะที่ผ่านมาจ๋าไม่เคยเล่นละครเลย เท่าที่จ๋าได้คุยกับทีมงานหลาย ๆ คน เขาก็บอกว่าที่เลือกจ๋ามาเล่นหนัง เพราะจ๋าดูเป็นคนธรรมดาดี เอาไปใส่บทไหนก็ได้ แต่สิ่งที่ทำให้จ๋าดีใจและภูมิใจที่สุด คงเป็นเรื่องที่จ๋าได้รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จากชมรมวิจารณ์บันเทิงจากหนัง “แสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้า” จ๋าตื่นเต้นและตกใจที่สุดในโลกเลย  ทั้ง ๆ ที่ปกติแล้วจะเป็นคนที่ไม่ค่อยตื่นเต้นกับอะไรเท่าไร แต่วันที่ได้รับรางวัล จำได้เลยว่า หัวใจของจ๋าเต้นเหมือนจะทะลุออกมาเลย เพราะโดยส่วนตัวแล้ว จ๋ารู้สึกว่าการได้รับรางวัลจากชมรมวิจารณ์บันเทิงเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก เนื่องจากคณะกรรมการที่คัดเลือกล้วนแต่มีความเชี่ยวชาญในด้านหนังทั้งนั้น

เคยคิดมั้ยว่าจะทำได้ดีขนาดนี้

ไม่เคยคิดเลย จ๋าคิดว่าหนังตลกส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะได้รางวัลอยู่แล้ว  เวลาทำงานจ๋าคิดแค่ว่าทำให้ดีที่สุดก็พอ ไม่เคยหวังอะไรเลย สาบานได้  



มีวิธีเลือกรับงานอย่างไร

จ๋าเป็นคนละเอียดมากเรื่องรับงาน จะดูทุกอย่างเลย จ๋ายอมที่จะปฏิเสธงาน 5 เรื่อง แต่ยอมรับงานเรื่องเดียวแล้วทำให้ดีไปเลย จ๋าไม่มองเรื่องของตัวเงิน ถ้าเกิดเรารับงานเยอะ จ๋าคิดว่าคุณภาพของงานมันจะลดลง ดังนั้นเราจะเลือกงานที่เรารู้สึกดีด้วยทั้งตัวบท,ผู้กำกับและนักแสดงร่วม คือพอเรารู้สึกดีแล้ว เราจะทำมันได้ดีที่สุด ถ้าเราทำให้ดีที่สุดแล้วไม่ว่าผลจะออกมายังไงเราก็พอใจแล้วว่าเราก็ทำเต็มที่แล้ว

เริ่มทำงานตั้งแต่อายุเท่าไร

20 ค่ะ จ๋าทำงานในวงการมา 7 ปีแล้ว จากวันแรกที่ได้ทำจนถึงวันนี้จ๋าโตขึ้นมากเลย การทำงานตรงนี้ทำให้เราได้เรียนรู้โลกภายนอก เราได้เจอคนเก่งเยอะ เราก็สามารถนำสิ่งดี ๆ เหล่านั้นมาปรับใช้กับตัวเราได้ ซึ่งถ้าเราเปิดรับสิ่งดี ๆ มันก็จะเป็นประโยชน์กับตัวเรา

เข้าวงการมาก็ 7 ปีแล้วได้อะไรจากตรงนี้บ้าง

เยอะเลย หนึ่งก็ประสบการณ์  สองอย่างที่บอกคือ ได้เปิดโลกกว้าง และได้มีโอกาส ซึ่งโอกาสเป็นอะไรที่สำคัญมาก ๆ แต่ว่าก่อนที่จะได้โอกาสนี่เราก็ต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเราพร้อมที่จะทำงานเรา พร้อมที่จะรับผิดชอบ แล้วพอมีคนให้โอกาสเรา  ก็ต้องทำให้ดีที่สุด แล้วมันก็จะมีโอกาสที่สองต่อ มา แล้วเราก็ต้องรักษามาตรฐานของเราเอาไว้ สุดท้ายก็คือได้ความเข้มแข็ง เพราะมันก็ต้องมีบ้างที่ทำงานแล้วเจอคนไม่ดีเจอเรื่องไม่ดีมันก็เป็นบทพิสูจน์อย่างหนึ่ง  



ได้ยินมาว่ากำลังเรียนปริญญาเอก คณะรัฐศาสตร์ ที่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

ใช่ค่ะ แต่จ๋าจะเรียนแค่วันเสาร์- อาทิตย์ แต่ว่าช่วงนี้ก็โชคดีนิดหนึ่ง เพราะว่าถ้าหมดเทอมนี้ไปก็เหลืออีกแค่วิชาเดียว ซึ่งจ๋าไม่ต้องไปเรียนแล้ว เพราะเป็นวิชาที่เราศึกษาด้วยตัวเอง แล้วทำวิทยานิพนธ์ส่งอาจารย์  ยอมรับว่าการเรียนปริญญาเอกเป็นอะไรที่หนักมาก  เวลารู้อะไรเราต้องรู้ให้ลึก  บางครั้งพอคนอื่นเขารู้ว่าเราเรียนปริญญาเอก คนก็จะคาดหวังว่าจะต้องรู้เยอะ แล้วพอเรารู้น้อยมันก็เหมือนกับ    ว่าเราขาดความน่าเชื่อถือ เลยทำให้ค่อนข้างจะกดดัน จ๋าเลยพยายามบังคับตัวเองให้อ่านหนังสือเยอะ ๆ ถามว่าใกล้จะจบหรือยัง ตอนนี้ก็ใกล้จะทำวิทยานิพนธ์แล้ว แต่ยังกำหนดเวลาแน่นอนไม่ได้ เพราะถ้าสมมุติเราทำแล้วเราไม่สามารถตอบคำถามอาจารย์ได้ทั้งหมด เช่น ถ้าเราตอบข้อสงสัยอาจารย์ไม่เคลียร์ก็ต้องกลับไปทำใหม่

ทำไมถึงเลือกที่จะเรียนสูง ๆ

จ๋าชอบเรียนมาตั้งแต่เด็กแล้ว ประกอบกับจ๋ามีความรู้สึกว่างานที่ทำอยู่ตอนนี้มันไม่ได้มั่นคง และการที่เราจะหาความรู้เพิ่ม มันก็มีแต่ผลดี สมมุติว่าเราไม่ได้ทำงานตรงนี้แล้ว เราก็สามารถขยับขยายไปทำอย่างอื่นได้ และจ๋าก็คิดว่าการเรียนมันเป็นการบริหารสมอง ถ้าเราไม่ได้เรียนสมองเราก็จะทำงาน อยู่ซีกเดียว คือ ด้านเอ็นเตอร์เทน จริงอยู่มันก็อาจจะได้ใช้ระบบความคิดเหมือนกัน แต่ว่ามันก็อาจจะไม่เยอะพอเท่าตอนที่เราเรียน เราก็เลยมาเรียนด้วยสมองจะได้สมดุลกันทั้งสองข้าง 

จะเอาความรู้ที่เราร่ำเรียนมาไปทำอะไร

ตอนนี้จ๋าก็ได้รับเชิญให้ไปบรรยายตามโรงเรียนมัธยมต่าง ๆ บ้าง เช่น ไปพูดเรื่องการเตรียมตัวเอนทรานซ์และการเรียนมหาวิทยาลัย แต่เราไม่ได้ไปพูดในฐานะผู้รู้ แต่เราไปพูดในฐานะผ่านประสบการณ์มาก่อน นอกจากนี้ก็มีไปพูดคุยตามโครงการ “ทู บี นัมเบอร์ วัน” บ้าง ส่วนเรื่องจ๋าจะไปเป็นอาจารย์มั้ย ถ้าเป็นอาจารย์ประจำก็คงไม่ จ๋าคิดว่าคนที่จะเป็นพ่อพิมพ์และแม่พิมพ์ของชาติต้องเป็นคนที่มีความรู้จริง ๆ อย่างจ๋าก็คือมีความรู้ แต่ไม่ได้ลึกพอที่จะสามารถจะเอาทุกอย่างไปสอนคนอื่นได้ เราไม่ได้เก่งขนาดนั้น



ถามเรื่องความรักนิดหนึ่งว่าเป็นอย่างไรบ้าง

ก็เรื่อย ๆ ค่ะ

 ที่ผ่านมามีข่าวกับหลายคน เราได้บทเรียนอะไรกับตรงนั้นบ้าง

จ๋าคิดว่าจ๋าก็ทำตัวเหมือนคนทั่วไปนะ คือถ้าคบกันอยู่ก็ศึกษากันดู แล้วก็ไม่ได้ปิดบัง แต่บางครั้งที่มีข่าวก็เป็นข่าวโปรโมต เราก็บอกว่าไม่มีอะไร และบางทีก็เป็นเรื่องเข้าใจผิด เราก็ปฏิเสธไป แต่ถ้าคนไหนที่เราคุยจริง ๆ เราก็บอกว่าคุย  สเตปชีวิตเราก็เหมือนคนทั่วไป ถ้าไปกันได้คบกัน ไม่ได้มีอะไรที่ต่างจากคนอื่น ถามว่าการ ที่จ๋าเป็นคนเปิดเผย เรื่องความรักจะส่งผลกระทบต่องานมั้ย จ๋าว่ามันเป็นยุคใหม่แล้ว จ๋าก็ยอมที่จะซื่อสัตย์และจริงใจที่จะเปิดเผยมากกว่า เพราะว่างานก็คืองาน  ส่วนเรื่องกลัวเรตติ้งจะตกมั้ย จ๋าว่าคนสมัยนี้เขามีทางเลือก ถ้าเขาเลือกที่จะมองแบบนั้น เราก็คงจะเปลี่ยน ความคิดอะไรของเขาไม่ได้

กับหลุยส์ทำไมถึงตัดสินใจศึกษากัน

ตอนแรกก็ไม่ได้สนิทอะไรกัน ก็มารู้จักตอนถ่ายหนัง “คริตกับจ๋า...บ้าสุดสุด”  หลังจากนั้นก็พูดคุยกันมาเรื่อย ๆ หลังจากที่ได้คุยกันก็มีความรู้สึกว่าคุยกันได้ พื้นฐานคือไม่โกหกกัน เพราะถ้าใครเข้าหาจ๋าแล้วโกหกจ๋าเหมือนกับจีบทีละหลาย ๆ คน จ๋าก็ไม่อยากคุยด้วย  แต่พื้นฐานของหลุยส์เขามีความจริงใจ เขาก็พยายามทำให้มันดีขึ้นเรื่อย ๆ ก็พยายามปรับหลาย ๆ อย่าง ก็เหมือนกับเขาจริงใจแล้วก็เป็นคนดี ซึ่งการเป็นคนดี มันค่อนข้างครอบคลุมทุกอย่างอยู่แล้ว เขาเป็นคนที่ชอบดูแลเทคแคร์คนอื่น จ๋าชอบคนแบบนี้ เพราะที่บ้านจ๋าเป็นครอบครัวอบอุ่น ทุกวันนี้คุณพ่อยังดูแลคุณแม่อยู่เลย ดังนั้น ถ้าเราคบใครแล้วเขาไม่ค่อยได้ดูแล เราก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ว่าก็ยังไม่อยากพูดอะไรมาก  ก็ต้องดูต่อไปเรื่อย ๆ  



เรื่องการปรับตัวเป็นอย่างไรบ้าง

ก็ต้องมีบ้างเพราะคนเรามันโตมาคนละแบบ แต่ทุกครั้งเวลาที่หลุยส์ให้สัมภาษณ์ เขาก็จะบอกตลอดว่ามันเป็นช่วงพิสูจน์ตัวเอง เหมือนจ๋าก็ต้องดูเขาเหมือนกันและเขาก็ต้องดูจ๋าเหมือนกันว่าจะเป็นยังไง ถ้าเกิดเขาดีและดูแลกันมากขึ้น มันก็จะดีขึ้น ซึ่งตอนนี้มันก็เป็นช่วงเริ่มต้นเท่านั้น

จ๋าเคยมองเอาไว้รึเปล่าว่าผู้ชายที่จะมาลงเอยกับเราต้องเป็นคนอย่างไร

จ๋าชอบคนที่อบอุ่นนะ เขาต้องดูแลเราและครอบครัวเราได้ จริงอยู่ผู้หญิงสมัยนี้เริ่มเก่งมากขึ้น แต่สำหรับจ๋าไม่ได้หมายความว่าเราต้องเป็นผู้นำผู้ชาย เราแค่ทำหน้าที่ช่วยเสริมเขาก็พอ เพราะจ๋าคิดว่าถ้าเกิดเรามีครอบครัว แล้วคนที่อยู่ ข้าง ๆ เราเขาล้มในขณะที่เราไม่สามารถทำอะไรได้เลย แล้วใครจะมาดูแลครอบครัวเราและลูกของเรา ถ้าเรายังพอมีความสามารถหรือทำอะไรได้บ้าง เวลาที่เขาล้มเราก็ยังอยู่ได้ แต่ยังไงจ๋าก็ยังมองเป็นสมัยเก่าว่ายังไงผู้ชายก็ต้องเป็นผู้นำผู้หญิงอยู่ดีค่ะ

หลังจากที่ได้พูดคุยกับสาวจ๋าไปมากพอสมควร ทำให้เรารู้เลยว่า นอกจากเธอจะหน้าตาดีแล้ว ความคิดความอ่านของเธอก็ไม่ธรรมดาซะด้วย เอ้า ! หนุ่มหลุยส์ไม่ควรปล่อยให้หลุดมือนะจ๊ะ.



เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์