ต้อม รชนีกร คิดสั้นฆ่าตัวตายเพราะโรคซึมเศร้า

“ต้อม รชนีกร” ผิดหวังซ้ำซากจนคิดสั้น !                 
ชีวิตตกเหวเป็นโรคซึมเศร้าจนคิดฆ่าตัวตาย    

หลังจากที่มีกระแสข่าวมาว่าดารานักแสดงสาวชื่อดัง “ต้อม- รชนีกร พันธุ์มณี” ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจนถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย งานนี้รายการ “ปากโป้ง” วันนี้ (9ส.ค.59) เวลา 11.15น. ทางช่อง 8             กดเลข 27 ที่มี “หนุ่ม – กรรชัย กำเนิดพลอย” และ “หนิง ปณิตา  ธรรมวัฒนะ” ทำหน้าที่พิธีกร เลยได้คว้าตัวสาว “ต้อม” มานั่งพูดคุยกัน ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรไปฟังจากปากเจ้าตัวกันเลย

ล่าสุดมีข่าวมาว่าคุณต้อมเป็นโรคซึมเศร้าจะคิดฆ่าตัวตายมันเกิดอะไรขึ้นลองเล่าย้อนไปให้ฟังหน่อย?
“เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานมากแล้วค่ะ 10 กว่าปีแล้วก่อนจะมีลูก ไม่ใช่ในช่วงนี้ค่ะ คือเรื่องมันนานมาก ตอนนี้น่าจะมีปัญหาเรื่องความรัก และตัวเราเองก็ยังเด็กด้วย ย้อนไปก็น่าจะ16-17ปีที่แล้ว เรายังเป็นวัยรุ่นด้วย และความรักเราก็ไม่ประสบความสำเร็จ เคยคุยกับคุณหมอเขาก็บอกว่าเป็นช่วงที่ฮอร์โมนเราไม่ปกติ เวลาเราร้องไห้ฮอร์โมนตัวนึงก็จะผลิตขึ้นมา เวลาเราแฮปปี้ฮอร์โมนตัวนึงก็จะผลิตขึ้นมา เพราะฉะนั้นในร่างกายของต้อมค่อนข้างจะสับสน”

ขอโทษนะครับถ้าจะย้อนกลับไปในอดีตเป็นแฟนคนแรกหรือเปล่า ตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น?
“ก็ในหลาย ๆ อย่างทัศนคติไม่ตรง ณ ตอนนั้นกับครอบครัวเราก็ไม่สามารถจะคุยได้ เขาจะยังโบราณอยู่ว่าไม่ได้นะเราต้องอดทน ๆ จน ณ วันนึงเรามีความรู้สึกว่าเราอดทนไม่ไหวแล้ว และกับคนรอบข้างเราก็ไม่สามารถเล่าอะไรให้ฟังได้ ณ ตอนนั้นมันมีความสุขว่าเราอยู่ไม่ได้แล้ว มันบอกไม่ถูกจริง ๆ ที่เป็นโรคนี้” 

อาการเป็นอย่างไรที่คุณบอกว่าคุณคิดฆ่าตัวตาย?
“ต้อมคิดว่าต้อมผิดปกติตอนที่รู้ว่าเขาจะกลับมากรุงเทพเนี่ย ร่างกายมันไม่สามารถที่จะบังคับตัวเองได้ ตอนนั้นเขาอยู่ต่างจังหวัด ต้อมอยู่กรุงเทพ แล้วเขาจะมากรุงเทพทุกวันศุกร์ พอเขาจะมาร่างกายมันสั่น มันไม่สามารถบอกได้ว่า ณ ตอนนั้นเราคิดอะไรอยู่ และก็ไม่สามารถบอกได้ว่า ณ ตอนนั้นเราเป็นอะไร แต่เรารู้แต่ว่าร่างกายเราสั่น เราสงบสติอารมณ์ไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะไปนั่งนิ่ง ๆ เรียกสติกลับมา ก็แบบทำไม่ได้ พอเขารมาถึงมันสงบสติอารมณ์ไม่ได้ มันกลัว มันสั่น งานนี่ทำไม่ได้เลย เวลาถ่ายละครอยู่พอรู้ว่าเขาจะมาเนี่ย วันนั้นไม่ได้เป็นอันทำงานละ  คือเขาไม่เคยทำร้ายร่างกาย บุคคลที่สามก็จับไม่ได้ด้วยซ้ำ ตอนนั้นแต่งงานแล้ว ตอนนั้นร่างกายต่อต้าน ไม่อยากเจอไม่อยาก ตอนนั้นมันพยายามมาก เราแต่งงานครั้งแรกเราอยากให้ชีวิตคู่ราบรื่น ซึ่งตอนนั้นเราเลยรู้ตัวเองว่าเราผิดปกติแน่นอนละ จากนั้นมันก็ลามไปถึงตอนจะนอน นอนไม่ได้สี่วันเต็ม ๆ อยากทานอาหารให้คุณมื่ทำอาหารที่ชอบที่สุดก็ทานไม่ได้ ออกหมด จนมีความรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติ แล้วก็ผอมลงจนน้ำหนักเหลือประมาณ35 พอเรารู้สึกว่าไม่ปกติละก็ไปหาหมอดีกว่า แต่ใจคิดเลยว่าตัวเองควรจะต้องไปหาหมอจิต ตอนแรกต้อมไปรักษา และก็บอกกับเขาไปว่า เค้าก็ต้องไปรักษากับต้อม มันไม่ใช่แค่เราคนเดียว จากที่เราไปปรึกษาคุณหมอเสร็จ คุณหมอก็ให้คำปรึกษามาเลยว่ามันไม่ใช่เราคนเดียว มันจะต้องเป็นสองคน อันนั้นล่ะเรื่องยากที่สุดเพราะว่าเราเชื่อแต่คนของเราไม่เชื่อ คนของเราไม่คิดจะประสานมันต่อ เลยค่อนข้างที่จะห่างและก็จบกันไป เหมือนเราพยายามปรับคนเดียวและอีกคนไม่ปรับก็เลยต้องห่างกันไป”

โรคซึมเศร้าอาการเป็นอย่างไร?
“คือจริง ๆ ทำงานก็คุยกับคนปกตินะคะ แต่พอกลับมาบ้านก็อยากตายอย่างเดียว มันเหมือนคนลอยอยู่ในโลกอีกโลกนึง มันไม่อยากอยู่แล้ว”

เห็นว่าเคยหยิบปืนจะคิดสั้น?
“ก็หยิบปืนจ่อหลายรอบอยู่เหมือนกัน จำได้ว่าปืนจะมีให้เลือกหลายขนาดมากเพราะว่าต้อมเป็นคนยิงปืน จะมีปืนเยอะมาก จับหลายรอบมากว่าอยากไปนะ แต่พอนึกถึงหน้าแม่ หน้าพี่ชาย ว่าถ้าเราไปคนหนึ่ง แล้วเขาจะอยู่กันยังไง แต่ณตรงนั้นมันเหมือนมีอะไรบางอย่างมาบอกว่าอย่าไป คือหลายรอบมากที่จะยิงและ เนี่ยถึงบอกว่าปรึกษาหมอดีกว่า ปรึกษาจนต้องอยู่ถึงขั้นบำบัดอยู่ประมาณเดือนหนึ่งที่ต้องแอดมิด หลังจากนั้นก็ต้องปรึกษาคุณหมออาทิตย์ละสองครั้ง ครั้งละสองชั่วโมง ทำอยู่ร่วมปี”

ขออนุญาตนะครับสามีคนต่อมาก็มีปัญหาอีก?
“คนนี้รักมากเกินไป คบกันสามปีครึ่งก่อนแต่งงาน แล้วก็ไปอยู่ที่นู่น คือชีวิตที่นู่นมันไม่สามารถจะออกไปไหนได้เลย อีกอย่างเราทำงานแบบนี้เรามีเพื่อน เราชอบพบปะผู้คน แต่พอแอยู่ ณ ตรงนั้นเพื่อนก็ไม่ให้มี โทรศัพท์ก็ไม่ได้ คือบางทีเราไปไหนก็ไปไม่ได้ เขาก็ไม่ให้ไป ต้อมไปอยู่ที่นู่นร่วม 5 ปี ก็ไม่ค่อยได้ไปไหนเลย ถ้าไปก็ต้องไปกับเขา ลูกก็เป็น ที่เราต้องหนีกลับเมืองไทยนี่ก็คือแบบ เราทนได้นะ แต่ลูกถ้าวันนึงเขาโตขึ้นมาแล้วเป็นเด็กไม่มีสังคมล่ะ มันจะเป็นอย่างไร ต้อมมีลูกกับสามีคนนี้หนึ่งคน เป็นผู้หญิง คลอดที่นู่น เขาก็ไม่ให้ออกไปไหน ตอนนั้กน็วางแผนหนี กว่าจะวางแผนหนีผู้หญิงอะนะก็ต้องทนจนถึงที่สุดก่อน แต่ ณ ตอนนั้นคือมันคุยกันไม่ได้ละ เริ่มจากคุยกีกีก็กลายเป็นทะเลาะ เราจะกลับมาอยู่เลยก็เป็นไปไม่ได้ละ เขาไม่ให้กลับ เขาก็พูดบ้างว่าจะไปทำไม อยู่นีก็สุขสบายดี”

เขาไม่ให้กลับคุณวางแผนอย่างไร?
“ก็เริ่มจากที่เขาไม่ยอมให้ออกไปไหนเลย ก็เริ่มปรึกษาเขาว่าขอออกไปเรียนที่บ้านได้ไหม ข้างบ้านก็ได้ ไม่ได้ไปไหนไกลแค่อยากมีเพื่อน ไม่อยากอยู่บ้านเหงา ๆ พอบอกเขาเขาก็เริ่มให้ไปเรียน เราก็โอเคเริ่มมีสังคมละ คือตอนเช้าเขาไปส่ง พอ11โมงเขาก็ไปรอแล้วหน้าห้อง ซึ่งเราก็ไม่มีเพื่อน จะมีเพื่อนมาทำรายการที่บ้านหรืออะไรก็ไม่ได้ เวลาที่เราโทรไปหาพี่สาวที่อเมริกาด้วยกันก็ต้องมานั่งเช็คแล้ว ว่าคุยกับใคร อะไรก็ไม่ได้สักอย่าง สุดท้ายก็วางแผนเอาลูกกลับมาเมืองไทย”

คุณวางแผนอย่างไร?
“จากตอนแรกปรึกษาอาจารญืก่อน อาจาร์ยที่เราไปเรียนด้วยอะนะ เขาก็จะเริ่มหามาให้ว่าเราผู้หญิงเอเชียถ้ามาแต่งงานกับอเมริกันและถ้ามีปัญหาจะต้องแจ้งอะไรยังไงบ้าง พอเราเช็คดูมันเป็นไปไม่ได้เลย ตามที่เขาพูดมาเนี่ยมันต้องถูกแยกลูกแยกพ่อแยกแม่ ว่าพ่อแม่ผิดปกติไหม มีอะไรทำไมถึงอยู่กันไม่ได้ แล้วค่อยมีมูลนิธิอะไรมาช่วย แล้วเราก็มาคิดว่าถ้าเป็นงั้นลูกเราจะไปอยู่กับใครละ ซึ่งเรามองไม่เห็นเลยว่า ลูกจะอยู่กับเราได้ เพราะเราไม่ได้ทำงานที่นู่น ก็เลยตัดสินใจว่าเอาลูกหนีดีกว่า”

คุณหนีอย่างไร?
“ก็ค่อย ๆ เก็บของที่สำคัญของลูก ก็แพ็คใส่กล่อง ตอนนั่นลูกจะสองขวบ เราก็แพ็คของทุกวันแอบเอาไว้ห้องใต้ดินข้างล่าง พอทุกคนออกจากบ้านหมด ก็ขโมยรถออก เราก็ใช้ปากกาเมจิกติ๊กทุกอย่าง จอดรถตรงไหนก็ต้องจำไว้ แล้วก็เอาของไปหย่อยไปไว้ที่ไปรษณีย์ทุกวัน แต่ส่งของทางเรือเพราะว่ามันจะถูก และมันก็ใช้เวลาประมาณ 3-4เดือน ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาที่เราน่าจะกลับเมืองไทยพอดี ก็ทำแบบนั้นทุกวันจนกระทั่งวันที่หนี ก็มีกระเป๋าใบเดียวมีแต่นม มีแต่เสื้อผ้าของลูก อุปกรณ์พรอ้มหนี เอานมลูกแค้พอกิน ตอนนี้เราหนีกลับมาดร็อปที่แอลเอก่อน คือให้แน่ใจว่าเราจะไม่ถูกแจ้งความในระหว่างที่เดนทาง 17 ชั่วโมง เรามาแล้ว แล้วก็โทรไปบอกเขาว่าอยู่แอลเอนะ เขาก็ตกใจ เราก็บอกว่าเราเครียดมากเราแค่มาพักผ่อนนะแล้วเราก็จะกลับ จริง ๆ อยู่ได้สามวันแล้วก็บินกลับเมืองไทยเลย คือมันเครียดมากนะทิ้งกันไปทั้งที่ยังรักมันเครียดมาก เราก็รักเขาแต่เรารักลูกมากกว่า”

คุณกลับมาเขาตามไหม?
“ก็ติดต่อกันอยู่ประมาณ 6 เดือน เราก็ร้องไห้กันทุกวัน เขาบอกเขามาทำอะไรที่เมืองไทยไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมาทำอะไรที่เมืองไทย คือถ้าอยู่อเมริกาเขาทำได้ ซึ่งเราก็บอกเหมือนกันว่าถ้าไม่มาเมืองไทยเราก็ไม่กลับไปแล้วเหมือนกัน เพราอยู่ไปนาน ๆ เราอาจจะต้องไปนั่งคุยกับกำแพง คุยกับโต๊ะ กับตู้ก็ได้เพราะมันเหงามาก” 

ตอนนี้พี่ต้อมก็มีความรักครั้งที่สามแล้ว?
“ใช่ค่ะ ตอนนีก็แฮปปี้ดี ซึ่งแฟนคนที่อยู่อเมริกาเขาก็รู้นะว่าตอนนี้ต้อมมีแฟนใหม่มีลูกที่น่ารักอีกหนึ่งคน  แต่เขาก็บอกเขาก็ไม่ยอมแต่งงานใหม่ ยังรอ เขาก็บอกกับคนนี้ถ้าไม่สมกวังให้ไปอยู่กับเขาก็ได้นะ เขาก็บอกว่าถ้าไปเขาก็ไม่เป็นแบบนี้อีกแล้ว ทุกวันนี้ลูกสาวคนโตอายุ 13 ตอนนี้เริ่มเป็นวัยรุ่นตอนต้น ติดเพื่อน มีโลกส่วนตัวสูง  คนโตก็วัยรุ่น ส่วนลูกคนเล็กก็วุ่นวายกับทุกเรื่อง แบบอยากรู้อยากเห็น ช่างถาม ซอกแซก ถามทุกเรื่อง คุณแม่ก็ค่อนข้างจะปวดหัวสมองนิดหน่อยที่จะต้องแยกโสตประสาท เพราะอีกคนก็เงียบเราต้องให้คำปรึกษาแบบผู้ใหญ่ให้กับเขา ส่วนอีกคนก็ปรี๊ดเราต้องหาทางทำให้เขาหายปรี๊ด”

วางแผนอนาคตลูกอย่างไร? 
“จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้วางแผนหรือไม่ได้มองอะไรเยอะ เพียงแต่ว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุด เลี้ยงลูกให้เป็นเด็กที่สามารถที่จะไปต่อสู้กับโลกปัจจุบัน เวลาที่เขาจะต้องออกไปเผชิญโลกกว้างด้วยตัวเขาเอง ก็แค่นี้ นอกนั้นก็ไม่ได้บังคับว่าลูกจะต้องเรียนได้ที่หนึ่งนะ หรือว่าจะต้องเรียนพิเศษทุกวันนะ เราไม่ได้กะเกณฑ์อะไรมากมายเขา เพราะเราก็อยากให้เขาเป็นที่รักของทุกคนเป็นเด็กที่ดูแลตัวเองได้” 


ต้อม รชนีกร คิดสั้นฆ่าตัวตายเพราะโรคซึมเศร้า


ต้อม รชนีกร คิดสั้นฆ่าตัวตายเพราะโรคซึมเศร้า


ต้อม รชนีกร คิดสั้นฆ่าตัวตายเพราะโรคซึมเศร้า


ต้อม รชนีกร คิดสั้นฆ่าตัวตายเพราะโรคซึมเศร้า


ต้อม รชนีกร คิดสั้นฆ่าตัวตายเพราะโรคซึมเศร้า

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์