‘อาหลอง’เล็ง! ดันเมีย เข้าวงการ - ยันบ้านผู้หญิงรวยจริง

 เมื่อถามเรื่องโอกาสที่จะปรับความเข้าใจกับลูกๆ ฉลองกล่าวว่า ก็อยู่ที่ลูกๆ พ่อเป็นเสาหลักอยู่แล้ว อยู่ที่เขาจะปฏิบัติกับพ่ออย่างไร แต่ตนคงไม่เรียกคุยอย่างเป็นทางการ เพราะเป็นพ่อลูกกันมันไม่ต้องเป็นทางการขนาดนั้น แต่ถ้าเขายังต้องการเป็นเหมือนเดิมกับพ่อ ก็ต้องมีการมาพูดกัน ทุกวันนี้ตนก็ยังดูแลรับผิดชอบพวกเขาอยู่ แก้วกับกู๊ดเคยเจอคุณเล็กแล้ว เขาก็ปกติไม่ได้มีอะไรกัน ส่วนกัญจน์ยังไม่เคยเจอ

 ส่วนเรื่องที่มีข่าวว่า กัญจน์ ภักดีวิจิตร จะแยกตัวออกไปทำงานเองนั้น ผู้กำกับฯอาวุโสบอกว่า คือกัญจน์เป็นผู้จัดครั้งแรกก็เรื่อง สงครามเพลง ซึ่งเรื่องนี้ตนทำมาตั้งแต่ตอนที่ ผึ้ง-พุ่มพวง ยังมีชีวิตอยู่ ตอนนั้นทำเป็นหนัง ตอนนี้กัญจน์เขาก็มารับผิดชอบเป็นผู้จัดฯ ตนก็เซ็นรับรองการเป็นผู้จัดฯให้เขา ตนต้องดูแลรับผิดชอบเขาด้วย เขาจะไปทำโดยไม่เคยทำมาก่อนเลยมันก็ลำบาก แต่ถ้าเขาอยากจะแยกออกไปทำเอง อันนั้นก็เป็นความรู้สึกของเขา ตนไม่ทราบ ถ้าเขาแข็งแรงพอที่จะทำได้ก็เป็นเรื่องดีของเขา ในฐานะพ่อตนก็เป็นห่วง ชีวิตพ่อก็ยินดีกับลูกๆ ไม่ได้น้อยใจ ก็สนับสนุนเขาเต็มที่

 ผู้สื่อข่าวถามว่าที่ กัญจน์ ต้องการแยกตัวออกไปเป็นเพราะมีปัญหามาจากเรื่องการแต่งงานครั้งนี้หรือเปล่า ผู้กำกับฯชื่อดัง ให้ความคิดเห็นว่า ตนว่าไม่เกี่ยวกัน ถ้าเขาอยากเป็นผู้จัดรับผิดชอบเองทั้งหมด ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ชีวิตพ่อทิ้งลูกไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าเขาต้องการคำแนะนำปรึกษาตนก็ยินดีเสมอ อย่างกู๊ด (เฉิด ภักดีวิจิตร) เขาเคยมีผลงานเป็นผู้จัดฯละครจากช่อง7 มาก่อนแล้ว ตนก็เบาใจ ส่วนกัญจน์ ไม่เคยมี สงครามเพลง เป็นเรื่องแรก ตนก็เป็นห่วงเขา

 กับข่าวที่มีออกมาว่าภรรยาแต่งงานเพื่อหวังสมบัติ คุณเล็กเครียดกับเรื่องนี้ไหม อาหลอง เผยว่า เขาไม่ได้เครียดเลย ที่บ้านเขามีฐานะ อย่างที่ข่าวออกไป เพราะความจริงก็คือความจริง

 ต่อข้อถามที่ว่าการที่ น.ส.ระวิสะรา อินทรีย์ พี่สาวภรรยาออกมาให้สัมภาษณ์ว่าที่บ้านมีฐานะมีชาติตระกูล เพื่อเป็นการเลี่ยงคำครหาหรือเปล่า ผู้กำกับฯ รุ่นเก๋า เผยว่า ไม่ใช่อย่างนั้น ที่บ้านเขามีฐานะจริงๆ ตนยืนยันได้ 

 เวลา 16.00 น. วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้าน ต.เมืองใต้ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นบ้านของนายวินัย และ นางสำราญ อินทรีย์ พ่อและแม่ของ น.ส.พิมพ์สุภัค ซึ่งใช้สถานที่ในการแต่งงาน ปรากฏว่าบรรยากาศค่อนข้างเงียบเหงา ภายในบ้านที่เคยมีรถหลายคันจอดอยู่ ก็ไม่ค่อยเห็นมีรถมากเหมือนเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถเบนซ์สีดำ ซึ่งเป็นรถที่ใช้ในครอบครัวนี้ ไม่ได้จอดอยู่ภายในบ้าน ประตูหน้าบ้านปิดสนิท ไม่ยอมให้บุคคลภายนอกเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ขณะที่บริเวณตรงข้ามหน้าบ้านของพ่อตา แม่ยายของฉลอง ภักดีวิจิตรมีชาวบ้านพากันจับกลุ่มนั่งคุยกันอยู่

 นางใจ จันทำ อายุ 53 ปี และนางรัญจวน จันทำ อายุ 46 ปี ทั้งสองคนเป็นหลานสะใภ้ของนายวินัย และนางสำราญ อินทรีย์ พ่อตา แม่ยายของผกก.คนดัง กล่าวว่า ฉลอง  ภักดีวิจิตร และ น.ส.พิมพ์สุภัค รวมทั้งญาติพี่น้อง จำนวน 4 คน เดินทางออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อเดินทางไปที่ จ.อุบลราชธานี ไปดูโลเกชั่นสถานที่สำหรับถ่ายละครเรื่อง ทอง  ภาค 10 ที่แก่งสะพือ และผาแต้ม ซึ่งทั้งนายฉลอง และ น.ส.พิมพ์สุภัค มีกำหนดที่จะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในวันที่ 4 ม.ค.58 เพื่อจะไปปฏิบัติภารกิจถ่ายทำละครต่อไป

 นางใจ และนางรัญจร กล่าวต่อว่า คุณพ่อ คุณแม่ของเจ้าสาว รวมทั้งครอบครัวตระกูลอินทรีย์ทุกคน เป็นคนที่ชอบทำบุญมาก ทุกคนมีนิสัยใจคอที่เป็นคนใจบุญสุนทาน โดยช่วงเช้าตรู่ของทุกวัน นายวินัยและนางสำราญจะพากันทำบุญตักบาตรที่หน้าบ้านเป็นประจำทุกเช้า และหากใครมีความเดือดร้อน ครอบครัวนี้ก็จะให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่มาโดยตลอด ซึ่งในวันที่ประกอบพิธีมงคลสมรสนั้น ตนช่วยทำครัวอยู่ในครัว และได้ยินพิธีกรประกาศอย่างชัดเจนว่า ค่าสินสอดในพิธีแต่งงานครั้งนี้ เป็นทองคำแท่ง หนัก 10 บาท ทองรูปพรรณ  อีกประมาณ 10 บาท แหวนเพชรน้ำงามเม็ดใหญ่อีก 1 วง เงินสด 2 ล้านบาท ซึ่งเงินสด จำนวน 2 ล้านบาทนี้ น.ส.พิมพ์สุภัค แจ้งว่า คุณพ่อ คุณแม่  ไม่ขอรับเงินค่าสินสอด  โดยมอบให้ น.ส.พิมพ์สุภัค และนายฉลอง เก็บไปไว้ใช้เป็นทุนในการประกอบอาชีพต่อไป ซึ่งโดยสรุปแล้วก็คือ สินสอดทั้งหมดคุณพ่อ คุณแม่ของ น.ส.พิมพ์สุภัค ได้คืนให้กับนายฉลอง และ น.ส.พิมพ์สุภัค ไปเป็นทุนในการประกอบอาชีพต่อไป

 การที่มีผู้เข้าไปคอมเม้นต์ในสื่อออนไลน์ รวมทั้งการกล่าวหาว่า น.ส.พิมพ์สุภัค แต่งงานกับนายฉลอง ที่อายุมากกว่ากันถึง 45 ปี เพื่อหวังผลประโยชน์บางอย่าง ตนขอยืนยันว่า  เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง เนื่องจากว่าครอบครัวอินทรีย์ เป็นครอบครัวที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เป็นหลานทวดของเจ้าเมืองศรีสะเกษ และมีเงินทองมากมายเหลือเฟือ เพราะ น.ส.วะริสะรา ไปประกอบอาชีพเป็นนักลงทุนเล่นหุ้นอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และประสบผลสำเร็จ ทำให้มีเงินทองมาสร้างบ้าน รวมทั้งตกแต่งบ้านด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่เลิศหรูราคาแพง มูลค่ากว่า 70  ล้านบาท จึงเป็นไปไม่ได้ที่ น.ส.พิมพ์สุภัค จะต้องการเงินทองจากนายฉลอง เพราะแม้แต่ค่าสินสอดทองหมั้น พ่อแม่ของ น.ส.พิมพ์สุภัค ยังส่งคืนให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวทั้งหมด