บิลลี่ โอแกน เปิดใจ เห็นใจผมบ้าง ขอร้องอย่าซ้ำเติม

เมื่อวันที่ 23 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 ต.ค. ที่ผ่านมา ตามประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม คดีหมายเลขแดงที่ ล. 3891/2556 ศาลล้มละลายกลาง ได้มีคำพิพากษาให้ นายวิลเลี่ยม หรือบิลฑ์ลี่ฎ์ มิตตกริน โอแกน หรือนายบิลลี่ โอแกน ลูกหนี้ไม่ปรากฏอาชีพ เป็นบุคคลล้มละลายแล้ว โดยให้มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 7 ก.ค. โดยสั่งพิทักษ์ทรัพย์นักร้องหนุ่ม และให้โฆษณาคำสั่งลงในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้เจ้าหนี้ และบุคคลอื่น ๆ ทราบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

บิลลี่ เปิดเผยว่า "ตอนนี้กำลังจน ไม่ค่อยมีงาน กับเรื่องล้มละลายผมขอยอมรับการล้มละลายเพียงคนเดียว ไม่ขอพูดรายละเอียด เพราะไม่อยากพาดพิงคนอื่นที่เคยทำธุรกิจด้วยกัน ตอนนี้ไม่มีตังค์ ธรรมชาติของเราก็เป็นแบบนี้ ล้มแล้วก็กลับมาใหม่ได้ วันหน้าฟ้าเปิดก็ลืมหน้าอ้าปากได้ ถามว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่นั้นก็มีงานเขียนเพลงอยู่ อยากทำอัลบั้มของตัวเอง เพราะเรามีอาชีพเป็นนักร้องนักดนตรี คงไปทำอย่างอื่นไม่ได้ ช่วงหลังออกเทปมาก็แย่มาก ศิลปินไทยก็เป็นแบบนี้ ไม่มีหลักประกัน ไม่เหมือนการทำงานบริษัท ที่ผ่านมาก็ใช้ชีวิตแบบสมถะ 

สิ่งที่เกิดขึ้นผมก็คิดว่าเหมือนป๋าเทพ โพธิ์งาม ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไร เพียงแต่เราต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น โดยไม่ให้กระทบกระเทือนใครทั้งนั้น คนล้มละลายมีเป็นล้าน ไม่ใช่คนเดียวหรือสองคน ยังไงก็เห็นใจผมบ้าง ขอร้องอย่าซ้ำเติมกัน ทั้งนี้ผมอยากทำรายการทีวี ช่องไหนก็ได้ จริง ๆ ก่อนหน้านี้ก็เคยมีคนในวงการมาชวนไปทำรายการในช่องทางดิจิตอล แต่ก็เงียบไป สงสัยเขาคงติดภารกิจ ฝากบอกด้วยว่าผมยังรออยู่ ส่วนทางภรรยาก็ให้กำลังใจ และเข้าใจมาโดยตลอด"

ส่วนตัวตนคิดว่าการเป็นบุคคลล้มละลายนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ เนื่องจากคำสั่งศาลมีผลกับตัวบิลลี่เพียงคนเดียว หากศาลสั่งมาก็ปฏิบัติตามไป แต่ในส่วนของการดำเนินกิจการก็ยังคงให้ทางญาติดำเนินการต่อไปได้

"ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย เพิ่งจะทราบข่าวไม่กี่ชั่วโมงทางอินเตอร์เน็ต ยอมรับว่ารู้สึกตกใจเหมือนกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ ผมเจอกับบิลลี่ในงานแต่งงาน เจ้าตัวก็ไม่มีอาการของคนที่ดูทุกข์ใจเลย พูดคุยเรื่อยเปื่อยกันตามปกติ ไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องเงินแม้แต่น้อย ถามว่าผมเชื่อข่าวนี้หรือไม่ คือมันก็มีความเป็นไปได้ เนื่องจากคนที่ทำธุรกิจอะไรก็แล้วแต่หากระบบมันไม่โอเคก็มีอาจเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ขึนได้ แต่อยู่ที่ว่านักธุรกิจคนนั้นจะมีแผนสำรองหรือไม่เท่านั้น".