ครอบครัวอบอุ่น ชีวิตสุขใจ ในแบบ ผู้พันเบิร์ด

ครอบครัวอบอุ่น ชีวิตสุขใจ ในแบบ "ผู้พันเบิร์ด"

ใครที่เคยติดตามภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช" ทั้ง 4 ภาค คงจะทราบดีว่า นอกจากจะได้สุดยอดผู้กำกับ หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล แล้ว ยังมีทีมงานนักแสดงมากความสามารถอีกหลายท่านเช่นกัน และหนึ่งในนักแสดงที่ทำเอาสาวน้อยสาวใหญ่ทั่วทั้งประเทศถึงกับปลื้มในความหล่อและฝีมือการแสดง นั่นก็คือ ผู้พันเบิร์ด หรือ พ.ท.วันชนะ สวัสดี ผู้รับบทนำเป็นสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 

ล่าสุด ทราบมาว่า " ผู้พันเบิร์ด" นอกจากจะเป็นนักแสดงฝีมือเยี่ยม และมีอาชีพการงานที่มั่นคงแล้ว ยังเป็นคุณพ่อมือใหม่อีกด้วย ฉบับนี้ เราเลยรีบคว้าตัวมานั่งพูดคุยกันถึงบทบาทคุณพ่อแบบเต็มตัวที่หลายคนอยากจะรู้ ว่าเอ๊ะ! ผู้ชายหล่อเข้มท่านนี้ มีวิธีเลี้ยงลูกอย่างไร และในอนาคตอยากให้เป็นทหารเหมือนคุณพ่อรึเปล่า แถมยังพ่วงประเด็นที่น่าสนใจมากมาย จะรอช้าอยู่ทำไม! รีบไปติดตามกันเลยดีกว่า




ก่อนจะมาเป็นนักแสดง

ตอนแรกผมจบจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เมื่อปี พ.ศ. 2541 ซึ่งพอจบมาก็รับราชการอยู่ในตำแหน่งผู้บังคับหมวดทหารม้า หลังจากนั้น 2 ปี ก็ขึ้นเป็นผู้บังคับกองร้อยทหารม้าลาดตระเวน กองพันทหารม้าที่ 19 จ.กาญจนบุรี กระทั่งตำแหน่งก่อนที่จะขยับมาแสดงภาพยนตร์ ผมเป็นนายทหารยุทธการและการฝึกของกองพันทหารม้าที่ 19 จ.กาญจนบุรี ซึ่งก็เป็นที่เดียวกันกับค่ายสุรสีห์ ซึ่งเป็นกองถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งในขณะที่ผมเป็นนายทหารยุทธการก็ถูกส่งมาถ่ายภาพแคสติ้งที่บริษัทท่านมุ้ย แล้วก็ทำงานคู่กันไป ระหว่างเป็นนายทหารยุทธการด้วย และก็มาแสดงภาพยนตร์ด้วย 

ท่านมุ้ยเลือก "ผู้พันเบิร์ด" เพราะ?

จริงแล้วๆผมไม่เคยถามท่านเลยนะ ซึ่งเป็นคำถามผมก็อยากรู้เหมือนกัน (หัวเราะ) แต่จากความเข้าใจของผมนะ ท่านเลือกผมเพราะว่า ผมเป็นทหารจริงๆ และมีความเข้าใจในบริบทของเมืองไทยโดยเฉพาะเรื่องของประวัติศาสตร์ในสมัยย้อนไปเมื่อ 400 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนี่จึงอาจจะเป็นข้อมูลในการตัดสินใจอย่างหนึ่งของท่านด้วย และอีกประเด็นสำคัญ คือ ผมเชื่อว่าใน 2 ปี ที่ท่านให้ผมไปอยู่ด้วยกัน มันเป็นการสังเกตตลอดเวลาว่า วิถีชีวิตผมเป็นยังไง กินเที่ยวยังไง มีงานอดิเรกทำอะไร ท่านรู้หมดเลย เราก็ได้พูดคุยกันทุกวัน จนกระทั่งคุ้นชินกันไปเรื่อยๆ 

เรียนการแสดงมาไหม

ท่านไม่เคยสอนการแสดงในลักษณะของการเรียนเลยครับ เพียงแต่ท่านจะเล่าบริบทแวดล้อมของอยุธยาให้ฟัง ในขณะที่ถ่ายทำคนอื่นๆไปด้วย ท่านจะเล่าให้ฟังว่าอยุธยาเป็นแบบไหน เพื่อให้เราได้เรียนรู้สภาพแวดล้อมของอยุธยาในสมัยนั้น นอกจากนี้ ท่านก็จะมีเรื่องอื่นๆเล่าเสริม ทั้งเทคนิค ฉาก และนักแสดง ท่านเป็นคนที่เปิดกว้างในการสอน วิธีการสอนของท่านไม่ได้จับมานั่งเรียน แต่ให้เรียนรู้ไปพร้อมการทำงานที่ท่านกำลังทำอยู่ เช่น ท่านจะให้ไปนั่งอยู่ข้างกล้อง เหมือนเป็นการสอนให้เราคุ้นชินกับบรรยากาศของกองถ่ายไม่ว่าฉากเล็ก ฉากใหญ่ และเรียนรู้เทคนิคการถ่ายทำ 

วันนั้นถึงวันนี้กับบทบาทที่ได้รับ

ความรู้สึกไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ มีความเข้มข้นเท่าเดิม อาจจะเป็นเพราะว่าจริงๆแล้ว การถ่ายทำภาคนี้ เราได้ถ่ายทำบางฉากไว้ตั้งแต่ภาคแรกแล้ว โดยถ่ายสลับไปสลับมาตลอดครับ เพราะฉะนั้น ความรู้สึกหรือความเปลี่ยนแปลงของการรับบทไม่เปลี่ยนแปลงเลย แต่ภาคนี้จะเป็นไฮไลท์เรื่องของยุทธหัตถี และเป็นจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์ ทุกอย่างที่เราถ่ายไว้ตั้งแต่ภาค 1 จะมาจบภาคนี้ 

นักแสดง & ทหาร 

บทบาทไม่แตกต่างกันเลยครับ ผมอยากบอกว่าจริงๆแล้วอาชีพทุกอาชีพต้องอาศัยหลักพื้นฐานที่เป็นสามัญชนทั่วไป เช่น รู้จักหน้าที่ ตรงต่อเวลา มีความรับผิดชอบ มีสัมมาคารวะ อันนี้คือหลักทั่วไปที่ควรจะมี นักแสดงก็เช่นกัน ต้องตรงต่อเวลา ต้องให้ความสำคัญกับหน้าที่ที่ได้รับให้มากที่สุด และที่สำคัญต้องมีสัมมาคารวะเพราเราอยู่ในสังคม ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยนั้น ขึ้นอยู่กับศาสตร์แต่ละอย่าง ซึ่งผมคิดว่าทุกคนสามารถทำได้ในพื้นฐานง่ายๆ แต่ขนาดที่ขึ้นเป็นถึงซุปเปอร์สตาร์ได้ แสดงว่าต้องที่สุดจริงๆต้องมีความละเอียด และขยันกับมันจริงๆ แต่ผมคิดว่าทุกวันนี้ ผมเหมาะกับการเป็นทหารมากกว่าครับ


ครอบครัวอบอุ่น ชีวิตสุขใจ ในแบบ ผู้พันเบิร์ด


สุขภาพดีเพราะออกกำลังกาย

ผมให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพมากครับ ไม่ว่างานจะเยอะแค่ไหน สิ่งหนึ่งที่จะต้องทำ คือ การออกกำลังกาย ต่อมาก็จะเป็นเรื่องการรับประทานอาหาร ซึ่งผมจะพยายามควบคุมอาหารในแต่ละวัน โดยจะรับประทานให้ครบทั้ง 5 หมู่ และถ้าอยากหุ่นดีอีก การพักผ่อนก็เป็นสิ่งสำคัญ เพียงแต่ช่วงนี้อาจจะทำยากสักหน่อย เพราะว่าผมมีลูกอ่อน ก็ต้องตื่นมาอุ้มลูกบ้าง แต่ก็พยายามให้ความสำคัญกับการพักผ่อนด้วย แต่การพักผ่อนไมได้หมายถึงเรื่องของการนอนหลับเพียงอย่างเดียวนะครับ แต่รวมไปถึงสภาพจิตใจด้วย เพราะฉะนั้นจะต้องสมดุลกันระหว่าง อาหาร การออกกำลังกาย และการพักผ่อน


มีสมาชิกเพิ่มแล้วชีวิตเปลี่ยนไปมั๊ย

ผมว่าอาจจะเปลี่ยนในแง่ของความจริงจังและเข้มข้นมากขึ้น ปกติการดำเนินชีวิตของผมจะอยู่บนพื้นฐาน ความเป็นระเบียบและมีการวางแผนและระมัดระวังอยู่แล้ว แต่พอมีลูกก็ต้องระวังมากขึ้น คิดถึงอนาคตของลูกมากขึ้น และคิดถึงอนาคตของเรามากขึ้นด้วย เราอยากจะมีร่างกายแข็งแรง เพื่อที่จะไม่ให้เป็นภาระของลูกในอนาคต เพราะเมื่อ ถ้าผมอายุ 60 ไปแล้ว ยังแข็งแรงอยู่ ลูกผมก็สามารถเรียนหนังสือเต็มที่ ทำงานเต็มที่ ไม่ต้องห่วงพ่อ ซึ่งทุกวันนี้พ่อผมแข็งแรงมาก ผมก็เลยรู้สึกผมสบายใจ และผมก็เลยอยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับลูกผมด้วย

บทบาทคุณพ่อมือใหม่

ส่วนใหญ่ภรรยาจะเปิดเว็บไซต์ของคุณหมอ และปรึกษาเพื่อนๆที่มีประสบการณ์เป็นหลักครับ ผมจะเป็นตัวช่วยเสริม มีวิธีการง่ายๆคือ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราอยู่บ้าน เราต้องพยายามใช้เวลาอยู่กับลูกให้นานที่สุด ผมว่าการเลี้ยงลูกเล็กมันเหนื่อยแน่ๆ เพราะฉะนั้นถ้าผมอยู่ ก็พยายามที่จะเลี้ยงและอยู่กับเขาเพื่อให้ภรรยาของผมได้พักบ้าง แต่เว้นอย่างเดียวให้นมจากเต้าไม่ได้นะครับ (หัวเราะ)

ดูแลน้องยังไงบ้าง

ทุกวันนี้ก็เป็นไปตามขั้นตอนที่หมอแนะนำ ซึ่งก็ปกติทั่วไปไม่ได้พิเศษอะไร หมอบอกให้นำอาหารมาบด มีผัก มีเนื้อปลา มีน้ำซุป ส่วนใหญ่แล้วภรรยาผมจะเป็นคนทำ จะให้น้องกินวันละมื้อ อีกหน่อยก็พัฒนาเป็น 2 มื้อ พยายามให้เขาหลับให้ยาวขึ้น ซึ่งมันจะเกี่ยวกับเรื่องการหลั่งฮอร์โมน โดยเฉพาะโกรสฮอร์โมนในเวลากลางคืน ตอนอายุขวบหนึ่งไปแล้ว ก็พยายามฝึกเขาให้เขามีวินัยในการนอน ส่วนกลางวันก็เต็มที่ เขาอยากเล่นอะไรก็เล่น ซึ่งจริงๆแล้วเลี้ยงง่ายมาก คือ ถ้าร้องก็แปลว่า หิว หรือ ง่วงนอน แต่ส่วนใหญ่เขาก็ร้องแปปเดียว แล้วก็หยุด 

อนาคตลูกชายสุดที่รัก

ผมอยากให้ลูกเป็นนักกีฬาเทนนิสระดับโลกครับ (หัวเราะ) พอลูกชายอายุ 2 ขวบ ผมจะพาไปตรวจมวลกระดูกว่าร่างกายเขาจะสูงได้ขนาดไหน ถ้าสูงเกิน 185 ซม. แล้ว ผมจะดันต่อเลย แต่ถ้าสูง 170 ซม. ผมจะให้เขาเล่นกีฬาเพื่อออกกำลังอย่างเดียว เพราะผมเชื่อว่าการเล่นเทนนิสต้องใช้ความสูง และความใหญ่ของร่างกาย ซึ่งจริงๆแล้วมันอีกหลายปีอยู่ แต่เชื่อไหมว่าแปปเดียวเท่านั้นแหละ ถ้าเราจะปั้นเขาให้เป็นระดับโลก ซึ่งตอนนี้เขาขวบเดียวก็จริง แต่ผมคิดว่าเต็มที่สัก 3 ขวบต้องเริ่มฝึกแล้วครับ แล้วอีกอย่างนึง คือ ผมไม่ซีเรียสให้ลูกต้องเป็นทหารเหมือนผมนะครับ 

แล้วอนาคตของตัวเองล่ะ

ผมวางแผนไว้หลังจากที่ผมเกษียณอายุราชการ คือ ตอนนี้ลูกกับผมห่างกัน 40 ปี ผม 40 ลูก 1 ขวบ พอเวลาผมอายุ 55 ลูกก็ 15 ขวบ ซึ่งช่วงนี้ลูกผมจะต้องเริ่ม เทิร์นโปรได้แล้ว และเริ่มแข่ง Tournament ต่างประเทศได้แล้ว พอผมเกษียณ ผมก็จะตามลูกไปแข่งขันต่างประเทศ ความใฝ่ฝันของผมคือ การไปนั่งดูลูกชิงพรีเมอร์ดั้ม France open และ US open ซึ่งผมก็เล่าให้ภรรยาฟังนะ แล้วมันก็น่าสนใจ เพราะเราชอบเล่นเทนนิสมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะแฟนเล่นเป็นด้วย พ่อของแฟนก็เล่นเทนนิส ครอบครัวพี่น้องทางบ้านแฟนผมเล่นหมดเลย เพราะฉะนั้นน่าจะมีความสุขสำหรับชีวิตบั้นปลายของเราที่ได้ติดตามลูก 

ฝากผลงาน

ผมเชื่อว่า หลายคนอาจจะลืมภาพยนตร์เรื่องนี้ไปแล้ว แต่สำหรับผมไม่เคยลืมเลย มันจะอยู่กับผมไปจนกว่าผมจะสิ้นลมหายใจ และอยากให้เชิญชวนทุกคนมาร่วมกันประกาศชัยชนะในศึกยุทธหัตถี พร้อมกันกับคนไทยทั่วประเทศ และผมเชื่อว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะให้ข้อคิด ในสถานการณ์ปัจจุบันได้ จึงอยากเชิญมาร่วมกัน ปิดตำนานพร้อมกันทั่วประเทศครับ ติดตามกันได้วันที่ 29 พ.ค.นี้ครับ

ครอบครัวอบอุ่น ชีวิตสุขใจ ในแบบ ผู้พันเบิร์ด


ครอบครัวอบอุ่น ชีวิตสุขใจ ในแบบ ผู้พันเบิร์ด


ครอบครัวอบอุ่น ชีวิตสุขใจ ในแบบ ผู้พันเบิร์ด


ครอบครัวอบอุ่น ชีวิตสุขใจ ในแบบ ผู้พันเบิร์ด


ครอบครัวอบอุ่น ชีวิตสุขใจ ในแบบ ผู้พันเบิร์ด


ครอบครัวอบอุ่น ชีวิตสุขใจ ในแบบ ผู้พันเบิร์ด


ครอบครัวอบอุ่น ชีวิตสุขใจ ในแบบ ผู้พันเบิร์ด

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์