(ร่วม) อาลัยแด่ทูตแห่งเสียงหัวเราะ โจ้ อัครพล

(ร่วม) อาลัยแด่ทูตแห่งเสียงหัวเราะ "โจ้ อัครพล"

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 6 เมษายน 2549 16:08 น.

แม้ส่วนหนึ่งจะทำใจกันไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่เชื่อว่าการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของดีเจชื่อดัง "โจ้ อัครพล ธนะวิทวิลาศ" เมื่อคืนวันพุธ (5 เมษายน เวลาประมาณ 22.45 น.) ที่ผ่านมาด้วยโรคร้ายอย่างมะเร็งคงจะสร้างความช็อกและเสียใจให้กับใครหลายๆ คนที่ได้รับรู้ข่าวดังกล่าว

""ผมก็รู้สึกสดชื่นนะ ไม่ได้เป็นอะไร พักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ใช้ชีวิตค่อนข้างปกติ ปรับเปลี่ยนบ้างในเรื่องของอาหารการกิน ส่วนกระบวนการรักษาก็มีฉีดยาไม่ให้มันเจริญเติบโตต่อไป ไม่ให้เชื้อมันกระจายต่อไป แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะกระจายไปได้หรือเปล่านะ เราก็ต้องดูอีกทีเพราะเพิ่งฉีดไปเข็มเดียว ที่สำคัญคือต้องทำตามที่หมอสั่ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตบ้าง" เจ้าตัวให้สัมภาษณ์ไว้กับสื่อมวลชนในช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมาหลังมีข่าวลือว่าป่วยด้วยโรคร้ายก่อนจะตรวจพบก้อนเนื้อ(ร้าย)ที่ตับและลุกลามเข้าสู่ปอดโดยที่แพทย์ไม่สามารถจะหยุดยั้งไว้ได้

เป็นการให้สัมภาษณ์ที่ยอมรับต่อความเป็นจริงที่เกิดขึ้น หากแต่ไม่ท้อถอยต่อชะตากรรมของตนเองแม้จะรู้ว่าโอกาสที่ชีวิตจะยืนยาวนั้นมีน้อย

ภายนอกของดีเจคนนี้แม้จะมีรูปร่างลักษณะที่บอบบางทว่าจิตใจนั้นเข้มแข็งมากๆ และด้วยความที่เป็นคนอารมณ์ดี สุภาพ เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ ทั้งหลายทั้งปวงนี้เองที่ทำให้ตลอดระยะเวลาของการก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่การเป็นดีเจ พิธีกร นักแสดง จึงมีแต่คนรักและชื่นชมในตัวของเขาอยู่ตลอดเวลา

ที่ผ่านมาหนุ่มคนนี้แทบจะไม่เคยมีข่าวไปในทางลบเลยสักครั้งเดียว

พรสวรรค์อย่างหนึ่งของโจ้ก็คือการทำให้คนรอบๆ ตัวยิ้มได้ตลอดเวลาอย่างไม่รู้ตัว ด้วยลักษณะและท่าทางที่ชวนให้หัวเราะ ความตลกที่เป็นดูธรรมชาติ เป็นตัวของตัวเอง บริสุทธิ์ใจ เป็นคนที่เล่นมุกตลกโดยที่ไม่ต้องหยาบไม่จำเป็นจะต้องทะลึ่งตึงตังเหมือนกับคนอื่นๆ โดยเจ้าตัวเคยให้สัมภาษณ์ถึงที่มาของความเป็นคนตลกของตนไว้ในนิตยสาร "ผู้หญิง วันนี้" ว่า...

"ผมว่าอารมณ์ขันมันเป็น Sense อย่างหนึ่งนะ เป็น Sense of Human เป็นเฉพาะกับบางคน แต่อย่างตัวผม ด้วยความที่ที่บ้านจะมีอารมณ์ขันกันอยู่แล้วทุกคน เรารู้สึกได้เลยว่าทุกคนจะมีมุก เวลาอยู่ด้วยกันก็จะมีการเล่า เอาเรื่องที่ได้เจอมาเล่าสู่กันฟัง เอามาแชร์กันในแบบสนุกๆ ตัวผมเองก็คงได้ในส่วนนี้ แล้วอีกส่วนหนึ่งก็คือเวลาผมอยู่กับเพื่อนๆ เขามากกว่า แต่มันกลับทำให้วงสนทนายิ่งสนุก พอเราพูดอะไรนิดก็กลายเป็นขำไป ซึ่งมันกลับทำให้วิธีการที่เรารู้สึกวาเออน่าจะเอามาใช้ในการจัดรายการ ใช้ในงานพิธีกรต่างๆ ได้เหมือนกัน"

"อย่างจัดรายการ ผมทำมา 7 ปี ตั้งแต่สมัยเรียนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็ใช้ความเป็นตัวของตัวเองมาตลอด เพราะฉะนั้นสไตล์ที่จัดออกมาก็จะเป็นโรแมนติกแล้วก็นุ่มนวลก็ไม่มีใครเชื่อนะฮะถ้าพูดแบบนี้ (หัวเราะ) ไม่ก็จัดแบบสนุกสนาน เอาแบบมันๆ ไปเลย ทำให้มันสนุกเต็มที่ ใส่ทุกอย่างที่คิดว่าคนฟังจะสนุกแต่ก็ต้องมีสาระนิดหนึ่งนะ อย่างตอนนี้ค่าเงินบาทแข็งตัว เราก็ต้องพูด แต่จะพูดในรูปแบบของเรา ถึงแม้เด็กบางคนเขาจะไม่สนใจ แต่เราก็ต้องพูดให้เขารู้ หรือน้ำมันขึ้นแล้ว เราก็ต้องบอก คนที่ขับรถเขาจะได้อู้ยพรุ่งนี้น้ำมันขึ้นแล้วจะได้ไปเติมซะ

แม้หลายคนจะมองว่าเขาเป็นตลกที่ดูไร้สาระ ทว่าสำหรับโจ้แล้วตัวเขาไม่คิดเช่นนั้น
"คือทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพูดไปนอกจากจะได้ความสนุกแล้ว มันต้องเป็นประโยชน์ต่อมวลชนบ้างไม่มากก็น้อย อย่างรายการทีวีทุกวันนี้ที่เห็นรายการประเภทคอเมดี้วาไรตี้โชว์เยอะแยะไปหมดเนี่ย เขาก็สอดแทรกความมีสาระไว้ในความขำนั้นด้วย บางคนอาจถามว่าสาระเพียวๆ ไม่ได้เหรอ คนไทยขาดเสียงหัวเราะมากขนาดนั้นเลยเหรอ ผมว่าส่วนใหญ่นะ แล้วตัวรายการที่เขาทำกันขึ้นมา เขาก็คงเห็นแล้วว่าการใช้วิธีการอย่างนี้มันได้ผล ก็เลยทำตามกันน่ะครับ"

"ทริคมันมีอยู่นิดเดียวคือ ถ้าเราพูดในสิ่งที่คนอื่นคิด จะไม่มีทางขำ ผมว่าคนที่จะตลกจะต้องคิดมากกว่าคนอื่น ต้องมีมุมมองอีกอย่างหนึ่ง ต้องพูดในสิ่งที่คนอื่นไม่ได้คิด คนฟังก็จะอื้อหือคิดได้ยังไงเนี่ย คือทักษะมันฝึกกันได้ ทุกวันนี้ที่ทำงานได้ก็เพราะว่าการอ่านเยอะ ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก ก็อ่านทุกอย่าง ยกเว้นหนังสือเรียน (หัวเราะ) นิตยสารออกก็ยืนอ่านจนแป๊ะเขาใช้ไม้กวาดไล่ไป หนังสือการ์ตูนก็ชอบอ่าน แต่ไม่ค่อยชอบสะสมก็เลยจะยืมที่ร้านเช่าหนังสือ อ่านหมดคอบบร้า ดราก้อนบอลล์ ดร.สลัมพ์ ฯลฯ เราอ่านเพราะว่าเราชอบ รู้หมดว่าหนังสือเล่มนี้ออกวันไหน หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับจะมาอยู่ในมือเราทุกเช้า"

"อีกกรณีหนึ่งคือถ้าอยู่ในระหว่างการทำงานคือเมื่อไหร่ก็ตามที่เราจะทำงาน ที่เราจะเปิดไมค์เนี่ย อย่างที่บอกว่ามันจะมีการคิดมาแล้วว่าเราจะพูดอะไร เราจะทำอะไร เมื่อไหร่ก็ตามที่เรายืนอยู่บนเวที เราจะรู้แล้วว่าข้างหน้าเราคืออะไร เพราะฉะนั้นเมื่อเรามายืนตรงจุดนั้นแล้วเราจะต้องลืมทุกอย่าง แล้วก็ลืมจริง ๆ ผมว่าสิ่งสำคัญก็คือสมาธิของเรานะครับ พอเรามีสมาธิในการทำอะไรก็แล้วแต่ มันก็จะช่วยให้เราตั้งใจทำสิ่งนั้น โดยที่เราจะลืมปัญหาทุกอย่างเลย อีกอย่างก็คือผมเป็นคนที่มักจะมองอะไรในแง่ดี และก็พยายามเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ปัญหาที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะแบบนี้ๆ นะ มันไม่ได้ตั้งใจเกิดให้เรารู้สึกแย่ แค่นี้มันก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นแล้วครับ

การจากไปด้วยวัยเพียง 35 ปีของเขาต้องบอกว่าเป็นการจบชีวิตที่ชวนให้สลดใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับชีวิตแห่งความสุขที่กำลังจะเริ่มต้นหลังจากต้องเหนื่อยยากกับการทำงานเพื่อเลี้ยงดูพ่อ - แม่ วัยชราจนได้มาซึ่งรางวัลที่เป็นบ้านหลังใหม่, ฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และเหนือสิ่งอื่นใดเรื่องของความรักกับแฟนสาวนอกวงการที่ทั้งคู่วางแผนร่วมกันว่าจะมีงานวิวาห์สร้างครอบครัวในอีกไม่นานนี้

"เขาเริ่มต้นจากที่ไม่มีอะไรเลย เป็นน้องที่เรียนจบมาสมัครทำงานที่เอไทม์...ต้องเรียนว่าคุณโจ้ที่ผ่านมาทำงานหนักมาก พยายามก่อร่างสร้างตัว สร้างชีวิตด้วยตนเองโดยใช้สิ่งที่เรียนมา คือตรงนี้มันเหมือนหลักชัยของเขา กำลังมีบ้าน ครอบครัวกำลังจะเริ่มต้นสบาย ทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้น แล้วก็แพลนไว้ว่าจะแต่งงาน..." ฉอด สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา ผู้บริหารเอไทม์ มีเดีย เปิดเผยอย่างอาลัยอาวรณ์ต่อการจากไปของดีเจในสังกัดของตนเอง

ซึ่งก็คงไม่ต่างอะไรมากนักกับทุกคนที่ได้มีโอกาสรู้จัก ได้หัวเราะ และได้รับความสุขสนุกสนานจากหนุ่มอารมณ์ดีคนนี้อย่างแน่นอน


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์