เจ.เค.โรว์ลิ่ง มั่นใจ ฟ้าไม่เคยผ่าซ้ำที่เดิม

เจ.เค.โรว์ลิ่ง มั่นใจ "ฟ้าไม่เคยผ่าซ้ำที่เดิม" ไม่มีทางสร้างผลงานดัง อย่าง"แฮร์รี่ พอตเตอร์"อีกแล้ว!!!


ป่านนี้แฟน "แฮร์รี่ พอตเตอร์" ทั่วโลกคงรู้บทอวสานชะตาชีวิตของพ่อมดน้อยที่เฝ้าติดตามกันมาถึง 10 ปีแล้วว่า จบลงเช่นไร ซึ่งเป็นบทอวสานชนิดที่ "เจ.เค.โรว์ลิ่ง" ยืนยันหนักแน่นว่า "ไม่มีตอนต่อ" แน่นอน ดังนั้นใครที่แอบคิดว่า ในอนาคตอาจจะมีโอกาสได้เห็นแฮร์รี่ พอตเตอร์โผล่ออกมาอีกเป็นเล่ม 8, เล่ม 9 ก็ทำใจไว้ได้เลยว่า โอกาสนั้นน่าจะเรียกได้ว่าเป็นศูนย์

อย่างไรก็ตามงานนี้นักประพันธ์หญิงวัย 41 ซึ่งติดอันดับเศรษฐินีที่ร่ำรวยที่สุดในอังกฤษ

ด้วยมูลค่าทรัพย์สินกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ (ราว 33.6 พันล้านบาท) ก็ได้พูดเผื่อไว้ว่าแฟนๆ ของเธออาจได้พบตัวละครในโรงเรียนสอนเวทมนตร์ฮอกวอร์ตในรูปแบบอื่นก็ได้ "เพราะว่าโลกนี้มันกว้างใหญ่นัก และอาจจะมีช่องให้ตัวละครเหล่านั้นได้โลดแล่นออกมาอีก ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉันไม่มีความคิด ไม่มีแผนการอะไรที่จะเขียนถึงตัวละครเหล่านั้นอีกเลย แต่ฉันก็ไม่อยากจะพูดว่า ฉันไม่มีวันทำอย่างนั้นอีกแน่นอน"

เพราะอย่างที่เราคงรู้กันดีว่าใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง

คนที่เคยผ่านทุกข์ร้อน เห็นความไม่แน่นอนในโลกมานักต่อนักอย่างเธอ ที่เคยจนสุดสุด กระทั่งมาร่ำรวยสุดสุด จากงานเขียนเพียงเล่มเดียวก็คงรู้ถึงสัจธรรมข้อนี้ดี เลยขอ "พูดกั๊ก" ไว้ก่อน ดีกว่าจะไปเสียคำพูดภายหลัง!!!



จิล ลอว์เลสส์" นักข่าวของเอพีที่มีโอกาสไปสัมภาษณ์โรว์ลิ่งที่บ้านพักในกรุงเอดินเบอระ ประเทศสกอตแลนด์


"ซึ่งเธอใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายตามปรารถนากับสามี วิสัญญีแพทย์ และลูกอีก 3 คนเล่าว่า โรว์ลิ่งได้เล่าถึงความรู้สึกระหว่างเขียนประโยคสุดท้ายใน ""แฮร์รี่ พอตเตอร์ แอนด์ เดอะ เดธลี่ แฮโลว์"" (Harry Potter and the Deathly Hallows ว่า "ฉันรู้สึกเหมือนคนกำลังสิ้นใจ"

ท่ามกลางความรู้สึกสับสน ปะปนกันทั้งดีใจและเสียใจที่ทำภารกิจอันยิ่งใหญ่จบลงเสียที แต่โรว์ลิ่งก็ว่ามันทำให้เธอรู้สึกแย่ไปเป็นอาทิตย์

"ยิ่ง 2 วันแรกหลังจากเขียนหนังสือจบ ฉันรู้สึกหมดกะจิตกะใจ เหมือนคนตาย และเป็นอยู่อย่างนั้นนานเป็นอาทิตย์ จึงค่อยรู้สึกเมฆหมอกอึมครึมมันค่อยๆ เลือนรางจากใจ เริ่มรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมาได้"

ฉันคิดว่าที่การจบหนังสือเล่มอวสานส่งผลต่อภาวะจิตใจของฉันได้ถึงเพียงนั้น

"ก็เพราะมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน จนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะคิดว่าจะต้องจบมันลง แล้วยังความรู้สึกเมื่อมองย้อนไปที่จุดเริ่มต้น ตอนที่ฉันเริ่มเขียนแฮร์รี่ พอตเตอร์"

"แฮร์รี่ พอตเตอร์ แอนด์ เดอะ ฟิโลโซเฟอร์'ส สโตน" ซึ่งเป็นเล่มแรกตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ.2540 ด้วยยอดไม่ถึง 1,000 เล่ม

โดยโรว์ลิ่งเล่าว่าสำนักพิมพ์ยังไม่กล้าให้เธอใช้ชื่อ ""โจแอนน์"" ซึ่งเป็นชื่อจริงของเธอด้วยซ้ำ แต่แนะนำให้หาชื่อที่ฟังดูเป็นกลางๆ แทน เพื่อให้ผู้อ่านเดาไม่ถูกว่าคนเขียนเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ด้วยเหตุผลว่า น่าจะมีโอกาสดึงดูดนักอ่านที่เป็นเด็กผู้ชายให้สนใจอยากซื้อไปอ่านมากกว่าที่ให้รู้ว่าผู้เขียนเป็นผู้หญิง เธอจึงเลือกใช้อักษรย่อ "เจ.เค." โดย "เจ." ย่อมาจาก "โจแอนน์" ส่วน "เค" ย่อมาจาก "แคธลีน" ชื่อของยายเธอเอง


จากเล่มแรกที่เริ่มวางขายในอเมริกาเมื่อปี 2541


ก็สร้างปรากฏการณ์ดังเปรี้ยงปร้างขึ้นในวงการวรรณกรรม โดยหนังสือแฮร์รี่ทั้ง 6 เล่ม ทำยอดขายได้ราว 325 ล้านเล่ม ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ ทั่วโลกถึง 64 ภาษา แม้แต่ภาษาละตินและภาษากรีกโบราณ

แต่ที่หลายคนอาจไม่ค่อยเคยรู้ก็คือ เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้เธอได้ไอเดีย

ซึ่งกลายมาเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ ก็คือการตายของแม่ที่จากเธอไปด้วยเส้นโรคหัวใจตีบ ตอนแม่อายุเพียง 45 "แม่ตายตอนที่ฉันเขียนหนังสือไปได้สัก 6 เดือน และนั่นก็ทำให้ฉันได้พล็อตหลักของเรื่อง ว่าจะเป็นเรื่องที่เด็กชายคนนี้ต้องเผชิญหน้ากับความสูญเสีย"

โรว์ลิ่งยังพูดถึงการทำให้นักอ่านตัวน้อยต้องมาเผชิญหน้ากับความตาย ความสูญเสียในวรรณกรรมของเธอว่า

เธอไม่มีคำขอโทษใดๆ เพราะ "ฉันคิดว่าเด็กๆ ต่างกลัวเรื่องเหล่านี้มาก ถึงแม้ว่าพวกเขายังไม่เคยเจอประสบการณ์เหล่านั้นเลย ซึ่งส่วนตัวฉันคิดว่าหนทางที่เราต้องเผชิญหน้ากับเรื่องเหล่านี้ก็คือยืดอกสู้ ฉันมีความเชื่ออย่างยิ่งทั้งในฐานะนักเขียนและแม่ ว่าหนทางแก้ปัญหาไม่ใช่การแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ต้องพิจารณาดูมันด้วยความรัก ความเข้าใจ และในวิถีทางที่ระมัดระวังรอบคอบ"


เธอยังพูดถึงความสำเร็จจากพ่อมดน้อยแฮร์รี่ว่าถือเป็น


"ประสบการณ์สุดยอดของชีวิต" แต่ขณะเดียวกันก็นำมาทั้งความกดดันอย่างยิ่งยวด ความอยากรู้ อยากเห็น และเสียงวิพากษ์วิจารณ์ อย่างตอนที่ไปทัวร์โปรโมตหนังสือในสหรัฐอเมริกา นอกจากเสียงกรี๊ดร้องต้อนรับของเด็กๆ เธอยังเคยได้รับคำขู่ฆ่าด้วย ขณะที่ชาวคริสเตียนก็ออกมาเรียกร้องให้แบนหนังสือของเธอ โดยอ้างว่าเป็นการโปรโมตลัทธิพ่อมด แม่มด มอมเมาเด็กๆ

อย่างไรก็ตามถึงตอนนี้เธอเริ่มเข้าใจแล้วว่า ความกดดันอันหนักอึ้ง ก่อตัวขึ้นมาได้อย่างไร?

"มันเกิดจากที่ฉันรู้สึกโดดเดี่ยว อ้างว้างมากนั่นเอง เพราะงานของฉันมันไม่เหมือนเวลานักร้องไปออกทัวร์คอนเสิร์ต ที่จะมีเพื่อนๆ อย่างน้อย 3-4 คน ซึ่งต่างคนต่างรู้ว่ามันรู้สึกยังไง แต่งานฉัน มีฉันเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้ แล้วในเมื่อมันเริ่มยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มีคนสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ เลยยิ่งกดดันไปกันใหญ่"

นักเขียนแม่ลูกสามยังบอกด้วยว่า อาจจะมีแฟนๆ บางคนไม่ชอบแฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มอวสาน แต่นี่ก็เป็นผลงานที่เธอภูมิใจ

"เพราะหนังสือได้เดินทางมาถึงบทสุดท้ายอย่างที่มันควรจะเป็น และฉันก็รู้สึกมีความสุขกับความจริงนี้"

สำหรับอนาคต เธอว่าเธอยังไม่มีโครงการใดๆ อยู่ในสมองทั้งสิ้น

"แต่ที่ฉันรู้สึกก็คือ ฉันคงไม่สามารถเขียนอะไรได้ดังขนาดนี้อีกแล้ว เหมือนกับฟ้าที่ไม่เคยผ่าซ้ำที่เดิม" "ฉันเขียนแฮร์รี่อย่างที่อยากจะเขียน ต่อไปฉันก็จะเขียนอะไรอย่างที่ฉันอยากจะเขียน และถ้าหากมันจะดังขึ้นมาอีก ก็โอเค. แต่ถ้ามันกลับได้ผลลัพธ์ต่างกันมาก ก็โอเค. ตอนนี้ฉันก็แค่รอเวลาให้ตกหลุมรัก ปิ๊งไอเดียอะไรขึ้นมาอีกสักครั้ง แล้วก็ปล่อยใจ ปล่อยความรู้สึกไปตามนั้น"


ขอบคุณเนื้อหาข่าวดี ดี จาก :


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์