ความจริงเกี่ยวกับคิมคิบอม

ความจริงเกี่ยวกับคิมคิบอม

คิบอมเป็นเด็กที่เงียบ และไม่ค่อยมีเพื่อน ... นี่คืออดีตของเขา เพราะตลอดระยะเวลาที่อยู่อเมริกา คิบอมไม่มีเพื่อนสนิทเลย และยิ่งกว่านั้น ผู้หญิงที่เขาเดทด้วย ก็เป็นฝ่ายบอกเลิกเขาเสียครึ่งหนึ่ง ...นั่นเพราะอะไร?

เพราะว่าเมื่อก่อน คิบอมค่อนข้างเป็นเด็กที่เก็บตัว พูดน้อย ชอบอยู่นิ่งๆ ไม่ชอบการเข้าสังคม เขาไม่รู้จะพูดอะไรกับคนที่ไม่สนิทด้วย และที่คล้ายกับฮีชอลก็คือ เขาไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำ ว่าคนรอบข้างจะเป็นเช่นไร เพราะแค่เพียงมองผ่านมา และก็มองผ่านไปเท่านั้นเอง

คิบอมไปอยู่ที่อเมริกาตั้งแต่อายุ 12 ปี โดยอาศัยอยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนียร์ และได้เข้าศึกษาในโรงเรียน Santa Monica High School แต่เพราะอยากเก่งภาษาอังกฤษ จึงได้ไปทำงานพิเศษ ทั้งๆที่โรงเรียนนั้นอยู่ไกล เขาก็ไม่เคยย่อท้อ จนกระทั่งภาษาอังกฤษของเขานั้นดีขึ้นตามลำดับ แต่ถึงอย่างนั้น ทุกอาทิตย์เขาก็มักจะไปขลุกตัวอยู่ที่โบสถ์มากกว่าที่จะไปเที่ยวเล่นแบบเด็กคนอื่นๆ

ในวันหนึ่ง ระหว่างที่คิบอมและเพื่อนไปชมนิทรรศการเกาหลี และแวะซื้อต็อกโบกกีนั่นเอง ก็มีฝ่ายโมเดลลิ่งของ SM Entertainment ชักชวนให้ลองไปแคสติ้งกับทางบริษัทดู คิบอมรับนามบัตรมาอย่างงงๆ และพยายามคิดทบทวนอยู่นานสองนาน กว่าจะเดินเข้าไปขอพ่อและแม่ เพื่อที่จะทำตามความต้องการของตัวเอง แม่ของคิบอมไม่สนับสนุนให้เขาเข้าวงการบันเทิงสักเท่าใดนัก เพราะนั่นหมายถึง คิบอมจะต้องย้ายมาอยู่เกาหลีเพียงลำพัง ซึ่งในขณะนั้น เขาอายุเพียง 16 ปี จึงเป็นไปได้ยาก ที่คนเป็นแม่จะทำใจปล่อยให้ลูกชายมาตะลอนๆอยู่ที่ต่างประเทศเพียงลำพัง แต่พ่อของเขากลับสนับสนุนให้เขาทำตามที่ตัวเองต้องการ คิบอมจึงได้ให้คำสัญญากับพ่อและแม่ไว้ ว่าเขาจะต้องเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงให้ได้

ด้วยความที่ไม่คุ้นเคยกับเกาหลี เพราะจากไปเป็นเวลาถึง 4 ปีกว่า อีกทั้งยังต้องมาอยู่ตัวคนเดียว คิบอมในตอนนั้นจึงเหมือนคนที่ถูกนำมาปล่อยในเกาะร้าง และด้วยความที่เป็นคนพูดไม่เก่ง จึงเป็นเรื่องยากที่เขาจะเข้าไปหาคนอื่นก่อน

ดงแฮคือเพื่อนคนแรกที่เดินเข้ามากอดเขาในวันแรกที่เจอกัน จากที่เคยเป็นคนนิ่งๆ ไม่ค่อยใส่ใจอะไร มันจึงทำให้คิบอมเริ่มมองอะไรใหม่ๆในชีวิต แน่นอนว่าสิ่งที่ดงแฮทำมันทำให้เค้ารู้สึกประหลาดใจ แต่ก็รู้สึกดีกับมันอยู่มาก อาจจะเพราะดงแฮเองก็อยู่ห่างจากครอบครัวเหมือนกัน จึงทำให้เขาค่อนข้างที่จะเข้าใจความรู้สึกของคิบอม จึงพยายามที่จะทำให้คิบอมปรับตัวได้เร็วขึ้น และเพราะด้วยความบังเอิญอีกส่วนหนึ่ง ที่ทั้งคู่มักจะมาเจอกันที่ห้องซ้อมตอนดึกๆโดยไม่ได้นัดหมาย

อันที่จริงแล้ว คิบอมก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สนใจอะไรเลย เพียงแค่ไม่คิดจะพูดอะไรออกมาเท่านั้นเอง และเมื่อได้ย้ายเข้ามาพักร่วมกับฮีชอล ฮันคยอง และเจย์ มันทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับผู้อื่น นอกจากคนในครอบครัว คิบอมรู้สึกประทับใจฮีชอลมากๆ เนื่องจากฮีชอลกล้าทำในสิ่งที่เขาไม่กล้า คิบอมนับถือในความกล้า ความมั่นใจ ที่ฮีชอลมี การอยู่โดยไม่ต้องใส่ใจอะไร อยากทำอะไรก็ทำ และทำด้วยความมั่นใจนั่นเอง มันจึงทำให้เขาอยากจะเข้าไปใกล้พี่ชายคนนี้ให้มากขึ้น แต่ด้วยความที่เขาไม่ชินกับวัฒนธรรมเกาหลี การพบกันครั้งแรกของเขาและฮีชอลจึงเป็นอันสะดุด เนื่องจากฮีชอลเป็นคนที่เคร่งในเรื่องอาวุโสมาก และเมื่อคิบอมเรียกชื่อของเขา โดยปราศจากคำที่แสดงการยกย่องในฐานะรุ่นพี่ มันจึงทำให้ฮีชอลไม่พอใจน้องชายคนนี้สักเท่าใด

หลังจากนั้นคิบอมได้เดินทางกลับไปยังอเมริกาอีกครั้ง และเมื่อกลับมา เขาก็ทำให้ฮีชอลมองเขาในมุมที่เปลี่ยนไป เพราะคิบอมได้ไปศึกษาถึงวัฒนธรรมเกาหลีมาอย่างถ่องแท้ และความน่ารักของเขานี่เอง ที่ทำให้ฮีชอลรักและเอ็นดูเขาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และด้วยความที่ต้องเจอกันทั้งที่หอพัก และที่กองถ่าย จึงทำให้พวกเขาทั้งคู่สนิทสนมกันมากขึ้น จนถึงขั้นที่ว่า ถ้าหากในกองถ่ายไม่มีคิบอม ฮีชอลจะไม่สามารถแสดงออกมาให้ดีได้เลยทีเดียว

และนอกจากฮีชอลแล้ว ดงแฮก็ยังเป็นอีกหนึ่งคนที่เข้ามาในชีวิตของคิบอมอย่างช้าๆ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเขา คิบอมไม่ชอบเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟังสักเท่าใดนัก แต่กับดงแฮแล้ว เขากลับไว้ใจ และรู้สึกอุ่นใจเมื่อได้อยู่ใกล้อย่างบอกไม่ถูก เพราะไม่ว่าจะมีเรื่องอะไร เขาก็มักจะระบายให้เพื่อนสนิทคนนี้ฟังเสมอๆ

คิบอมเดบิวต์ครั้งแรกด้วยงานละครในปี 2004 คือเรื่อง April's Kiss ออกฉายทางช่อง KBS แต่ละครเรื่องนี้นั้นยังไม่แจ้งเกิดให้คิบอมอย่างเต็มตัวนัก เขาเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น จากบทของ Joo Yuh Myung นักเรียนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาจากอเมริกา ประกบคู่กับ โกอารา ในเรื่อง Sharp Love 2 ปี 2005 และจากนั้นก็ได้รับบทนำในซิทคอม เรื่อง Nonstop 6 ต่อในทันที ซึ่งละครเรื่องนี้ได้เริ่มฉายในวันที่ 12 ตุลาคม 2005 จึงทำให้ชื่อเสียงของคิบอมนั้นโด่งดังมากขึ้น

หลังจากนั้นเพียงแค่เดือนเดียว คิบอมก็ได้เดบิวต์ในฐานะศิลปินวงซูเปอร์จูเนียร์ และแน่นอนว่า มันทำให้ชื่อของ คิบอม เป็นที่รู้จักเป็นอย่างมาก ทั้งในฐานะนักร้องและนักแสดง

แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวของคิบอม ที่เป็นคนนิ่งๆ ไม่ค่อยยิ้ม และพูดน้อย หนำซ้ำยังไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบข้าง จึงทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ขึ้น เนื่องจากการเป็นศิลปินนั้น พวกเขาทุกคนจะต้องพบปะกับแฟนเพลงอยู่เสมอๆ และภาพลักษณ์ของคิบอมในตอนนั้นมันดูเย่อหยิ่ง ผิดจากเมื่อตอนที่เขายิ้มหรือหัวเราะในละคร คิบอมถูกตักเตือนอยู่หลายครั้ง ในเรื่องการทำตัวเป็นมิตรกับแฟนคลับ เขาต้องพยายามยิ้มแย้มอยู่เสมอๆ ทั้งๆที่ไม่ใช่นิสัยของตัวเองที่จะยิ้มกับใครที่ไม่รู้จักได้ง่ายๆ ด้วยความพยายามของคิบอมนี้เอง ที่ทำให้เกิดเรื่องราวขึ้นมาอีก เพราะเขามักจะยิ้มแย้มแค่เพียงต่อหน้าแฟนคลับ เมื่อถึงเวลาปกติ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มก็เหือดหายไปเป็นหน้านิ่งๆ แถมยังไม่ค่อยสุงสิงกับคนรอบข้างอีก ...จึงมีประเด็นเกิดขึ้นมาว่า "คิบอมเฟค"

ในตอนนั้น ด้วยความที่เป็นเด็กหนุ่มหัวนอก เขาจึงไม่ค่อยสนใจเรื่องความสัมพันธ์ที่มีต่อคนรอบข้างมากนัก เพราะถ้าหากยังมีงาน เขาก็จะยังทำงานอยู่ที่เกาหลีต่อ แต่ถ้าหากไม่มีใครจ้างเขาแล้ว เขาก็พร้อมจะกลับอเมริกาเพื่อไปหาครอบครัวได้ทุกเมื่อ

เหมือนกับที่ผ่านมา เขาไม่ได้ทำด้วยความเข้าใจเสียทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ คิบอมที่เคยนิ่งเงียบ ไม่ค่อยสุงสิงกับคนอื่น มองคนอื่นเป็นผู้ร่วมงาน จึงเริ่มปรับตัวเพื่ออยู่ในสังคมเกาหลีอีกครั้งหนึ่ง เพราะที่ผ่านมา ด้วยเพราะมาจากต่างประเทศ และไม่ได้พักรวมกับเพื่อนๆในวงคนอื่นๆ จะเจอกันก็ต่อเมื่อมีงาน คิบอมจึงสนิทกับเพื่อนในวงเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ซึ่งก็คือ ฮีชอล ฮันกยอง ดงแฮ และซีวอน แต่เมื่อเขาเริ่มที่จะเปิดใจ ปรับตัวรับสังคมใหม่ๆ และเริ่มใช้เวลาที่ว่างไปคลุกคลีกับเพื่อนๆในวงที่หอใหญ่ จากที่เคยยิ้มเพราะต้องยิ้ม หรือเพราะควรจะยิ้ม รอยยิ้มของเขาได้เริ่มออกมาจากเบื้องลึกของจิตใจแล้ว

สำหรับแฟนคลับ คิบอมนั้นจะเป็นห่วงทุกๆคนเสมอ เขาพยายามที่จะเอาใจใส่แฟนคลับของเขาทุกคน ด้วยเหตุนี้เอง ที่เขามักจะไม่ยอมรับของจากแฟนคลับ ไม่ว่าจะเป็นใครคนไหน เว้นแค่เพียงแฟนคลับจากต่างประเทศ เพราะเขาคิดว่า ถ้าหากปฏิเสธไป และเกิดการสื่อสารที่ไม่เข้าใจ มันอาจจะเกิดปัญหาขึ้นในภายหลัง แต่สำหรับแฟนคลับในเกาหลีแล้ว ต่างเป็นที่รู้กัน ว่า "คิบอมจะไม่รับของขวัญบนพื้นแผ่นดินเกาหลี" เพราะเขารู้ว่าแฟนคลับของเขานั้นอายุยังน้อย และยังไม่มีรายได้เป็นของตัวเอง จึงไม่อยากให้ใครต้องมาสิ้นเปลืองเพื่อซื้อของมาให้แก่เขา เพราะบางคน ยังต้องขอเงินพ่อแม่อยู่ และมันคงจะไม่สมควร ถ้าหากจะขอเงินนั้นเพื่อมาซื้ออะไรให้แก่เขา

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่มีเด็กผู้หญิงยื่นส้มมาให้คิบอม แต่ว่าเขาก็ไม่ยอมรับมัน แม้ว่าเธอจะขอร้องสักเท่่าใดก็ตาม แต่สุดท้าย เมื่อเด็กผู้หญิงคนนั้นบอกว่า มันเป็นส้มที่เธอเอามาจากบ้านเพื่อนำมาฝากเขา ไม่ได้ไปซื้อที่ไหนมา คิบอมจึงได้ยอมรับส้มนั้นมาจากเธอ
และในการปรับตัวของคิบอม ฮีชอล และซีวอน ก็เป็นอีกแรงที่ต่างก็คอยช่วยเหลืออยู่เสมอ เนื่องด้วยที่คิบอมเป็นคนพูดน้อย เมื่ออยู่ในกลุ่มจึงได้แต่นั่งยิ้มเสียส่วนมาก นานๆทีจึงจะออกความคิดเห็นหรือพูดอะไร ด้วยเหตุนี้ ทั้งฮีชอลและซีวอน จึงพยายามที่จะทำให้คิบอมได้มีโอกาสพูดมากขึ้น ทั้งโดยการโยนเรื่องต่างๆไปให้ หรือแม้แต่ตั้งคำถามเพื่อที่จะให้เขาตอบ เกิดเป็นมิตรภาพที่งดงามขึ้นระหว่างพวกเขาเอง

นอกจากจะมีฮีชอลและฮันคยองคอยดูแลที่อพาร์ตเม้นแล้ว และก็มีดงแฮคอยเป็นเพื่อนเล่น พูดคุย และรับฟังปัญหา คิบอมก็ยังมีซีวอนที่คอยให้ความช่วยเหลือในเรื่องต่างๆเป็นอย่างดี จึงทำให้ชีวิตที่เคยมีแต่สีเรียบๆของคิบอมเริ่มมีสีสันที่สดใสขึ้นมา ... แต่ในระหว่างที่ทุกๆ อย่างกำลังไปได้สวย ก็มีเหตุอันน่าเศร้าเกิดขึ้น เมื่อคุณพ่อของดงแฮเสียชีวิต และฮีชอลประสบอุบัติเหตุ ด้วยเพราะฮีชอลและฮันคยอง เปรียบเสมือนเป็นสมาชิกในครอบครัวในเกาหลีเพียงไม่กี่คนที่เขามี สิ่งที่เขาทำได้ก็คือ การไปนั่งไปเยี่ยมฮีชอลทุกวัน และจัดทำตารางการเยี่ยมให้สมาชิกทุกคนในวง เพื่อที่ฮีชอลจะได้ไม่เหงา ซึ่งในตารางนี้เอง เขาจัดให้ฮันคยองมีกำหนดเยี่ยมมากที่สุดในวง

และก่อนที่จะออกอัลบัมชุดที่ 2 เพียงไม่นาน คิบอมได้มีละครติดต่อมาจำนวนหลายเรื่อง ซึ่งก็มีหลายเรื่องที่บทน่าสนใจ แต่ทว่า เขาต้องเดินทางไปถ่ายทำยังต่างประเทศ (ไม่แน่ใจว่าฝรั่งเศสหรือเปล่า) ในช่วงเวลานั้น ประจวบเหมาะกับสัญญากับทางต้นสังกัดของคิบอมกำลังจะหมด จึงเป็นช่วงเวลาแห่งการลังเลใจของเขา ว่าจะเดินเส้นทางไหนต่อไปดี เพราะถ้าให้พูดกันจริงๆแล้ว ก็คงจะเห็นได้ชัด ว่าคิบอมถนัดที่จะแสดงละครมากกว่าที่จะอยู่บนเวทีคอนเสิร์ต และที่สำคัญ บทที่เขาได้รับนั้น อาจจะทำให้เขากลายเป็นนักแสดงแถวหน้าของเกาหลี อย่างที่เขาเคยวาดหวังไว้เลยก็เป็นได้

... แต่แล้วสิ่งที่เขาเลือกก็คือ ปฏิเสธบทที่หาได้ยากนั้นไป ด้วยเหตุผลเพียงแค่ว่า เขาต้องการที่จะร่วมงานกับเพื่อนในนามซูเปอร์จูเนียร์ในอัลบัมชุดที่ 2 มากกว่า เพราะเขาคือ หนึ่งในซูเปอร์จูเนียร์ แน่นอนว่าเป็นการตัดสินใจที่น่าประทับใจ แต่ก็น่าประหลาดใจไปพร้อมๆกัน เพราะถ้าหากเป็นการตัดสินใจเมื่อหนึ่งปี หรือสองปีก่อน มันก็มีความเป็นไปได้สูง ที่เขาอาจจะเลือกที่จะเดินอีกทาง

สำหรับซูเปอร์จูเนียร์แล้ว ในวันนี้ ... มันเปรียบเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของผู้ชายที่ชื่อ คิมคิบอม เด็กหนุ่มที่เคยไม่ใส่ใจต่อสิ่งรอบข้าง ไม่สนใจอะไรนอกจากชีวิตของเขา เพราะเขาคิดเสมอว่าบ้านของเขาอยู่ที่อเมริกา เขามาที่เกาหลีเพื่อที่จะทำตามความฝันเท่านั้น แต่ในตอนนี้ ... ที่เกาหลี มีเพื่อนๆ มีครอบครัวอีกครอบครัวหนึ่งของเขาอยู่ และมันก็คือสิ่งมีค่าที่เขาหวงแหนมากที่สุดชิ้นหนึ่ง

เมื่อไหร่จะเลิกทรมาณคิบอมซักที

เมื่อไหร่การลงโทษที่แสนทรมาณทุกคนจะสิ้นสุด

เมื่อไหร่วันที่คิบอมยิ้มอย่างมีความสุขะกลับมา

เมื่อไหร่จะได้เห็นคิบอมยืนกับเพื่อนอีกสิบสองคนบนแผ่นดินเกาหลี

เมื่อไหร่จะเลิกเห็นแก่ตัวและเห็นแก่เงิน

บอมมี่บอมมี่


บอมมี่บอมมี่


บอมมี่บอมมี่


บอมมี่บอมมี่


บอมมี่บอมมี่


บอมมี่บอมมี่


บอมมี่บอมมี่


บอมมี่บอมมี่

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์